งูสวัด
งูสวัด (Shingles หรือ Herpes zoster) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอีสุกอีใส (Varicella zoster virus – VZV) เพราะเมื่อโรคอีสุกอีใสหายแล้วจะยังคงมีเชื้อไวรัสชนิดนี้หลงเหลือซ่อนอยู่ในปมประสาทต่าง ๆ โดยเฉพาะของลำตัว เพื่อรอเวลาที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะเจริญเติบโตและก่อให้เกิดเป็นโรคงูสวัดตามมา
- งูสวัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง สามารถพบได้ทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ จะพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักพบในผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนและหลังจากโรคอีสุกอีใสหายแล้วเป็นเดือน เป็นปี หลายปี หรือเป็น 10 ปี โรคงูสวัดจึงเกิดตามมาเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
- ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า โรคนี้เป็นไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส และพบว่าผู้ที่เป็นอีสุกอีใสแล้วจะเป็นงูสวัดได้ประมาณ 1-2% (ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสจะไม่เป็นโรคงูสวัด)
- โรคนี้จะมีโอกาสการเกิด มีความรุนแรงของโรค และมีระยะเวลาที่เป็นจะนานมากขึ้นไปตามอายุ โดยมักพบในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ส่วนในเด็กและทารกจะพบได้น้อยและมักมีอาการไม่รุนแรง (จากรายงานพบว่า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันเป็นปกติและมีอายุน้อยกว่า 50 ปี จะมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตคิดเป็น 10% ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จะพบว่ามีโอกาสเป็นโรคงูสวัดได้มากกว่าเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี ถึง 10 เท่า)
- โดยทั่วไปแล้วถือเป็นโรคที่ไม่รุนแรง มักรักษาให้หายได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ และมักจะเป็นโรคนี้เพียงครั้งเดียวในชีวิต เมื่อหายแล้วจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกเช่นเดียวกับอีสุกอีใส ยกเว้นในผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด รวมทั้งผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดที่อาจเป็นงูสวัดซ้ำได้หลายครั้ง
ชาวบ้านมักมีความเชื่อ “ถ้าเป็นงูสวัดพันรอบเอวเมื่อใด จะทำให้ตายได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงซะทีเดียวนะครับ เพราะในคนธรรมดาที่มีภูมิคุ้มกันปกติ งูสวัดจะไม่สามารถพันรอบตัวเราจนครบรอบเอวได้ เนื่องจากแนวเส้นประสาทของตัวเราจะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางของลำตัวเท่านั้น จะไม่ลุกลามเข้ามาแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกาย และส่วนมากก็จะขึ้นเพียงข้างเดียวเท่านั้น อีกทั้งโรคนี้ก็มีโอกาสทำให้ตายได้น้อยมาก” คือถ้าจะเป็นอันตรายจริง ๆ ก็คงเกิดจากการอักเสบซ้ำจากเชื้อแบคทีเรียจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษเสียมากกว่า หากใครเป็นงูสวัดก็ไม่ต้องกลัวหรือตื่นตกใจไปนะครับ เพราะในปัจจุบันนี้เราสามารถรักษาโรคงูสวัดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่อย่างไรก็ตาม งูสวัดที่จะเป็นรุนแรงทั่วร่างกายหรือพันรอบตัวนั้นอาจพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นงูสวัดขึ้นมาก็อาจทำให้ปรากฏขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกันจนดูเหมือนงูสวัดพันข้ามแนวกึ่งกลางลำตัวไปยังอีกซีกหนึ่งของร่างกายหรือเป็นงูสวัดทั่วร่างกายได้ ซึ่งแบบนี้อาจทำให้มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ครับ
สาเหตุการเกิดโรคงูสวัด
งูสวัดเกิดจากเชื้ออีสุกอีใส-งูสวัด (Varicella zoster virus – VZV) ที่หลบเข้าปมประสาทใต้ผิวหนังหลังจากมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรก (ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการของโรคอีสุกอีใส) ตัวเชื้อจะแฝงตัวอยู่อย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีถึงสิบ ๆ ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่เมื่อใดที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น จากอายุที่มากขึ้น ถูกกระทบกระเทือน ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียด ได้รับอุบัติเหตุ เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ติดเชื้อเอชไอวี เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็ง ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ รวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน) เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเกิดการปลุกฤทธิ์คืน (Reactivation) และกระจายในปมประสาท ทำให้ประสาทอักเสบ จนเกิดอาการปวดตามเส้นประสาท เชื้อที่กระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบและปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท
