คอลลาเจน
คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย พบได้ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกอ่อน เอ็นยึดกล้ามเนื้อ เอ็นยึดกระดูก หลอดเลือด และกระจกตา
คอลลาเจนเป็นโปรตีนเชิงซ้อนที่สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนไกลซีน (Glycine), โพรลีน (Proline) และไฮดรอกซีโพรลีน (Hydroxyproline) เป็นส่วนใหญ่ (กรดอะมิโนเหล่านี้จะก่อตัวเป็น 3 สายประกอบกันในลักษณะพันกันเป็นเกลียว)
คอลลาเจนมีหน้าให้การสนับสนุนโครงสร้างแก่เนื้อเยื่อและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการของเซลล์ (Cellular processes), การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Tissue repair), การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune response), การสื่อสารระหว่างเซลล์ (Cellular communication) และการเคลื่อนที่ของเซลล์ (Cellular migration) ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการบำรุงรักษาเนื้อเยื่อ
ร่างกายของเราสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองตามธรรมชาติ และสามารถได้รับจากการบริโภคอาหารบางชนิด เช่น หนังไก่ หนังหมู ขาหมู หนังปลา หรือน้ำซุปกระดูก
เมื่อคุณอายุมากขึ้น คอลลาเจนที่มีอยู่จะเริ่มสลายตัวและร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้ยากมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะนำไปสู่สัญญาณแห่งวัย เช่น เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหย่อนคล้อย ส่วนความสมบูรณ์ของคอลลาเจนที่พบในกระดูกก็จะลดลงตามอายุด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนกันมากขึ้น โดยเฉพาะคอลลาเจนชนิดผง (อ้างอิง 1, 2)
อาหารเสริมคอลลาเจนที่นิยมมักอยู่ในรูปแบบผงเป็นหลัก (อื่น ๆ ก็เช่น แคปซูล ของเหลว กัมมี่ ซึ่งคอลลาเจนเหล่านี้จะได้มากผิวหนังและกระดูกของวัว หมู ไก่ หรือบางครั้งก็ได้มาจากเกล็ดปลาหรือเยื่อหุ้มเปลือกไข่) ส่วนชนิดของคอลลาเจนที่พบก็อาจแตกต่างกันไป บางยี่ห้อมีหนึ่งหรือสองชนิด ในขณะที่บางยี่ห้ออาจมีมากถึง 5 ชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชนิดที่ 1, 2 และ 3 (โดยอาหารเสริมคอลลาเจนสำหรับผิวโดยทั่วไป (แต่ไม่เสมอไป) จะประกอบไปด้วยคอลลาเจนชนิดที่ 1 และ/หรือชนิดที่ 3 ส่วนคอลลาเจนชนิดที่ 2 นั้นมักใช้เพื่อสุขภาพบำรุงข้อต่อ) และโดยทั่วไปก็ผลิตมาจากสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ ปลา หรือจากแหล่งอื่น เช่น เยื่อหุ้มเปลือกไข่
คอลลาเจนมีหน้าที่สำคัญมากมายและเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูก ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย คนส่วนใหญ่มักทานอาหารเสริมคอลลาเจนเพื่อบำรุงสุขภาพผิว กระดูก และข้อต่อ แต่มันช่วยได้จริงหรือ ?
