20 ประโยชน์ของวิตามินเอ (Vitamin A) จากงานวิจัย !

วิตามินเอ (Vitamin A) กับประโยชน์ทางการแพทย์

วิตามินเอ

วิตามินเอ (Vitamin A) คือ วิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็นและผิวหนังที่ดี มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ การสืบพันธุ์ที่ดี ช่วยให้หัวใจ ปอด ไต และอวัยวะอื่น ๆ ทำงานได้อย่างถูกต้องเป็นปกติ การขาดวิตามินเอแม้จะพบได้น้อยแต่ก็อาจทำให้เกิดอันตรายหรือความเสี่ยงได้หลายอย่าง และแพทย์มักใช้วิตามินเอเพื่อรักษาภาวะขาดวิตามินเอเป็นหลัก และอาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นตามคำแนะนำของแพทย์

วิตามินเอไม่ใช่สารประกอบแบบเดี่ยว ๆ แต่เป็นกลุ่มของสารประกอบทางเคมีที่มีโครงสร้างคล้ายกัน ซึ่งได้แก่ เรตินอล (Retinol), เรตินอลดีไฮด์ (Retinaldehyde), กรดเรติโนอิก (Retinoic acid) และโปรวิตามินเอ แคโรทีนอยด์ (Provitamin A carotenoids) ซึ่งรวมถึงเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene), แอลฟาแคโรทีน (Alpha-carotene), แกมมาแคโรทีน (Gamma-carotene) และคริปโตแซนธิน (Cryptoxanthin) โดยเรตินอลและเบต้าแคโรทีนจะเป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดที่พบได้ในอาหารและอาหารเสริม โดยชนิดแรกจะพบในสัตว์และชนิดหลังพบได้ในพืช (อ้างอิง 1)

วิตามินเอมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท (1) ได้แก่

  1. Preformed vitamin A (Retinol) พบได้ในอาหารจากสัตว์ โดยมีมากที่สุดในตับ ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนวิตามินเอในอาหารเสริมนั้นก็มักจะหมายถึงรูปแบบพรีฟอร์มนี้ หรือรูปแบบเรตินอล ซึ่งรวมถึงเรตินอลพัลมิเทต (Retinyl palmitate) และเรตินิลอะซีเตต (Retinyl acetate)
  2. Provitamin A carotenoids เป็นสารสีจากพืชที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในลำไส้ จึงพบได้ในอาหารจากพืช เช่น ผักใบเขียว ผักสีส้มและสีเหลือง ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ ผลไม้ และน้ำมันพืชบางชนิด โดย Provitamin A carotenoids หลักในอาหารของมนุษย์ ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene), แอลฟาแคโรทีน (Alpha-carotene), และเบต้าคริปโตแซนธิน (Beta-cryptoxanthin) ส่วนแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ในอาหาร เช่น ไลโคปีน, ลูทีนและซีแซนทีน, แอสตาแซนธิน นั้นจะไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอ จึงเรียกว่าแคโรทีนอยด์ที่ไม่ใช่โปรวิตามินเอ (non-Provitamin A carotenoids)

วิตามินเอ (Vitamin A) หมายถึงกลุ่มของสารประกอบที่จำเป็นต่อการมองเห็นและผิวหนังที่ดี การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก วิตามินเอที่พบได้บ่อยที่สุดคือเรตินอล (พบได้ในอาหารจากสัตว์) และเบต้าโรทีน (อาหารจากพืช)

ประโยชน์ของวิตามินเอ

1. ใช้ป้องกันและรักษาภาวะขาดวิตามินเอ (Vitamin A deficiency) ซึ่งเป็นภาวะทางโภชนาการที่มักพบได้ในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด, ทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรในประเทศที่มีรายได้น้อย, บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร, ผู้ที่เป็นโรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) เป็นต้น การขาดวิตามินเอยังคงพบได้บ่อยในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมักเป็นผลมาจากการเข้าถึงอาหารที่มีวิตามินได้อย่างจำกัด เนื่องจากความยากจนหรือการรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมซ้ำ ๆ จากการสำรวจประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง 138 ประเทศ พบว่า 29% ของเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี มีภาวะขาดวิตามินเอ นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ประมาณ 10-20% ในประเทศที่มีรายได้น้อยก็มักมีภาวะขาดวิตามินเอเช่นกัน ส่วนในประเทศที่เจริญแล้วการขาดวิตามินเอจะพบได้น้อยกว่า 1% ของประชากร และมีเพียง 2% ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดขาดวิตามินเอ (1)

2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินเอเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและเกี่ยวข้องกับการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นตัวช่วยดักจับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย นั่นหมายความว่า หากร่างกายขาดวิตามินเอก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นและทำให้เราหายป่วยได้ช้าลง (6, 7)

3. ลดความเสี่ยงมะเร็ง งานวิจัยหลายชิ้นได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินเอกับมะเร็งชนิดต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างระดับวิตามินเอในเลือดหรือการเสริมวิตามินเอกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหรือการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งนั้นยังไม่ชัดเจน และหลักฐานการทดลองทางคลินิกบางชิ้นยังบ่งชี้ว่าการเสริมวิตามินเออาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งบางรูปแบบอื่น แม้จะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดได้ก็ตาม ดังข้อมูลที่แสดงไว้ด้านล่าง

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของซีลีเนียม, ไลโคปีน

4. เพิ่มอัตราการรักษาและการมองเห็นที่ดีขึ้นหลังผ่าตัดตาด้วยเลเซอร์ การศึกษาชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการได้รับ วิตามินเอและวิตามินอีในขนาดสูง ช่วยเพิ่มอัตราการรักษาและการมองเห็นที่ดีขึ้นหลังการผ่าตัดรักษาค่าสายตาผิดปกติโดยใช้เลเซอร์ (PRK) เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาสั้น (31)

5. ตาบอดกลางคืน (Night blindness) มีรายงานการสูญเสียการมองเห็นตอนกลางคืน (ตาบอดตอนกลาง) ในชายอายุ 60 ปีที่เป็นโรคโครห์น (Crohn’s disease) ซึ่งผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้งและมีระดับวิตามินเอในเลือดต่ำมาก เมื่อได้รับการเสริมวิตามินเอ 100,000 IU ต่อวันโดยการฉีดเข้าทางกล้ามเนื้ออเป็นเวลา 3 วัน ตามด้วย 50,000 IU ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จากนั้นให้ยารับประทานวันละ 25,000 IU เป็นเวลา 1 ปี ช่วยให้ระดับวิตามินเอในเลือดเพิ่มจาก 11 mcg/dL เป็น 78 mcg/dL และมีการมองเห็นที่ดีขึ้น (32)

6. ลดความเสี่ยงต้อกระจก (Cataracts) จากข้อมูลพบว่าวิตามินเออาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันต้อกระจก (33) และการเพิ่มปริมาณวิตามินเอในอาหารนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของต้อกระจก (34)

7. โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD) เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นที่สำคัญในผู้สูงอายุ การศึกษาของหน่วยงานในสหรัฐฯ ที่เรียกกัน AREDS (Age-Related Eye Disease Study) ได้ประเมินการเสริมวิตามินเอในรูปของเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี พบว่าช่วยลดความเสี่ยงที่โรค AMD จะลุกลามขึ้นได้ 25% ในช่วง 5 ปี เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก แต่ผลที่ได้มีเฉพาะในผู้เป็น AMD ระยะกลางหรือระยะรุนแรงเท่านั้น (ผู้ที่เป็น AMD ระยะเริ่มต้นหรือเป็นเล็กน้อยนั้นไม่พบประโยชน์) (35) อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าประโยชน์นี้เกิดจากส่วนผสมเดียวหรือส่วนผสมบางอย่างรวมกัน เพราะการศึกษาในภายหลัง (AREDS2) กลับพบว่าการเอาวิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีนออกจากสูตรก็ไม่ได้ทำให้ประโยชน์นี้ลดลง กล่าวคือ เบต้าแคโรทีนไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติมในสูตรส่วนผสมนี้ (36)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของวิตามินซี, วิตามินอี, สังกะสี (ซิงค์)