ผู้ที่เป็นโรคงูสวัดจึงมีประวัติเคยเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็ก หรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยไม่มีอาการแสดง ซึ่งสามารถตรวจพบสารภูมิต้านทานได้ในเลือด
อาการของงูสวัด
ก่อนจะมีผื่นขึ้นประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบบริเวณเส้นประสาทที่เป็นงูสวัด อาจมีอาการคันและแสบร้อนคล้ายถูกไฟไหม้เป็นพัก ๆ หรือตลอดเวลาตรงบริเวณผิวหนังตามแนวเส้นประสาทที่จะเกิดผื่นงูสวัด (ในบางรายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น หรืออาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องเดินร่วมด้วย) โดยมักจะพบขึ้นบริเวณชายโครง ใบหน้า แขนหรือขาเพียงข้างเดียว (บริเวณที่พบได้บ่อย คือ บริเวณหน้าผากและตา ที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 แขนงที่มาเลี้ยงตา เรียกว่า งูสวัดขึ้นตา และบริเวณลำตัวตามแนวชายโครง จากหน้าท้องไปถึงด้านหลัง ที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทสันหลังทรวงอกและบั้นเอว) จึงอาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ถ้าปวดที่ใบหน้าข้างเดียวก็อาจทำให้คิดว่าเป็นไมเกรนหรือโรคทางสมอง หรือถ้าปวดที่ชายโครงก็อาจทำให้คิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ หรือนิ่วไตได้
ต่อมาจะมีผื่นแดง ๆ ขึ้นตรงบริเวณที่ปวด แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงตามแนวผิวหนังที่เลี้ยงโดยเส้นประสาท (ผื่นมักขึ้นเป็นทางยาวตามแนวเส้นประสาท ไม่กว้างมากนัก โดยมักจะเริ่มในแนวใกล้ ๆ กลางลำตัวตามแนวปมประสาท เช่น ตามประสาทของลำตัว แขน ขา ตา และหู และมักจะเกิดขึ้นเพียงด้านเดียว โดยที่ลำตัวจะพบได้บ่อยที่สุด) ผู้ป่วยจะมีอาการคันในบริเวณที่ผื่นขึ้น มีอาการเจ็บปวดมาก อาจร่วมกับปวดแสบปวดร้อน หรือมีอาการชาในบริเวณนั้น ๆ (เมื่อเกิดผื่นแล้ว อาการปวดจะยังคงอยู่) โดยตุ่มน้ำใสนี้มักจะทยอยขึ้นใน 4 วันแรก และจะเริ่มเป็นตุ่มน้ำขุ่นในวันที่ 3 แล้วจะค่อย ๆ แห้งตกสะเก็ดเป็นสีดำใน 7-10 วัน และจะค่อย ๆ หลุดออกไป แล้วอาการปวดจะทุเลาลง อาจหายโดยที่ไม่มีแผลเป็น หรืออาจเป็นแผลเป็นเมื่อตุ่มน้ำเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีผื่นขึ้นอยู่นานประมาณ 10-15 วัน แต่สำหรับผู้ที่มีอายุมากอาจจะเป็นนานกว่านั้นเป็นเดือน ๆ กว่าจะหายเป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่มีอาการทุกอย่างดังกล่าว แต่ไม่มีผื่นขึ้น หรือที่เรียกว่า “โรคงูสวัดชนิดที่ไม่มีผื่น” (Zoster without herpes) ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก และวินิจฉัยได้ยากมากด้วยเช่นกัน
การวินิจฉัยโรคงูสวัด
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคงูสวัดได้จากการดูประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจลักษณะของผื่น โดยมักพบตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท และต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง (เช่น รักแร้ คอ) ที่มักโตและเจ็บร่วมด้วย ในบางรายอาจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย ส่วนในรายที่ยังไม่มีผื่นขึ้น หากแพทย์สงสัยจะใช้วิธีการเจาะเลือดเพื่อตรวจดูภูมิคุ้มกันต้านทานโรคหรือแอนติบอดี (Antibody)
ความแตกต่างระหว่างโรคงูสวัด อีสุกอีใส และเริม