ชนิดของคอลลาเจน
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ระบุชนิดคอลลาเจนในร่างกายไว้ทั้งหมด 29 ชนิด แต่คอลลาเจนที่พบได้มากที่สุดจะมีอยู่ 5 ชนิด ดังนี้
- คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) : เป็นคอลลาเจนที่พบได้มากที่สุดในร่างกาย โดยคิดเป็น 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดที่พบในร่างกาย สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทั้งหมด ใช้ในการสร้างกระดูก เอ็นยึดกระดูก เอ็ดยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง ผนังหลอดเลือด กระจกตา มีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อฉีกขาด เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว ช่วยให้ผิวกระชับไม่หย่อนคล้อย ช่วยในเรื่องการสมานแผล เป็นต้น
- คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) : เป็นคอลลาเจนที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดแรกและทำหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจนชนิดแรกอย่างชัดเจน คือ ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ช่วยในการสร้างกระดูกอ่อน จึงพบมากในกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้สะดวก ลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) : มักพบในผนังหลอดเลือด ผิว กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะผิวเด็กและผิวใหม่หรือผิวที่เป็นแผลสร้างใหม่
- คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV) : พบได้เฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน เส้นใยฝอยของเยื่อบุผิวแผ่นบาง ๆ บริเวณนอกเซลล์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือด ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของผนังหลอดเลือดในข้อต่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V) : พบในผิวของเซลล์ เส้นผม เนื้อเยื่อของทารกในระหว่างตั้งครรภ์ และรก มีหน้าที่ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเส้นใยภายในชั้นผิวและจัดระเบียบเซลล์
รูปแบบของคอลลาเจน
- คอลลาเจนไฮโดรไลเสต (Collagen hydrolysate) เรียกอีกอย่างว่าไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (Hydrolyzed collagen) หรือคอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen peptides) คือคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยที่เรียกว่ากระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีหรือเอนไซม์ในการย่อยโครงสร้างของคอลลาเจนเพื่อให้เกิดเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนไฮโดรไลเสตมีขนาดเล็กกว่า (มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ) ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น และช่วยให้สามารถผสมหรือละลายในน้ำเย็นและน้ำร้อนได้ (อ้างอิง 3)
- องค์ประกอบของคอลลาเจนไฮโดรไลเสตอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการไฮโดรไลซ์ รวมถึงเอนไซม์ที่ใช้ ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณสมบัติของส่วนผสม เช่น ละลายในน้ำได้ดีเพียงใด ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด และมีรสชาติเป็นอย่างไร (ตัวอย่างเช่น คอลลาเจนไฮโดรไลเสตที่ผลิตโดย Gelita AG เช่น VERISOL® ที่ผู้ผลิตอ้างว่าเป็นคอลลาเจนเปปไทด์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำพิเศษและไม่มีรสชาติ ในขณะที่คอลลาเจนไฮโดรไลเสตอื่น ๆ มักมีรสชาติคล้ายน้ำซุปกระดูกเล็กน้อย)
- คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen dipeptide) เป็นคอลลาเจนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 2 ชนิดที่เชื่อมต่อกัน ส่วนคอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen tripeptide) เป็นคอลลาเจนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิดที่เชื่อมต่อกัน โดยทั้งสองเกิดจากกระบวนการไฮโดรไลซิสในขั้นตอนการย่อยโครงสร้างจากการใช้สารเคมีหรือเอนไซม์เพื่อทำการตัดโมเลกุลของคอลลาเจนออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งในกรณีที่เกิดการเชื่อมต่อกรดอะมิโน 2 ตัวเข้าด้วยกันจะทำให้เกิด Collagen dipeptide แต่ถ้าเกิดการเชื่อมกรดอะมิโน 3 ชนิดเข้าด้วยกันจะทำให้เกิด Collagen tripeptide
- คอลลาเจนที่ถูกไฮโดรไลซ์เพียงบางส่วนจะเรียกว่า “เจลาติน” (Gelatin) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเจลหรือสารที่มีความหนืดเมื่อเย็นและเปลี่ยนเป็นของเหลวเมื่อร้อน ด้วยเหตุนี้ เจลาตินจึงละลายได้ในน้ำร้อนเท่านั้นและไม่สามารถละลายในน้ำเย็นได้ (ส่วนใหญ่ใช้ในการทำขนมและเครื่องดื่ม)