8. โรคจอประสาทตามีสารสี (Retinitis pigmentosa) วิตามินเออาจมีประสิทธิภาพในการชะลอการลุกลามของโรคจอประสาทตามีสารสี (33)

9. ส่งเสริมสุขภาพของกระดูก แม้สารอาหารหลักที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกจะเป็นโปรตีน แคลเซียม และวิตามินดี แต่การได้รับวิตามินเออย่างเพียงพอก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพกระดูกเช่นกัน เพราะในผู้ที่มีระดับวิตามินเอในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงต่อกระดูกมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไป (ผู้ที่ได้รับวิตามินเอเพียงพอจากอาหารจะมีความเสี่ยงต่อกระดูกหักลดลง 6% เมื่อเทียบกับผู้ที่ขาด) (37) อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินเอที่มากเกินไป โดยเฉพาะจากอาหารเสริมนั้นกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักแทน (38) ดังนั้น การได้รับวิตามินอย่างเพียงพอตามปริมาณที่แนะนำต่อวัน โดยเฉพาะจากอาหารปกติจึงอาจช่วยปกป้องกระดูกและลดความเสี่ยงกระดูกหักได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของแคลเซียม, วิตามินดี

10. การสืบพันธุ์ที่ดี วิตามินเออาจช่วยให้ระบบสืบพันธุ์แข็งแรงทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยมีการศึกษาในหนูทดลองเพศผู้ที่แสดงให้เห็นว่าการขาดวิตามินสามารถขัดขวางการพัฒนาของสเปิร์มแล้วทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก เช่นเดียวกับการศึกษาในหนูทดลองตัวเมียที่ขาดวิตามินเอแล้วส่งผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ (ไข่มีคุณภาพไม่ดีและลดอัตราการฝังตัวของไข่) (39, 40)

11. จำเป็นต่อพัฒนาการที่ดีของทารก วิตามินเอจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของตัวอ่อนในระหว่างการตั้งครรภ์ มีความสำคัญต่อพัฒนาการของอวัยวะและโครงสร้างของทารกในครรภ์ตั้งแต่โครกระดูก ระบบประสาท หัวใจ ตา ปอด ตับอ่อน และไต อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินเอมากเกินไปในระหว่างการตั้งครรภ์ก็อาจนำไปสู่ความพิการแต่กำเนิดของทารกได้ (41, 42)

12. โรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) การศึกษาขนาดเล็กในเด็กอายุ 4-6 ปีในประเทศจีนที่เป็นโรค ASD พบว่าส่วนใหญ่มีระดับเรตินอลในเลือดต่ำกว่าเด็กที่ไม่ได้เป็น (0.54 เทียบกับ 0.82 µmol/L ตามลำดับ) โดยเด็กที่เป็น ASD เมื่อได้รับวิตามินเอในปริมาณมากเพียงครั้งเดียว (200,000 IU) เมื่อทำการทดสอบอีกครั้งใน 6 เดือนต่อมา พบว่าระดับเรตินอลในเลือดโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 0.79 µmol/L และช่วยปรับปรุงอาการของโรคออทิสติกให้ดีขึ้นเมื่อประเมินด้วยแบบวัดออทิสติกในวัยเด็ก (CARS) เช่น การปรับตัวหรือพัฒนาการทางการสังคม ความวิตกกังวล การสื่อสาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ไม่มีกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม (43)

13. ท้องร่วงในหญิงตั้งครรภ์ วิตามินเออาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการท้องเสียหรือท้องร่วง (Diarrhea) ในหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดสารอาหาร (33)

14. โรคหัด ในปี 2019 โรคหัดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากกว่า 207,500 คนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเด็กเล็กในประเทศที่มีรายได้น้อย (1) โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการได้รับวิตามินเอไม่เพียง องค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานวิตามินเอในปริมาณมากในเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความชุกของการขาดวิตามินเอเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรคหัด สำหรับปริมาณที่แนะนำคือวิตามินเอ 30,000 mcg RAE (100,000 IU) หนึ่งครั้งสำหรับทารกอายุ 6-11 เดือน และขนาด 60,000 mcg RAE (200,000 IU) ทุก 4-6 เดือนสำหรับอายุ 1-5 ปี (44)

การเสริมวิตามินเอมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่ลดลงจากโรคหัด 26% (1) แต่บางการศึกษาก็พบว่าการเสริมวิตามินเอไม่ได้ช่วยลดการเสียชีวิตจากโรคหัด แต่พบว่าช่วยป้องกันหรือลดอุบัติการณ์เกิดโรคหัดได้ (45)

15. ดีต่อสุขภาพผิวหนังและเส้นผม วิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมทั้งผิวหนังและเส้นผม โดยมีส่วนช่วยในการผลิตซีบัมซึ่งเป็นน้ำมันที่ช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นของผิวหนังและเส้นผม

16. ลดความเสี่ยงการเกิดสิว การขาดวิตามินเออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิว (46) การวิจัยในวารสาร American Academy of Dermatology ชี้ให้เห็นว่ายาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ซึ่งเป็นเรตินอยด์ชนิดหนึ่ง สามารถช่วยรักษาสิวที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ยังใช้รักษาในผู้ที่เป็นสิวปานกลางที่ดื้อต่อการรักษารูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วย (47)

17. รอยแผลเป็นจากสิว เรตินอยด์อาจช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้จากการศึกษาหนึ่งที่พบว่าการรักษาด้วยเรตินอยด์ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดีขึ้นหลังจากผ่านไป 24 สัปดาห์

18. ครีม เจล หรือเซรั่มทาเฉพาะที่เพื่อรักษาปัญหาทางผิวหนัง อนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Retinol, Retinyl-palmitate, Retinyl-acetate, Retinaldehyde มักถูกใช้เป็นส่วนผสมทั่วไปในครีม เจล หรือเซรั่มเพื่อใช้แก้ปัญหาผิวหนังในด้านต่าง ๆ เช่น การเพื่อใช้ลดสิว ลดริ้วรอยหรือป้องกันการเกิดริ้วก่อนวัย รักษาผิวจากการได้รับรังสียูวี ใช้ปรับสภาพผิวหรือสีผิว รวมไปใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังหนาขึ้นผิดปกติ (ผิวหนังหนาผิดปกติ)

  • นอกจากอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ใช้จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระในผิวหนังชั้นบนสุดแล้ว ยาทาเรตินอยด์อาจเพิ่มการสังเคราะห์และยับยั้งการเสื่อมสภาพของคอลลาเจน (48)
  • มีหลักฐานการผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอล 0.04-0.1% สามารถช่วยปรับปรุงโทนสีผิวได้เล็กน้อยและช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ (49)
  • อย่างไรก็ตาม เรตินอยด์ในรูปแบบทามักทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองในช่วงแรก เช่น ผิวหนังแห้ง แดง แสบไหม้ หรือลอกเป็นสะเก็ด แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้จะลดลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องเกิน 4 สัปดาห์ และการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทาอาจช่วยลดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ ส่วนในหญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทาเรตินอยด์ เพราะอาจทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของคอลลาเจน (Collagen) จากงานวิจัย !

19. ป้องกันผิวไหม้แดด เบต้าแคโรทีนถูกนำมาใช้เพื่อลดความไวต่อแสงแดดในผู้ที่มีภาวะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Erythropoietic porphyria ในทำนองเดียวกัน เบต้าแคโรทีนอาจช่วยป้องกันผิวไหม้แดดได้เล็กน้อยในผู้ที่ไวต่อแสงแดด โดยปริมาณเบต้าแคโรทีนต่อวันคือ 25 มก. (6,250 mcg RAE หรือ 41,666 IU) โปรดทราบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบต้าแคโรทีนไม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังได้ และไม่น่าจะช่วยป้องกันผิวไหม้แดดในคนปกติ

20. ประโยชน์เบต้าแคโรทีนด้านอื่น ๆ (การศึกษามีจำกัด) การวิจัยในมนุษย์อย่างจำกัดแสดงให้เห็นว่าเบต้าแคโรทีนอาจป้องกันโรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกาย, ลดอาการของโรคฝ้าขาวในช่องปาก (Oral leukoplakia), ชะลอการลุกลามของโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis), เพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ, รักษาการติดเชื้อ (โดยเฉพาะในลำคอ หน้าอก และช่องท้อง), ผิวหนังหนาขึ้นผิดปกติ (Hyperkeratosis)