ถ้าเป็นงูสวัด ในระยะ 1-3 วันแรก จะมีอาการปวดแปลบบริเวณเส้นประสาทที่เป็นงูสวัด ต่อมาจะมีผื่นแดงขึ้นตรงบริเวณที่ปวด แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงไปตามแนวเส้นประสาท ซึ่งตุ่มน้ำจะทยอยขึ้นใน 4 วันแรก และจะเริ่มเป็นตุ่มน้ำข้นในวันที่ 3 ค่อย ๆ แห้งตกสะเก็ดใน 7-10 วัน แล้วหลุดออกไป แต่ถ้าเป็นโรคอีสุกอีใสนั้น ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นกระจายตามบริเวณลำตัวก่อนพร้อม ๆ กันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังจากมีไข้ ซึ่งเริ่มแรกจะเป็นผื่นราบสีแดงขนาดเล็ก ๆ ก่อน จากนั้นอีก 2-3 ชั่วโมงจะกลายเป็นตุ่มนูนและตุ่มน้ำใสมีฐานสีแดงโดยรอบ ทำให้มีอาการคัน และภายใน 24 ชั่วโมงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่นขนาดใหญ่ขึ้นและแตกได้ง่าย แล้วจะฝ่อหายไปหรือกลายเป็นสะเก็ด ส่วนโรคเริมนั้น ตุ่มน้ำจะใสขึ้นทีละหลายเม็ดอยู่ติดกันเป็นหย่อม ๆ หรือกลุ่มเล็ก ๆ มักขึ้นเพียงแห่งเดียว (เช่น ริมฝีปาก แก้ม หู จมูก ตา ก้น หรือบริเวณอวัยวะเพศ) และมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก
ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด
- อาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด (Postherpetic neuralgia – PHN) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด ยิ่งอายุมากก็ยิ่งเป็นรุนแรงและนานขึ้น โดยเฉลี่ยจะพบได้ประมาณ 10-15% ของผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด พบได้ประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และพบได้มากถึง 70% ในผู้ป่วยที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกหรือเกิดขึ้นภายหลังผื่นหายหมดแล้ว มีลักษณะอาการปวดแบบลึก ๆ แบบปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา หรือปวดแบบแปลบ ๆ เสียว ๆ คล้ายกับถูกมีดแทงเป็นพัก ๆ มักมีอาการปวดเวลาถูกสัมผัสเพียงเบา ๆ จะปวดมากขึ้นในตอนกลางคืนหรือเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง ในบางครั้งอาจรุนแรงมากจนทนไม่ได้ แต่อาการปวดมักจะหายไปได้เอง ประมาณ 50% จะหายไปเองภายใน 3 เดือน และประมาณ 75% จะหายไปเองภายใน 1 ปี แต่บางรายอาจปวดนานเป็นแรมปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้างูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า
- เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เนื่องจากผู้ป่วยใช้เล็บเกาหรือเกิดจากการดูแลบาดแผลไม่ถูกสุขลักษณะ จึงทำให้กลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายได้ช้า และกลายเป็นแผลเป็น
- เมื่อเกิดกับประสาทกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงอยู่ในระยะเวลาหนึ่งได้ แต่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอยู่นานเท่าไร
- ผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นตา อาจทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ ต้อหิน ประสาทตาอักเสบ จนถึงขั้นทำให้สายตาพิการได้
- ผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดบริเวณหูด้านนอกหรือแก้วหู ซึ่งจะมีการอักเสบของประสาทหูคู่ที่ 7 และคู่ที่ 8 อาจทำให้เกิดอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก มีอาการบ้านหมุน คลื่นไส้ หูอื้อ หูตึง ตากระตุก ที่เรียกว่า Ramsay Hunt syndrome ซึ่งแพทย์มักจะให้ยาเม็ดเพรดนิโซโลนตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อป้องกันหรือลดอาการอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก
- เกิดผื่นงูสวัดชนิดแพร่กระจาย (Generalized herpes zoster) ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 8-10% ส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเอดส์ (พบว่าเป็นงูสวัดร่วมด้วยมากถึง 8-11%) มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งผู้ป่วยจะมีตุ่มขึ้นนอกแนวเส้นประสาทมากกว่า 20 ตุ่ม หรือขึ้นตามแนวเส้นประสาทมากกว่า 1 แนว อาการนี้มักจะรุนแรงและเป็นอยู่นาน อาจกระจายเข้าสู่สมองและอวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น ตับ ปอด จนเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- คุณแม่ที่เป็นงูสวัดในขณะตั้งครรภ์ อาจแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์จนกลายเป็นกลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิดได้ (Congenital varicella syndrome) ทำให้ทารกมีแผลเป็นตามตัว ตาเล็ก เป็นต้อกระจก แขนขาลีบ ศีรษะมีขนาดเล็ก ปัญญาอ่อน (กลุ่มอาการดังกล่าวส่วนใหญ่มักจะเกิดจากคุณแม่ที่เป็นอีสุกอีใสมากกว่างูสวัด)
วิธีรักษางูสวัด