- คอลลาเจนดิบหรือไม่ถูกแปรสภาพ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ UC-II® ซึ่งเป็นคอลลาเจนชนิดที่ 2 ที่ไม่ถูกแปรสภาพสำหรับใช้บำรุงสุขภาพข้อต่อ ซึ่งจะแตกต่างจากคอลลาเจนประเภทอื่น ๆ ด้วยวิธีการการผลิตที่เฉพาะเจาะจง เพื่อสร้างโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับคอลลาเจนที่พบในเนื้อเยื่อข้อต่อ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะเป็นกระดูกอ่อนจากอกไก่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม UC-II® จึงมีคอลลาเจนเพียง 25% (UC-II® 40 มก. จะมีคอลลาเจนเพียง 10 มก.) โดยผู้ผลิตอ้างว่าคอลลาเจนที่ไม่ถูกแปรสภาพนี้ สามารถออกฤทธิ์ที่บริเวณข้อต่อได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีสารปรับปรุงภูมิคุ้มกันที่ยังออกฤทธิ์อยู่ที่ช่วยลดการหลั่งของเอนไซม์ที่สลายคอลลาเจนชนิดที่ 2 จึงมีผลชะลอการตอบสนองต่อการอักเสบ (การศึกษาทางคลินิกในมนุษย์พบว่าการรับประทาน UC-II® ขนาด 40 มก. วันละ 1 แคปซูล สามารถช่วยให้ข้อต่อทำงานได้ดีและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น)
ประโยชน์ของคอลลาเจน
1. ดีต่อผิวพรรณ เนื่องจากคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิว มีบทบาทในการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว รวมถึงความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้น เมื่อเราอายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ส่งผลให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอย (อ้างอิง 4) อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยหลายงานที่แสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์หรือไฮโดรไลซ์คอลลาเจนวันละ 0.5-10 กรัม อาจช่วยชะลอความชราของผิวโดยการเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิว ลดความแห้งกร้านและช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ประมาณ 7-20% แต่มีข้อสังเกตว่าการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาขนาดเล็ก แม้จะมีกลุ่มควบคุมแต่ก็มักได้รับทุนจากบริษัทอาหารเสริม ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการศึกษา
- ผู้ใหญ่จะสูญเสียคอลลาเจนในผิวหนังประมาณ 1% ในแต่ละปี ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวบางและเหี่ยวย่นมากขึ้น โดยการสูญเสียคอลลาเจนนี้มักเห็นได้ชัดเจนในผู้หญิงทุกวัยมากกว่าในผู้ชาย (5)
- การทบทวนการศึกษา 19 เรื่องที่มีผู้เข้าร่วมรวม 1,125 คน (เป็นผู้หญิง 95%) ที่มีอายุระหว่าง 20-70 ปี พบว่าการเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และริ้วรอยของผิว เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (6) สอดคล้องกับการทบทวนการศึกษา 11 เรื่องในกลุ่มผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ พบว่าการรับประทานคอลลาเจนวันละ 3–10 กรัม เป็นเวลาเฉลี่ย 69 วัน ส่งผลให้ความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวดีขึ้น โดยอาหารเสริมเหล่านี้อาจกระตุ้นให้ร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้น หรือส่งเสริมการผลิตโปรตีนอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว รวมถึงอีลาสติน (7) เช่นเดียวกับการศึกษาจำนวนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการเสริมคอลลาเจนอาจช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว รวมถึงการลดริ้วรอย (8, 9) อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าการศึกษาจำนวนมากเหล่านี้ได้รับทุนจากบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริมคอลลาเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการศึกษา
- ปริมาณคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสุขภาพผิวในการศึกษาวิจัยนั้นแตกต่างกันไป แต่พบว่าการศึกษาส่วนใหญ่จะใช้คอลลาเจนวันละ 2.5–15 กรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น (7, 10)