ข้อควรรู้และคำแนะนำ

  • อาหารที่มีวิตามินเอสูง : ตับเนื้อ มันเทศ ผักโขม พายฟักทอง แครอท, ปลาแฮร์ริ่ง, ไอศกรีม, นมพร่องมันเนย, แคนตาลูป, ชีส, พริหวานแดง, มะม่วง, อาหารเช้าซีเรียลเสริมวิตามินเอ, ไข่ต้ม, แอปริคอตแห้ง, บรอกโคลีต้ม, ปลาแซลมอน, น้ำมันมะเขือเทศ, โยเกิร์ต, ปลาทูน่ากระป๋อง, ไก่, ถั่วต่าง ๆ
  • ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวัน (RDA) : เป็นระดับการบริโภคเฉลี่ยต่อวันที่ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพดีเกือบทั้งหมด (97-98%) เป็นดังนี้ (1)
    • อายุไม่เกิน 6 เดือน : 400 mcg RAE
    • อายุ 7-12 เดือน : 500 mcg RAE
    • อายุ 1-3 ปี : 300 mcg RAE
    • อายุ 4-8 ปี : 400 mcg RAE
    • อายุ 9-13 ปี : 600 mcg RAE
    • ผู้ชายอายุ 14 ปีขึ้นไป : 900 mcg RAE
    • ผู้หญิงอายุ 14 ปีขึ้นไป : 700 mcg RAE
    • หญิงตั้งครรภ์ : อายุ 14-18 คือ 750 mcg RAE และอายุ 19-50 ปี คือ 770 mcg RAE
    • หญิงให้นมบุตร : อายุ 14-18 คือ 1,200 mcg RAE และอายุ 19-50 ปี คือ 1,300 mcg RAE
  • หน่วยวัดของวิตามินเอ : ในปัจจุบันหน่วยการวัดของวิตามินเอ คือ mcg RAE แต่ก่อนหน้านี้จะใช้หน่วย IU ซึ่งอาหารเสริมวิตามินเอในปัจจุบันก็กำลังทยอยเปลี่ยนไปใช้หน่วย mcg RAE หากต้องการแปลง IU เป็น mcg RAE สามารถเทียบค่าได้ดังนี้
    • 1 IU retinol (อาหารปกติและอาหารเสริมที่ให้เรตินอล) = 0.3 mcg RAE
    • 1 IU supplemental beta-carotene (อาหารเสริมเบต้าแคโรทีน) = 0.3 mcg RAE
    • 1 IU dietary beta-carotene (อาหารปกติที่ให้เบต้าแคโรทีน) = 0.05 mcg RAE
    • 1 IU dietary alpha-carotene or beta-cryptoxanthin (อาหารปกติที่ให้แอลฟาแคโรทีนหรือเบต้าคริปโตแซนธิน) = 0.025 mcg RAE
  • การดูดซึมของวิตามินเอ : ร่างกายสามารถดูดซึมเรตินอลจากอาหารปกติได้มากถึง 75-100% และดูดซึมเบต้าแคโรทีนจากอาหารได้ 10-30% ส่วนการดูดซึมของวิตามินเอในอาหารเสริม (Preformed vitamin A) จะอยู่ที่ 70-90% ในขณะที่อาหารเสริมเบต้าแคโรทีนจะดูดซึมได้ประมาณ 8.7-65% (1)
  • กลุ่มเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ (1) :
    • ทารกคลอดก่อนกำหนด เมื่อแรกเกิดทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีการสะสมของวิตามินเอในตับต่ำ และระดับความเข้มข้นของเรตินอลในพลาสมามักจะอยู่ในระดับต่ำตลอดช่วงปีแรก (ทำให้เสี่ยงต่อโรคตาและโรคปอดเรื้อรัง) อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่มีรายได้สูงมักไม่พบการขาดวิตามินเอในทารกและมักจะเกิดเฉพาะในผู้ที่มีความผิดปกติของการดูดซึมสารอาหาร
    • ทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรในประเทศที่มีรายได้น้อย ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกเด็กวัยก่อนเรียนมีภาวะขาดวิตามินเอมากถึง 190 ล้านคน (1 ใน 3 ของเด็กทั้งหมดทั่วโลกในกลุ่มอายุนี้) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกาและประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มีความเสี่ยงสูงต่อความบกพร่องทางการมองเห็น การเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ เช่น โรคหัด ท้องร่วง) ส่วนในหญิงตั้งครรภ์มีการประมาณว่ามีการขาดวิตามินเอมากถึง 9.8 ล้านคน (15% ของหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด) โดยในหญิงตั้งครรภ์จะต้องการวิตามินเอมากขึ้นเพื่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ส่วนผู้หญิงให้นมบุตรก็ต้องได้รับวิตามินเออย่างเพียงพอเพื่อให้วิตามินเอในน้ำนมแม่มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของทารกในช่วง 6 เดือนแรก