- ผู้ป่วยงูสวัดที่มีอาการไม่รุนแรงมาก แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ เช่น ถ้ามีอาการปวดก็ให้ยาแก้ปวด, ถ้ามีอาการคันหรือปวดแสบปวดร้อนก็ให้ทายาแก้ผดผื่นคัน ครีมพญายอขององค์การเภสัชกรรมหรือของอภัยภูเบศร หรือให้ทาน้ำยาคาลาไมน์, ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองเฟะจากการติดเชื้อแทรกซ้อนก็ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin), อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
- ผู้ป่วยงูสวัดที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือในรายที่ขึ้นบริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น แพทย์จะให้กินยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ครั้งละ 800 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง วันละ 5 ครั้ง (เว้นมื้อหลังเข้านอนตอนดึก) นาน 7 วัน แต่จะต้องเริ่มให้ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จึงจะได้ผลดีในการลดความรุนแรงและย่นระยะเวลาให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งอาจช่วยลดอาการปวดประสาทแทรกซ้อนในภายหลังได้ด้วย
- สำหรับยาอะไซโคลเวียร์ชนิดทาภายนอกนั้น มีไว้ใช้สำหรับรักษาโรคเริม แต่ใช้ไม่ได้ผลกับโรคงูสวัดและอีสุกอีใส
- นอกจากยาอะไซโคลเวียร์แล้วยังมียาอีก 2 ชนิด คือ วาลาซิโคลเวียร์ (Valaciclovir) และแฟมซิโคลเวียร์ (Famciclovir) ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนยาอะไซโคลเวียร์ แต่มีข้อดีกว่าตรงที่ใช้กินวันละ 3 ครั้งเท่านั้น แต่ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ยังมีราคาค่อนข้างแพง เพราะมีแต่ผู้ผลิตต้นตำรับของแต่ละรายเท่านั้น
- ถ้าพบเป็นงูสวัดชนิดแพร่กระจาย (ออกนอกแนวเส้นประสาท) ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ สงสัยอาจมีภาวะแทรกซ้อนทางตา (เช่น เจ็บตา เคืองตา ตาแดง ตามัว) หรือมีอาการอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกร่วมด้วย หรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
- ในรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือเป็นชนิดแพร่กระจาย อาจต้องให้นอนพักในโรงพยาบาล และให้ยาอะไซโคลเวียร์ชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดในขนาด 10-12.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทุก ๆ 8 ชั่วโมง นาน 7 วัน
- ในรายที่งูสวัดขึ้นตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาโดยให้กินยาอะไซโคลเวียร์ ครั้งละ 800 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่ว วันละ 5 ครั้ง นาน 10 วัน และอาจให้ขี้ผึ้งป้ายตาอะไซโคลเวียร์ 3% ป้ายตาวันละ 5 ครั้งร่วมด้วย ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีม่านตาอักเสบ อาจจะต้องให้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ และยาหยอดตาอะโทรปีน 1%
- ในรายที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก แพทย์จะให้กินยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) วันละ 45-60 มิลลิกรัม จนกว่าผื่นจะหายไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และแพทย์อาจพิจารณาให้อะไซโคลเวียร์ร่วมด้วยในการรักษา
- ในรายที่เป็นงูสวัดชนิดแพร่กระจายหรือเป็นซ้ำซาก ควรส่งตรวจเลือดดูว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีซ่อนเร้นอยู่หรือไม่
- ผู้ป่วยงูสวัดที่มีอาการปวดประสาทหลังเป็นงูสวัด ในระหว่างที่มีอาการปวดแพทย์จะให้กินยาพาราเซตามอล (Paracetamol), ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) หรือทรามาดอล (Tramadol) ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง หรือให้กินยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) เริ่มต้นด้วยขนาดวันละ 20-25 มิลลิกรัม แล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้นทุก ๆ สัปดาห์จนได้ผล ถ้าใช้ในขนาดสูงประมาณวันละ 75-150 มิลลิกรัม ควรแบ่งเป็นวันละ 3 ครั้ง (ยานี้อาจทำให้ง่วงนอน ปากคอแห้ง) แต่ในกรณีที่ไม่ได้ผลหรือมีอาการปวดรุนแรง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์อาจจะต้องให้ยาฉีด ยาทา หรือยาพ่น หรือใช้แคปไซซินทา (Capsicin) ในบางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชักเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดประสาทร่วมด้วย เช่น คาร์บามาซีปีน (Carbamazepine), กาบาเพนติน (Gabapentin)
- สำหรับสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาโรคนี้แต่โบราณ คือ ใบเสลดพังพอนตัวเมียหรือพญายอ (Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau) เพราะได้มีการวิจัยพบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณในการรักษาโรคงูสวัดได้ ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมจึงได้ผลิตเป็นครีมสำเร็จรูปที่มีชื่อว่า “ครีมพญายอ” ที่สามารถนำมาใช้ทารักษาโรคได้ หรือจะใช้วิธีเอาใบเสลดพังพอนสด ๆ มาล้างน้ำให้สะอาด บดให้ละเอียด แล้วเอาน้ำที่คั้นได้มาทาบริเวณแผลที่เป็นงูสวัดก็ได้ แต่วิธีนี้ควรใช้รักษาเฉพาะกับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการรุนแรง อายุต่ำกว่า 50 ปี ไม่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และงูสวัดที่เป็นไม่ได้ขึ้นบริเวณใบหน้า
การดูแลตนเองของป่วยงูสวัด
- ตัดเล็บให้สั้น ไม่แกะหรือเกาบริเวณที่เป็นผื่นหรือตุ่ม และไม่เป่าหรือพ่นยาลงบนแผล เช่น ยาพื้นบ้านหรือยาสมุนไพรลงไปบริเวณตุ่มน้ำ เพราะอาจจะทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายช้า และกลายเป็นแผลเป็นได้
- สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมและสบายตัว
- ระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด อาบน้ำฟอกสบู่ให้ดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนของผื่นและตุ่มน้ำ
- รักษาแผลให้สะอาดอยู่เสมอ ในระยะที่เป็นตุ่มน้ำใส ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่น ๆ นำมาประคบแผลไว้ครั้งละประมาณ 5-10 นาที แล้วชุบเปลี่ยนใหม่ โดยให้ทำวันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยทำให้แผลแห่งเร็วมากขึ้น ส่วนในระยะที่ตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจเข้าสู่แผลได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
- หากมีอาการคันให้ทาน้ำยาคาลาไมน์ (Calamine lotion) และอาจร่วมกับการกินยาบรรเทาอาการคันและยาแก้ปวดด้วย (ในกรณีซื้อยาเองควรปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา)
- ให้ประคบด้วยความเย็นบริเวณที่มีอาการปวด
- ถ้ามีอาการปากเปื่อยให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก
- ผู้ที่เป็นงูสวัดอาจแพร่เชื้อให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่ยังไม่เคยรับเชื้อนี้มาก่อนได้ เช่น เด็ก ๆ หรือผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน หรือบางครั้งแม้เคยฉีดวัคซีนมาแล้วก็อาจจะทำให้เป็นอีสุกอีใสได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยมาก (ติดต่อได้จากการสัมผัสผื่นหรือตุ่มพองของโรค) ดังนั้น ผู้ป่วยที่โรคงูสวัดจึงควรแยกตัวอยู่ต่างหาก แยกข้าวของเครื่องใช้ ที่นอน เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ของผู้ป่วยกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
- ในผู้ป่วยที่เป็นโรคงูสวัดแบบแพร่กระจายหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ทางการหายใจ ดังนั้นจึงควรแยกผู้ป่วยไม่ให้อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก ๆ คุณแม่ตั้งครรภ์ และผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน
- หากผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- มีอาการปวดมากหรือมีผื่นขึ้นมาก
- ตุ่มพองเป็นหนอง เพราะต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งควรได้รับการรักษาโดยแพทย์
- มีอาการผิดปกติกับลูกตา เช่น ปวดตา เคืองตา หรือตาแดง
- มีไข้สูง ไข้ไม่ลดลงหลังกินยาลดไข้ไปแล้ว 1-2 วัน
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือสับสน หรือแขน/ขามีอาการอ่อนแรงร่วมกับการมีไข้ (เป็นอาการของสมองอักเสบ ควรรีบไปแพทย์โดยด่วน)
- การได้ยินลดลง
- เมื่อมีความกังวลในอาการของโรคงูสวัดที่เป็นอยู่
- ถ้ามีอาการปวดหลังการติดเชื้อ ให้รับประทานยาพาราเซตามอลแก้ปวด แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
คำแนะนำเกี่ยวกับโรคงูสวัด
- โรคนี้โดยทั่วไปแล้ว “ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง” และจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ การรักษาเพียงแต่ให้การบรรเทาไปตามอาการ ยกเว้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้ที่งูสวัดขึ้นบริเวณใบหน้า และผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่เริ่มมีผื่นขึ้น จะต้องให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดกินหรือฉีด
- แต่เดิมแพทย์เคยนิยมให้การรักษาโดยใช้สเตียรอยด์ในระยะแรกที่เป็นงูสวัด เพื่อป้องกันอาการปวดประสาทแทรกซ้อนตามมา แต่จากการศึกษาพบว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลจริง แม้ว่ายานี้จะช่วยลดอาการปวดที่เกิดขึ้นในระยะที่เริ่มเป็นใหม่ ๆ ได้ก็ตาม ซึ่งวิธีป้องกันการเกิดอาการดังกล่าวที่ได้ผลดีก็คือ การให้ยาต้านไวรัสอะไซโคลเวียร์ตั้งแต่เป็นเริ่มแรก
- เมื่อมีอาการของโรคงูสวัดตามที่กล่าวมาควรรีบไปพบแพทย์ ผู้ป่วยไม่ควรรักษาโรคนี้ด้วยตัวเอง เพราะมีคนไข้จำนวนมากที่ชอบรักษาโรคงูสวัดด้วยตัวเองก่อนที่จะมาพบแพทย์ ด้วยการนำสมุนไพรมาพอกบริเวณที่เป็น ทำให้หลายรายมีอาการติดเชื้อเน่าและส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง และถ้าไม่ทำการรักษาอย่างถูกต้องก็จะทำให้มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
วิธีป้องกันโรคงูสวัด
- โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสตั้งแต่ก่อนเป็นอีสุกอีใส
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นและตุ่มโรคของผู้ป่วยงูสวัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสหรือไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
- ในบางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป (เป็นคนละชนิดกับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส แต่เป็นวัคซีนที่ยังไม่แพร่หลายทั่วไป) ส่วนในบ้านเราถ้าสนใจจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ควรปรึกษาแพทย์
- หากพบว่ามีตุ่มใส ๆ เห่อขึ้นตามผิวหนังส่วนใดก็ตามให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นโรคงูสวัด แล้วรีบไปรักษาโดยด่วน เพราะถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งรักษาได้ยากขึ้น
สมุนไพรรักษาโรคงูสวัด
- กระชับ (Xanthium strumarium L.) ใช้ส่วนของใบเป็นยาแก้พิษงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- กระแตไต่ไม้ (Drynaria quercifolia (L.) J. Sm.) ใช้เหง้านำมาฝนทาแก้งูสวัด
- กระพังโหม (Paederia foetida L.) มีข้อมูลระบุว่า สมุนไพรชนิดนี้ใช้รักษาโรคงูสวัดได้แต่ไม่ได้ระบุส่วนที่ใช้เอาไว้ (แต่คาดว่าน่าจะใช้ทั้งต้นและใบ)
- ก้างปลาเครือ (Phyllanthus reticulatus Poir.) รากมีสรรพคุณเป็นยาขับพิษ ใช้ทาแก้งูสวัดได้
- กำจัดดอย (Zanthoxylum acanthopodium DC.) ตามรายงานระบุว่า นอกจากจะใช้เมล็ดกำจัดดอยเป็นยาแก้อีสุกอีใสได้แล้ว ยังใช้รักษาโรคเริมและงูสวัดได้ด้วย
- เขยตาย (Glycosmis pentaphylla (Retz.) DC.) ใช้ใบเขยตายนำมาขยี้หรือบดผสมกับเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์หรือน้ำมะนาว ใช้เป็นยาทารักษางูสวัด
- จักรนารายณ์ (Gynura divaricata (L.) DC.) .ใช้ใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวกันเป็นก้อน ๆ และไม่หลุดได้ง่าย แล้วนำมาพอกตรงรอยแผลทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือจะนำใบมาคั้นเอาแต่น้ำใช้ทาสด ๆ หรือใช้ตำพอกเลยก็ได้
- ชุมเห็ดไทย (Senna tora (L.) Roxb.) ให้ใช้รากสด ๆ นำมาบดผสมกับน้ำมะนาวใช้รักษางูสวัด
- ตะขาบหิน (Homalocladium platycladum (F.Muell.) L.H.Bailey) ใช้ทั้งต้นเป็นยาภายนอกแก้โรคงูสวัด
- ตำลึง (Coccinia grandis (L.) Voigt) ให้ใช้ใบตำลึงสด ๆ ประมาณ 2 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาผสมกับพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นงูสวัด
- เทียนบ้าน (Impatiens balsamina L.) ให้ใช้ต้นสด นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา ส่วนกากที่เหลือให้เอามาพอกบริเวณที่เป็น
- น้อยหน่า (Annona squamosa L.) ผลแห้งมีสรรพคุณเป็นยาแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- นางแย้ม (Clerodendrum chinense (Osbeck) Mabb.) ให้นำรากมาฝนกับน้ำปูนใส ใช้เป็นยาทารักษางูสวัด
- น้ำเต้า (Lagenaria siceraria (Molina) Standl.) ให้ใช้ใบน้ำเต้าสด ๆ นำมาโขลกผสมกับเหล้าขาว หรือโขลกเพื่อคั้นเอาแต่น้ำ หรือใช้ใบสดผสมกับขี้วัวแห้งหรือขี้วัวสด โดยโขลกให้เข้ากันจนได้ที่ แล้วผสมกับเหล้าขาว 40 ดีกรี (การผสมขี้วัวเข้าใจว่าขี้วัวมีแอมโมเนีย จึงทำให้เย็นและช่วยถอนพิษอักเสบได้ดีกว่าตัวยาอื่น) ใช้เป็นยาทาถอนพิษร้อน ดับพิษ แก้อาการฟกช้ำบวม พุพอง แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน รักษาอาการพองตามผิวหนังตามตัว แก้เริม รวมทั้งงูสวัดได้ดี