- หลักฐานที่เห็นประโยชน์ชัดเจนที่สุดที่สนับสนุนการใช้คอลลาเจนเพื่อสุขภาพผิวเมื่อมีอายุมากขึ้นคือ ผลิตภัณฑ์ VERISOL® (ผลิตโดย Gelita AG) ซึ่งเป็นคอลลาเจนเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive collagen peptides – BCP) โดยการศึกษาในปี 2013 กับผู้หญิงจำนวน 141 คน (อายุ 45-65 ปี) พบว่าการเสริม VERISOL® แบบผงผสมกับน้ำดื่ม วันละ 2.5 กรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีผลช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาลง 7.2% และลดลง 20.1% ในสัปดาห์ที่ 8 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอกจากนี้ยังพบว่าโปรคอลลาเจนชนิดที่ 1 เพิ่มขึ้น 65% และอีลาสตินเพิ่มขึ้น 18% ด้วยเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (11) เช่นเดียวกับการศึกษาก่อนในหน้าในปีเดียวกันกับกลุ่มผู้หญิงจำนวน 69 คน (อายุ 33-55 ปี เฉลี่ย 48 ปี) พบว่าผู้ที่เสริม VERISOL® วันละ 2.5 หรือ 5 กรัม เป็นเวลา 2 เดือน มีความยืดหยุ่นของผิวหนังบริเวณปลายแขนด้านในเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีผลช่วยลดความหยาบกร้านของผิวหนังหรือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยในผู้ที่เสริมคอลลาเจนนั้นจะมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มมากที่สุดในผู้หญิงที่มีอายุเกิน 50 ปี และพบว่าทั้ง 2 (ขนาด 2.5 และ 5 กรัม) มีประสิทธิภาพเท่ากัน (12) ถัดมาในการศึกษาครั้งที่ 3 ปี 2015 กับกลุ่มผู้หญิงจำนวน 1-5 คน (อายุ 24-50 ปี เฉลี่ย 40 ปี) พบว่าการเสริม VERISOL® วันละ 2.5 กรัม เป็นเวลา 6 เดือน มีผลช่วยลดการเกิดเซลลูไลท์ที่ต้นขา เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (13)
- การศึกษาในประเทศไทยกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจำนวน 36 คน พบว่าการเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสต (Collagen hydrolysate) ที่ได้มาจากเกล็ดและผิวหนังของปลา วันละ 5 กรัม เป็นเวลา1 เดือน มีผลช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวบริเวณแก้มได้เล็กน้อยประมาณ 9-10% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และความแตกต่างยังคงมีนัยสำคัญใน 1 เดือนหลังการเสริม ส่วนความยืดหยุ่นของผิวที่แขนด้านในส่วนบนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งนักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าผิวหนังที่โดนแสงแดด (เช่น ที่แก้ม) อาจได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเสริมคอลลาเจน (14)
- การศึกษาเล็ก ๆ ในผู้ชายและผู้หญิงในญี่ปุ่น พบว่าการเสริมคอลลาเจนเปปไทด์วันละ 3 กรัม เป็นเวลา 3 เดือน มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้เล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับการเสริมวิตามินซี 500 มก. ร่วมกับคอลลาเจนเปปไทด์ ไม่มีผลเพิ่มประโยชน์ในด้านนี้ (การศึกษาไม่ได้ระบุแหล่งที่มาของคอลลาเจน แต่ระบุว่าเป็น “คอลลาเจนไตรเปปไทด์” ที่ประกอบไปด้วย 3% Glycine, Proline และ Hydroxyproline) (15)
- การศึกษาวิจัยในปี 2019 ในผู้หญิงชาวคอเคเซียนจำนวน 113 คน (อายุเฉลี่ย 50 ปี) พบว่าการเสริม BioCell Collagen 500 มก. ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในผิวหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญประมาณ 12% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่พบว่าคอลลาเจนลดลง 12% นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนมีริ้วรอยบนใบหน้าดีขึ้นประมาณ 8% และพบว่ารอยตีนกาดีขึ้นประมาณ 11% ซึ่งมากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่รอยตีนกาดีขึ้นเพียง 4% อย่างไรก็ตาม ความชุ่มชื้นของผิวหนังในทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกัน (16) แต่มีข้อสังเกตเพิ่มเติม 3 อย่างว่า 1) คอลลาเจนที่ใช้นี้มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์คอลลาเจนชนิดที่ 2 ขนาด 300 มก., Chondroitin sulfate 100 มก. และ Hyaluronic acid 50 มก. 2) ผู้เข้าร่วมการทดลองได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้วเต็ม ๆ และรับประทานในขณะท้องว่าง และ 3) ในการศึกษาก่อนหน้าในปี 2012 แต่ไม่มีกลุ่มควบคุมด้วยยาหลอกพบว่าการเสริม BioCell Collagen ในขนาดเท่ากัน เป็นเวลา 3 เดือน ไม่พบการเพิ่มขึ้นปริมาณคอลลาเจนในผิวแต่อย่างใด (17)
- การศึกษาในผู้หญิงชาวคอเคเชียนที่มีสุขภาพดีจำนวน 43 คน (อายุเฉลี่ย 52 ปี) ที่มีสภาพผิวปานกลางและมีริ้วรอยบนใบหน้า พบว่าการเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจนจากปลา 500 มก. (มีคอลลาเจนเปปไทด์ 65%, Chondroitin sulfate 25% และแร่ธาตุ 9%) วันละ 1 ครั้งตอนกลางคืน เป็นเวลา 3 เดือน สามารถช่วยลดริ้วรอยรอบดวงตาได้ประมาณ 26% เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐาน และมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ไม่มีการลดลงของริ้วรอยอย่างมีนัยสำคัญ โดยคอลลาเจนมีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนังชั้นหนังแท้ (ชั้นผิวหนังชั้นลึก) แต่ไม่ใช่หนังกำพร้า (ชั้นนอกของผิวหนัง) นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนยังรับรู้ได้ถึงการปรับปรุงที่ดีขึ้นในด้านความชุ่มชื้นของผิว ริ้วรอย ความกระชับ และสีผิว เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อย่างไรก็ตาม ริ้วรอยรอบจมูกและริมฝีปากด้านบน (เช่น เส้นรอยยิ้ม) หรือริ้วรอยที่หน้าผากได้ไม่ลดลงเลย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (18)