    • ผู้ที่เป็นโรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) มากถึง 90% ของผู้ที่เป็นโรคนี้มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอสูงเนื่องจากปัญหาการดูดซึมไขมันที่ลำบาก การศึกษาในออสเตรเลียและเนเธอแลนด์ระบุว่า 2-13% ของเด็กและวัยรุ่นที่เป็นโรคนี้มีภาวะขาดวิตามินเอ
    • ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคโครห์น (Crohn’s disease), โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (Ulcerative colitis), โรคเซลิแอค (Celiac disease) มักมีภาวะขาดวิตามิเอ
  • ข้อห้ามในการใช้ :
    • หญิงตั้งครรภ์ : ห้ามใช้วิตามินเอโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ แม้ว่าวิตามินเอบางชนิดจะจำเป็นต่อพัฒนาของทารก แต่วิตามินเอก็อาจทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดได้หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป
    • หญิงให้นมบุตร : ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ถึงปริมาณที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล
    • ผู้ที่มีภาวะหรือโรคดังต่อไปนี้ : มีภาวะขาดธาตุเหล็กหรือสังกะสี, ขาดสารอาหาร, มีภาวะลำไส้สั้น, เป็นโรคไต, โรคโลหิตจาง,โรคตับอ่อนอักเสบ, โรคเซลิแอค (Celiac disease), โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis), มีปัญหาเกี่ยวกับตับ (เช่น เป็นโรคตับแข็ง โรคดีซ่าน), มีการติดเชื้อในลำไส้, หรือหากร่างกายดูดซึมไขมันได้ไม่ดี (33)
  • ปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ (ULs) : เนื่องจากการได้รับวิตามินมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเป็นพิษและเป็นอันตรายได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการกำหนดปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับวิตามินเอ (Preformed vitamin A) ทั้งที่มาจากอาหารปกติจากสัตว์และจากอาหารเสริม ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ทานเกิน ULs เป็นประจำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำของแพทย์ (ส่วนเบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์อื่น ๆ นั้นกรรมาธิการอาหารและโภชนาการของสหรัฐฯ (FNB) ไม่ได้กำหนดขนาดเอาไว้ แต่ทาง FNB แนะนำว่าไม่ควรใช้อาหารเสริมเบต้าแคโรทีนในคนทั่วไป ยกเว้นการใช้เพื่อเป็นแหล่งโปรวิตามินเอเพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามินเอ) (1)
    • อายุไม่เกิน 3 ปี : 600 mcg RAE (2,000 IU)
    • อายุ 4-8 ปี : 900 mcg RAE (3,000 IU)
    • อายุ 9-13 ปี : 1,700 mcg RAE (5,666 IU)
    • อายุ 14-18 ปี : 2,800 mcg RAE (9,333 IU)
    • อายุ 19 ปีขึ้นไป : 3,000 mcg RAE (10,000 IU)
  • ความเสี่ยงจากการได้รับวิตามินเอมากเกินไป : เนื่องจากวิตามินเอละลายในไขมัน ร่างกายจึงเก็บสะสมปริมาณส่วนเกินไว้ที่ตับเป็นหลัก และระดับเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการสะสมจนเกิดผลเสียต่อร่างกายได้
    • วิตามินเออาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง : ไปพบแพทย์ทันทีหากคุณมีอาการไข้ เหงื่อออก อ่อนเพลียผิดปกติ, อารมณ์เปลี่ยนแปลง, สับสนหรือรู้สึกหงุดหงิด, อาเจียน, ท้องร่วง, เบื่ออาหาร, รอบเดือนเปลี่ยน, มองเห็นภาพซ้อน, เหงือกมีเลือดออกหรือเจ็บปาก, ชัก, ผมร่วง ผิวลอก ผิวรอบปากแตก หรือผิวเปลี่ยนสี และควรพบแพทย์ทันทีหากเกิดอาการแพ้ ลมพิษ หายใจลำบาก หรือเกิดอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ (33)