- น้ำนมราชสีห์เล็ก (Euphorbia thymifolia L.) ใช้ส่วนของต้นเป็นยาแก้งูสวัดขึ้นรอบเอว ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 1 กำมือ และกระเทียม 1 หัว นำมาตำให้ละเอียด แล้วผสมกับน้ำสุดที่เย็นแล้ว ใช้ทาบริเวณที่เป็นตุ่ม
- ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) ให้ใช้ยาผง (จากปลาไหลเผือก) ผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาใช้ทารอบแผลอย่างช้า ๆ
- ผักเชียงดา (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) ใช้ใบสดตำพอกบริเวณที่เป็นงูสวัด
- ผักบุ้งทะเล (Ipomoea pes-caprae (L.) R. Br.) ทั้งต้นมีสรรพคุณช่วยกระจายพิษ แก้พิษฝีบวม ฝีหนองบวมแดงอักเสบ รวมทั้งช่วยแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- ผักเป็ดน้ำ (Alternanthera philoxeroides (Mart.) Griseb.) ใช้ทั้งต้นสด ๆ นำมาตำพอกบริเวณที่เป็นงูสวัด
- ผักเสี้ยน (Cleome gynandra L.) ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- พญาท้าวเอว (Oxyceros bispinosus (Griff.) Tirveng.) ด้วยการใช้ลำต้นนำมาฝนกับน้ำปูนใสกินเป็นยาแก้งูสวัด
- พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb.) จากข้อมูลระบุว่า พลูคาวมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสชนิดต่าง ๆ เช่น ไข้ทรพิษ หัด เริม เอดส์ รวมถึงงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- พุดตาน (Hibiscus mutabilis L.) ให้ใช้ใบสดประมาณ 4-5 ใบ นำมาล้างน้ำสะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำซาวข้าวลงไป แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นบ่อย ๆ หรืออีกวิธีก็คือการใช้รากพุดตานสดนำมาตำแล้วพอก หรือจะนำรากแห้งมาบดให้เป็นผงผสมแล้วใช้พอกก็ได้
- เพกา (Oroxylum indicum (L.) Kurz) ให้ใช้เปลือกต้นเพกา เปลือกคูน และรากต้นหมูหนุน นำมาฝนใส่น้ำทาบริเวณที่เป็น จะช่วยให้โรคงูสวัดหายเร็วขึ้น
- แพงพวยน้ำ (Ludwigia adscendens (L.) H.Hara) ใช้ทั้งต้นเป็นยารักษาโรคงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก
- มะรุม (Moringa oleifera Lam.) จากข้อมูลระบุว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถใช้รักษาโรคเริมและงูสวัดได้ แต่ไม่ได้ระบุส่วนที่ใช้และวิธีใช้เอาไว้
- มันเทศ (Ipomoea batatas (L.) Lam.) ตำรายาไทยจะใช้หัวมันเทศนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล รักษาเริม และงูสวัด
- ไมยราบ (Mimosa pudica L.) จากข้อมูลระบุว่า ใบไมยราบมีสรรพคุณช่วยแก้อาการงูสวัดได้ (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- ย่านาง (Limacia triandra Miers) จากข้อมูลระบุว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถใช้รักษาโรคเริมและงูสวัดได้ แต่ไม่ได้ระบุส่วนที่ใช้และวิธีใช้เอาไว้
- รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ใบและรากมีสรรพคุณเป็นยาต้านการอักเสบต่าง ๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม อีสุกอีใส รวมทั้งงูสวัด
- ลางสาด (Lansium parasiticum (Osbeck) K.C.Sahni & Bennet) เมล็ดลางสาดมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- ว่านมหากาฬ (Gynura pseudochina (L.) DC.) ใช้ใบสดตำพอกรักษางูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 5-6 ใบ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำในภาชนะที่สะอาด ใส่พิมเสนเล็กน้อย หรือใช้ใบโขลกผสมกับเหล้า แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาหรือพอกบริเวณที่เป็น
- สตรอว์เบอร์รี่ป่า (Duchesnea indica (Jacks.) Focke) ใบและก้านใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังผดผื่นคัน ฝีมีหนอง รวมทั้งงูสวัด
- สนุ่น (Salix tetrasperma Roxb.) ใบสนุ่นมีรสจืดเย็นเมา น้ำคั้นจากใบสด ใช้เป็นยาทา พอก หรือพ่นแก้พิษงูสวัดได้