- การศึกษาในเกาหลีใต้กับกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงจำนวน 84 คน อายุ 35-60 ปี (อายุเฉลี่ย 50 ปี) ที่มีผิวแห้งและมีรอยย่นรอบดวงตาอย่างเช่นรอยตีนกาในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง พบว่ากลุ่มที่ได้รับการเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจนเปปไทด์จากปลา (เป็นคอลลาเจนที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำโดยเฉลี่ย 50-150 ไมครอน) ขนาด 2,000 มก. วันละ 4 เม็ด เป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีผลปรับปรุงเรื่องผิวเล็กน้อย แต่มีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยพบว่าความลึกของริ้วรอยรอบดวงตาลดลง (-11.2% เทียบกับ -5.9%), ความยาวของริ้วรอยรอบดวงตาลดลง (-7% เทียบกับ -3.4%) และริ้วรอยรอบดวงตาโดยรวมลดลง (-7.5% เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง) นอกจากนี้ กลุ่มที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนก็มีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้นด้วยเล็กน้อย แต่ไม่มีผลช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (19)
- การศึกษาในบราซิลกับกลุ่มผู้หญิงจำนวน 40 คน อายุระหว่าง 40-50 ปี พบว่าการรับประทานอาหารเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจนวันละ 9 กรัม (ในอาหารเสริมนี้ยังประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างอื่นด้วย รวมถึงวิตามินเอ 600 มคก., วิตามินซี 45 มก., วิตามินอี 10 มก. และซิงค์ 7 มก.) เป็นเวลา 3 เดือน มีผลช่วยเพิ่มการกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว, ความหนาแน่นของผิว (ซึ่งจะลดลงตามอายุและจากแสงแดด) และความยืดหยุ่นของผิวในบริเวณรอบจมูกและปาก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการลดลงของริ้วรอยและรูขุมขนที่ดูจางลงด้วยหลังการเสริม (20)
- การศึกษาในญี่ปุ่นกับผู้สูงอายุชายและหญิงจำนวน 39 คน (อายุเฉลี่ย 80 ปี) ที่อยู่ในสถานฟื้นฟู พบว่าผู้ที่ได้รับอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์วันละ 10 กรัม (รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด) เป็นเวลา 2 เดือน มีความชุ่มชื้นของผิวหนังเพิ่มขึ้น 18% (เทียบกับ 0.3%) และมีความยืดหยุ่นของผิวที่ปลายแขนเพิ่มขึ้น 10% (เทียบกับ 3%) เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับอาหารเสริม ซึ่งนักวิจัยพบว่าประโยชน์ในด้านนี้อาจช่วยปกป้องผิวหนังไม่ให้เกิดการฉีกขาดหรือเกิดเป็นแผลกดทับได้ เพราะไม่พบมีรายงานอุบัติการณ์ของการเกิดแผลฉีกขาดที่ผิวหนัง (Skin tears) และแผลกดทับ อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าในอาหารเสริมมีวิตามินบางชนิดที่อาจมีบทบาทต่อสุขภาพด้วย เช่น วิตามินเอ 300 มคก., วิตามินซี 500 มก. และไบโอติน 50 มคก (21) แม้ว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. ร่วมกับคอลลาเจนจะไม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์เพิ่มเติมตามการศึกษาหนึ่งที่กล่าวมา
- มีข้อมูลที่อ้างถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร NEOCELL Derma Matrix Collagen Skin Complex ในรูปแบบผงที่ประกอบด้วยคอลลาชนิดที่ 1 และ 3, วิตามินซี และกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งฉลากอ้างว่าเป็นสูตรที่ได้รับการทดสอบทางคลินิกมาแล้วว่าช่วยส่งเสริมการลดริ้วรอย และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ 21% และฉลากยังระบุด้วยว่า “92% ของผู้ที่รับประทานผลิตภัณฑ์นี้มีผิวชุ่มชื้นมากขึ้น” และ “65% ของผู้ที่รับประทานผิวดูกระชับและนุ่มนวลมากขึ้น” อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษานี้ไม่ได้รับการเผยแพร่และการศึกษาไม่มีการควบคุมด้วยยาหลอก จึงไม่ชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีสรรพคุณตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
- การศึกษาในสัตว์ทดลองหลายเรื่องพบว่า การเสริมคอลลาเจนที่ได้จากหมูหรือปลาอาจช่วยรักษาหรือเพิ่มความหนาแน่นของคอลลาเจนในผิวหนังได้ (22, 23)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของวิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, สังกะสี