    • ภาวะการได้รับวิตามินเอเกินขนาด (Hypervitaminosis A) : อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันหรือหลายสัปดาห์หลังจากรับประทานในขนาดสูงมาก 1-3 ครั้ง (โดยทั่วไปคือมากกว่า 100 เท่าของปริมาณที่แนะนำต่อวัน (RDA) หรือประมาณ 70,000-90,000 mcg RAE) และทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และมีปัญหาด้านความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะทำงานในเวลาหรือลำดับที่ถูกต้อง ส่วนในกรณีที่รุนแรง ความดันน้ำไขสันหลังในสมองจะเพิ่มขึ้น นำไปสู่อาการง่วงนอน โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด ในขณะที่การได้รับวิตามินขนาดสูงเป็นประจำ (Chronic hypervitaminosis A) หรือมากกว่า RDA ประมาณ 10 เท่า (7,000-9,000 mcg RAE) อาจทำให้ผิวแห้ง ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และผลการตรวจตับผิดปกติ (50)
    • ทารกพิการ : การเสริมวิตามินเอเกินปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ (ULs) รวมทั้งเรตินอยด์ในรูปแบบยาทาเฉพาะที่ต่าง ๆ อาจทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ และผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรไม่ควรเสริมวิตามินในขนาดสูงหรือมากกว่าวันละ 10,000 IU หรือ 3,000 mcg RAE (1) หรือในช่วงก่อนคลอดไม่เกิน 5,000 IU หรือ 1,500 mcg RAE
    • มะเร็งปอด : การศึกษาของ ATBC พบว่าการเสริมเบต้าแคโรทีนในขนาดสูง (20 มก./วัน) เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งปอดและการเสียชีวิตในผู้ชายที่สูบบุหรี่ (24) เช่นเดียวกับการศึกษาของ CARET ก็พบว่าการเสริมเบต้าแคโรทีนในขนาดสูง 30 มก. และวิตามินเอ 25,000 IU ต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งปอดและการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดในผู้ที่สูบบุหรี่ เคยสูบบุหรี่ และคนงานที่สัมผัสกับแร่ใยหิน (22) เช่นเดียวกับการศึกษาอื่น ๆ ที่การเสริมเรตินอลในระยะยาวสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งปอด (51)
    • ผมร่วง : วิตามินเอในปริมาณสูงจากอาหารเสริม 5,000 IU ต่อวัน เชื่อมโยงกับอาการผมร่วงในรายงานการศึกษาหนึ่ง แต่เมื่อหยุดทานอาหารเสริมวิตามินเออาการผมร่วงก็ลดลง (52) ทำนองเดียวกับการมีรายงานการเกิดอาการผมร่วงในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินเอในขนาดสูงวันละ 50,000 IU (53)
    • ตับถูกทำลาย : การรับประทานวิตามินเอในขนาดสูงวันละ 40,000 IU อาจทำให้ตับถูกทำลายได้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาหารเสริมวิตามินเอเพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติมต่อตับเพิ่มเติม
    • โรคเกาต์ : การศึกษาพบว่าระดับวิตามินเอในเลือดที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับระดับกรดยูริกในเลือดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ (54) แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าระดับวิตามินเอในเลือดที่สูงขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
    • กระดูกหัก : การศึกษาบางชิ้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมวิตามินเอหรือเรตินอลในขนาดสูงจากอาหารและจากอาหารเสริมกับความหนาแน่นของกระดูกที่ลดลงและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและสตรีวัยหมดระดู (33)
    • เพิ่มอัตราการเสียชีวิต : การศึกษาในระยะยาวพบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินเอในเลือดสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินเอในเลือดปานกลาง (55) หรือการทบทวนการศึกษาการทดลองทางคลิกที่พบอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5% ในผู้ที่รับประทานอาหารเสริมเบต้าแคโรทีน (56) ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แนะนำให้คนทั่วไปใช้อาหารเสริมเบต้าแคโรทีน
    • ผิวสีเหลือง : เบต้าแคโรทีนในขนาดสูง (รวมถึงจากอาหาร) อาจทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้ แต่ไม่ได้เป็นภาวะที่อันตราย และเมื่อลดขนาดลงภาวะนี้ก็จะหายไปเอง
    • ในเด็ก : วิตามินเอขนาดสูงอาจทำให้เกิดปัญหาการเจริญเติบโต, อาการง่วงนอนอย่างรุนแรง, หมดสติ, ปัญหาการมองเห็น, มีไข้ หนาวสั่น, ไอมีเสมหะ, เจ็บหน้าอก, หายใจลำบาก, อาเจียน ท้องเสีย, ผิวลอก (33)
  • ปฏิสัมพันธ์กับยา : ยาหลายชนิดอาจส่งผลเสียต่อระดับวิตามินเอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังรับประทานยาเหล่านี้อยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ
    • ยาลดความอ้วนออริสแตท (Orlistat) เช่น Alli®, Xenical® เพราะยานี้สามารถลดการดูดซึมของวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน รวมถึงวิตามินที่ละลายในไขมันอื่น ๆ
    • เรตินอยด์ (Retinoids) หลีกเลี่ยงการใช้วิตามินเอ หากคุณกำลังใช้เรตินอยด์เหล่านี้ซึ่งเป็นยาที่ได้จากวิตามินเอ เพราะเรตินอยด์สามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะวิตามินเอเกินได้เมื่อรับประทานร่วมกับอาหารเสริมวิตามินเอ ยาในกลุ่ม Retinoid ได้แก่ Accutane (isotretinoin), Avage (tazarotene), Renova (tretinoin), Retin-A (tretinoin), Soriatane (acitretin), Targretin (bexarotene) และ Tegison (etretinate)
    • ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline, Minocycline , Sarecycline หรือ Tetracycline
    • ยาคุมกำเนิด
    • แคลเซียมหรือแร่ธาตุอื่นๆ (แมกนีเซียม สังกะสี และเหล็ก) ในขนาดสูงจากอาหารเสริมอาจลดการดูดซึมเบต้าแคโรทีน (และแคโรทีนอยด์อื่น ๆ เช่น ไลโคปีนและแอสตาแซนธิน) จากอาหารและ/หรืออาหารเสริม ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการดีที่จะเลือกรับประทานเบต้าแคโรทีนในช่วงเวลาอื่นของวันแทนที่จะทานทั้งหมดร่วมกัน นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ทานวิตามินเอ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกทำลายของตับ
  • น้ำมันตับปลา : น้ำมันตับปลาไม่เพียงแต่ให้วิตามินเอแต่ยังให้วิตามินดีและกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น EPA และ DHA หากคุณกำลังมองหาสิ่งเหล่านี้ น้ำมันตับปลาอาจเป็นตัวเลือกที่ดี

สรุปเรื่องวิตามินเอ

วิตามินเอหมายถึงกลุ่มของสารประกอบ โดยวิตามินเอที่พบได้บ่อยที่สุดคือเรตินอล (พบได้ในอาหารจากสัตว์) และเบต้าโรทีน (อาหารจากพืช) อาหารที่ให้วิตามินเอมาก เช่น นม ชีส ไข่ เนย เนื้อสัตว์ ตับ ผักสีเขียวเข้มและสีเหลือง ฯลฯ วิตามินเอมีความสำคัญต่อดวงตาและผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก อย่างไรก็ตาม การเสริมวิตามินเอเกินขนาดจากอาหารเสริมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ และในหญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้วิตามินเอโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

งานวิจัยอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