- สายน้ำผึ้ง (Lonicera japonica Thunb.) ผู้ที่เป็นงูสวัดที่ดูเหมือนแผลจะหายดีแล้ว แต่ยังมีพิษของโรคงูสวัดตกค้างในร่างกาย คือมีอาการปวดแสบปวดร้อนและบวม ให้ใช้ดอกสายน้ำผึ้ง 10 กรัม, ใบโด่ไม่รู้ล้ม 10 กรัม, ข้าวเย็นเหนือ 30 กรัม, และข้าวเย็นใต้ 30 กรัม (แบบแห้งทั้งหมด) นำมาต้มรวมกันในน้ำ 1 ลิตร จนเดือด ใช้ดื่มในขณะอุ่นครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น โดยให้ดื่มไปเรื่อย ๆ จะช่วยขับพิษของโรคงูสวัดที่ตกค้างในร่างกายออกได้ และอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปในที่สุด
- เสลดพังพอนตัวผู้ (Barleria lupulina Lindl.) เสลดพังพอนตัวผู้ ให้ใช้ใบสด (ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) ประมาณ 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น (วิธีการใช้จะเหมือนกับเสลดพังพอนตัวเมีย แต่เสลดพังพอนตัวผู้จะมีฤทธิ์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย ชาวบ้านจึงนิยมใช้เสลดพังพอนมาทำเป็นยาเสียมากกว่า)
- เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญายอ (Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau) ให้ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ ประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมน ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาวคั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำมาทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น ส่วนตำรับยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ นำมาผสมกับดอกลำโพง และโกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด
- แสมสาร (Senna garrettiana (Craib) H.S.Irwin & Barneby) ใช้ใบเป็นยาบำบัดโรคงูสวัด
- หญ้าเกล็ดหอยเทศ (Hydrocotyle sibthorpioides Lam.) ใช้ทั้งต้นนำมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปแช่ในแอลกอฮอล์ 6 ชั่วโมง จากนั้นนำมาทาบริเวณที่เป็นแผลงูสวัด
- หญ้าดอกขาว (Cyanthillium cinereum (L.) H.Rob.) ใช้ทั้งต้นเป็นยาภายนอกแก้งูสวัด
- หญ้าพันงูแดง (Cyathula prostrata (L.) Blume) ใช้ใบสดตำพอกแก้งูสวัด
- หวดหม่อน (Clausena excavata Burm.f.) ตำรับยาพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีจะใช้รากหวดหม่อนนำมาฝนกับน้ำดื่มเป็นยาแก้โรคงูสวัด
- เหงือกปลาหมอ (Acanthus ebracteatus Vahl) ให้ใช้รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้
- เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst) จากข้อมูลระบุว่า สมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัส อย่างไวรัสเอดส์ อีสุกอีใส และงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
- อ้อย (Saccharum officinarum L.) ใช้ส่วนของต้นเป็นยารักษาโรคงูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
หมายเหตุ : หากต้องการดูข้อมูลสมุนไพรเพิ่มเติม (รูปภาพประกอบ ลักษณะของต้น วิธีการใช้ยาสมุนไพร และสรรพคุณทางยาอื่น ๆ ของชนิดสมุนไพรที่กล่าวมา รวมถึงแหล่งอ้างอิง) โปรดคลิกที่ชื่อสมุนไพรเพื่อไปยังหน้าบทความนั้น ๆ ได้เลยครับ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- ไฟลามทุ่ง อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคไฟลามทุ่ง 5 วิธี !!
- ลมพิษ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคลมพิษ 11 วิธี !!
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “งูสวัด (Herpes zoster/Shingles) ”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 974-977.
- หาหมอดอทคอม. “งูสวัด (Herpes zoster)”. (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [06 มี.ค. 2016].
- ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. “โรคงูสวัด (Herpes Zoster, Shingles)”. (อ.พญ.จรัศรี ฬียาพรรณ, พญ.พิชญา มณีประสพโชค, รศ.พญ.วรัญญา บุญชัย, ผศ.ดร.นพ.สุขุม เจียมตน, นางรษิกา ฤทธิ์เรืองเดช). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th. [07 มี.ค. 2016].
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. “งูสวัด”. (ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.mfu.ac.th. [06 มี.ค. 2016].
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 368 คอลัมน์ : การใช้ยา พอเพียง. “ยารักษางูสวัด”. (ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [21 มิ.ย. 2016].
ภาพประกอบ : www.pyroenergen.com, hardinmd.lib.uiowa.edu, www.herpeszostertreatment.net, www.apiwut.com
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)