2. อาจป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก กระดูกส่วนใหญ่ทำจากคอลลาเจน และมวลกระดูกก็ลดลงตามอายุ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะต่าง ๆ เช่น โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ที่มีความหนาแน่นของมวลกระดูกต่ำและมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก (อ้างอิง 24) โดยการเสริมคอลลาเจนในระยะยาวอาจช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก และยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูก โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน (25) (การศึกษาส่วนใหญ่พบประโยชน์ของการเสริมคอลลาเจนในผู้หญิงสูงอายุที่มีความหนาแน่นของกระดูกต่ำ ดังนั้น อาหารเสริมคอลลาเจนอาจจะไม่ได้ผลในผู้ที่มีความหนาแน่นของมวลกระดูกปกติ เช่น ในผู้ชาย หรือผู้หญิงที่มีอายุน้อย ส่วนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแม้ผลลัพธ์จากการศึกษาจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป)
- การศึกษาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน พบว่าการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมและวิตามินดีร่วมกับคอลลาเจน 5 กรัม เป็นเวลา 12 เดือน มีผลช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก (BMD) ได้มากกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับแค่แคลเซียมและวิตามินดีอย่างมีนัยสำคัญ (26) สอดคล้องกับการศึกษาอื่นที่คล้ายกันในผู้หญิงวัยประจำเดือนจำนวน 66 รายที่รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนวันละ 5 กรัม เป็นเวลา 12 เดือน พบว่าผู้ที่รับประทานคอลลาเจนจะมีความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD) เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่รับประทานคอลลาเจน (ความหนาแน่นของมวลกระดูกหรือ BMD ที่ต่ำ มีความสัมพันธ์กับกระดูกที่อ่อนแอและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนที่มากขึ้น) (27)
- การศึกษาในผู้หญิงจำนวน 31 คน พบว่าการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (BCP) วันละ 5 กรัม เป็นเวลา 4 ปี มีความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD) ในส่วนของกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นประมาณ 5.79–8.16% และเพิ่มขึ้น 1.23–4.21% ในส่วนของโคนขา การเสริมคอลลาเจนในระยะยาวจึงดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการต่อต้านการสูญเสียมวลกระดูก และการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของมวลกระดูกนี้อาจส่งผลให้ความมั่นคงของกระดูกดีขึ้น (28)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของวิตามินดี, แคลเซียม
3. อาจบรรเทาอาการปวดข้อ คอลลาเจนมีหน้าที่ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของกระดูกอ่อนซึ่งเป็นเนื้อเยื่อคล้ายยางที่ปกป้องข้อต่อ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจนในร่างกายก็จะลดลง ความเสี่ยงต่อความผิดปกติของข้อต่อก็จะเพิ่มขึ้น เช่น โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ซึ่งการเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสต (Collagen hydrolysate), คอลลาเจนที่ไม่ถูกแปรสภาพ (เช่น UC-II®, NEXT-II®) รวมถึงอาหารเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ (Eggshell membrane) ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน อย่างน้อย 3-6 เดือน อาจช่วยลดอาการปวดข้อและอาการข้อฝืดตึงได้ โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม (อ้างอิง 25, 29, 30) อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ผู้เชี่ยวชาญก็แนะนำว่ายังจำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนเพิ่มเติม ก่อนที่จะแนะนำให้เสริมคอลลาเจนในการรักษาโรคข้อเสื่อม
- การศึกษาในผู้ชายและหญิงที่รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสตหรือไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (ยี่ห้อ Genacol) วันละ 1,200 มก. เป็นเวลา 6 เดือน พบว่ามีอาการปวดลดลง 51.6% ซึ่งมากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่อาการปวดลดลง 36.5% ซึ่งเป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเสริมครบ 3 เดือน (44.1% เทียบกับ 39.6%) (31)
- การศึกษาเล็ก ๆ ที่ตีพิมพ์ในปี 2014 ในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมพบว่าการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสตวันละ 5,000 มก. (ละลายในน้ำหรือนม 1 ถ้วย ดื่มในตอนเช้าและตอนกลางคืนหลังอาหาร) เป็นเวลา 13 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานยาหลอก (32)
- การศึกษาในผู้ที่เป็นข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis : KOA) จำนวน 100 คนที่มีอายุเท่ากับหรือมากกว่า 40 ปี เป็นเวลา 13 สัปดาห์ พบว่าคอลลาเจนไฮโดรไลเสต 10 กรัมต่อวัน มีประโยชน์มากกว่าอาหารเสริมทั่วไปที่ใช้สำหรับโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างกลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine sulphate) (33)
- การศึกษาในผู้ชายและหญิงจำนวน 90 คนที่มีอาการรู้สึกไม่สบายข้อ เช่น อาการปวดและอาการตึง (แต่ไม่มีโรคร่วม) (อายุ 40-65 ปี เฉลี่ย 54 ปี) พบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสตวันละ 2.5 กรัม (Avicenna’s Hydrolyzed Chicken Collagen Type II หรือ AVC-H2) เป็นเวลา 2 เดือน สามารถช่วยลดอาการรู้สึกไม่สบายข้อ (อาการปวดตึงข้อ) และช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีคะแนน WOMAC (ดัชนีข้อเข่าเสื่อมที่ใช้กันทั่วไปเพื่อประเมินความรู้สึกไม่สบายข้อต่อที่รายงานด้วยตนเอง) ในกลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนลดลง 36.9% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ลดลงเพียง 14.3% (34)
- การศึกษาในประเทศเนเธอร์แลนด์ในกลุ่มผู้ชายและหญิงจำนวน 167 คนที่มีอาการปวดเข่า (ไม่ได้เกิดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือโรคอักเสบอื่น ๆ) พบว่าได้ผู้ที่รับคอลลาเจนเปปไทด์ 10,000 มก. ต่อวัน (ละลายในน้ำและบริโภคพร้อมอาหารเช้า) เป็นเวลา 3 เดือน ไม่ได้มีผลช่วยลดอาการปวดเข่าหรือปรับปรุงการทำงานของเข่า และไม่ได้ช่วยลดตัวชี้ระดับการอักเสบในเลือดและการเสื่อมของกระดูกอ่อน (Cartilage degradation) เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาหลอก (35)
- การศึกษาในผู้คนจำนวน 55 คนที่มีอาการไม่สบายข้อต่อหลังการออกกำลังกาย แต่ไม่มีประวัติเป็นโรคข้ออักเสบหรือมีอาการปวดข้อ พบว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนที่ไม่ถูกแปรสภาพยี่ห้อ UC-II® 40 มก. (มีคอลลาเจน 10 มก.) ทุกวัน เป็นเวลา 120 วัน มีความสามารถในการยืดข้อเข่าดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอกจากนี้ยังสามารถออกกำลังกายได้นานกว่าก่อนที่จะเกิดอาการไม่สบายข้อต่อ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลช่วยลดอาการปวดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (36)
- การศึกษาเปรียบเทียบการเสริม UC-II® 40 มก. และกลูโคซามีน+คอนดรอยติน (Glucosamine 1,500 มก. + Chondroitin 1,200 มก.) ในผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม พบว่าหลังการเสริมเป็นเวลา 3 เดือน กลุ่มที่ได้รับ UC-II® มีอาการปวด ความตึงของข้อ (อาการข้อฝืดตึง) และคุณภาพในการใช้ชีวิตหรือการทำกิจวัตรประจำวันดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมากกว่ากลุ่มที่ได้รับกลูโคซามีน+คอนดรอยติน (20% เทียบกับ 6%) (37) ส่วนการศึกษาที่คล้ายกันแต่ใช้เวลานานกว่าเป็นระยะเวลา 6 เดือน ที่รวมกลุ่มควบคุมด้วยยาหลอกเข้าไปด้วย พบว่า UC-II® ช่วยลดคะแนนความเจ็บปวดโดยเฉลี่ยลง 24 คะแนน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับกลูโคซามีน+คอนดรอยตินที่ลดลง 19.2 คะแนน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ลดลง 17 คะแนน ส่วนความตึงของข้อก็ลดลงเช่นกันเป็น 23.8, 19.4 และ 17.8 คะแนน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้รับกลูโคซามีน+คอนดรอยตินและกลุ่มยาหลอก ไม่มีผลเพิ่มความสามารถในการงอเข่าแต่อย่างใด (38)
- การศึกษาในญี่ปุ่นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนที่ไม่ถูกแปรสภาพยี่ห้อ NEXT-II® 40 มก. (มีคอลลาเจน 3.2 มก.) ทุกวันในขณะท้องว่างก่อนเข้านอน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์เล็กน้อยมากในผู้สูงอายุที่รู้สึกมีอาการไม่สบายที่ข้อเข่าหรือมีอาการปวดเข่า โดยพบว่าช่วยเพิ่มความในการงอเข่าได้เพิ่มขึ้นประมาณ 11 องศา เมื่อเทียบกับ 6 องศาในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ส่วนอาการปวดเข่าตอนตื่นนอนและเดินก็ลดลงตามลำดับเช่นกันเป็น 14.13 และ 11.86 คะแนน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่เพิ่มขึ้นเพียง 11.33 และ 4.19 คะแนน ส่วนความรุนแรงของอาการปวดหลังส่วนล่างก็ลดลงประมาณ 10.6 คะแนน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ลดลงเพียง 0.2 คะแนน (เทียบในระดับ 100 คะแนน) (39)
- การศึกษาในประเทศสเปนในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมและมีอาการปวดปานกลางถึงรุนแรงจำนวน 75 คน (อายุเฉลี่ย 38 ปี) พบว่าการรับประทานอาหารเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ (Eggshell membrane) 500 มก. วันละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถลดอาการปวดได้ 3.52 คะแนน (จากระดับ 0 ถึง 10) และมีการนอนหลับดีขึ้นเล็กน้อย 1.6 คะแนน (จากระดับ 0 ถึง 21) เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐาน และการปรับปรุงเหล่านี้มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ส่วนการเสริมสารสกัดนี้ในขนาดที่ต่ำกว่า (เช่น 300 มก./วัน) ไม่ได้ทำให้เกิดการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และทุกขนาดไม่ได้ช่วยปรับปรุงการทำงานของข้อเข่าให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (40)
- การศึกษาในประเทศตุรกีในผู้ชายและหญิงจำนวน 161 คน (อายุเฉลี่ย 57 ปี) ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมเล็กน้อยถึงปานกลาง พบว่าการเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ (Eggshell membrane) 500 มก. (ยี่ห้อ NEM®) วันละครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ช่วยปรับปรุงการทำงานของข้อเข่าได้ปานกลาง และช่วยลดอาการปวดและตึงข้อ แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มการงอเข่าหรือระยะการเคลื่อนไหว หรือลดการใช้ยาแก้ปวดอย่างไทลินอล เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (41)
- การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ (Eggshell membrane) 500 มก. และน้ำมันปลา 1,500 มก. (ยี่ห้อ MOVE3™) วันละครั้ง ให้กับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 85 คน (อายุเฉลี่ย 55 ปี) ที่เข้าร่วมการออกกำลังกายแบบแอโรบิกวันเว้นวัน หลังจากผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ ผู้ที่ได้รับอาหารเสริมรายงานว่ามีอาการปวดข้อลดลงทันที 29% หลังการออกกำลังกาย และหลังการออกกำลังกาย 12 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมรายงานว่ามีอาการปวดข้อลดลง 47% และอาการข้อตึงลดลง 40% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (42)
- การศึกษาในผู้ชายและผู้หญิง 80 คน (อายุเฉลี่ย 53 ปี) ที่มีอาการปวดเข่า พบว่าการเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ 450 มก. ไม่ได้ช่วยลดอาการปวด ตึง หรือปรับปรุงการทำงานของข้อได้ดีไปกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยพบการปรับปรุงที่คล้ายกันในทั้งสองกลุ่ม (43) จากการศึกษานี้ จึงมีข้อสังเกตว่าการเสริมสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ให้ได้ประโยชน์ จำเป็นต้องเสริมอย่างน้อยวันละ 500 มก. ตามการศึกษาข้างต้น
4. อาจช่วยฟื้นตัวหลังการบาดเจ็บที่เอ็น (Ligament และ Tendon) ตามการศึกษาพบว่าการเสริมคอลลาเจนอาจช่วยเร่งการรักษาโรคเอ็นร้อยหวายอักเสบเรื้อรังหรือผู้ที่ประสบปัญหาความไม่มั่นคงของข้อเท้าเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ได้รับทุนจากบริษัทผู้ผลิตคอลลาเจน และอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือการศึกษา และการศึกษาในเรื่องนี้ยังมีจำกัด
- การศึกษาในกลุ่มนักกีฬาจำนวน 50 คน (อายุเฉลี่ย 27 ปี) ที่ประสบปัญหาความไม่มั่นคงของข้อเท้าเรื้อรัง (Chronic ankle instability : CAI) เนื่องจากข้อเท้าแพลง พบว่าการรับประทานไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (ยี่ห้อ TENDOFORTE® ของบริษัท Gelita AG) ขนาด 5 กรัมทุกวันขณะออกกำลังกายที่บ้าน (เช่น การกระโดดเชือก การลุกนั่ง และการยกส้นเท้าข้างเดียว) สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน ช่วยให้การทำงานของข้อเท้าดีขึ้น 5.28 จุด จากระดับ 30 จุด เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ไม่มีการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงที่ติดตามผลสามเดือน ผู้ที่ได้รับคอลลาเจนรายงานว่าอาการข้อเท้าเคล็ดและการบาดเจ็บน้อยมีน้อยลง และความมั่นคงของข้อเท้าดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก แม้ว่าอาการปวดของข้อเท้าจะไม่ดีขึ้นก็ตาม (อ้างอิง 44)
- การศึกษาในประเทศออสเตรเลียกับผู้ที่เป็นโรคเอ็นร้อยหวายอักเสบเรื้อรัง (Chronic achilles tendinopathy) จำนวน 20 คน พบว่า 6 ใน 10 คนที่รับประทานอาหารเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจน 2.5 กรัม (TENDOFORTE®) วันละ 2 ครั้ง (ก่อนออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของน่อง 30 นาที) สามารถกลับมาวิ่งได้อีกครั้งหลังจากผ่านไป 3 เดือน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่กลับมาวิ่งได้อีกครั้งเพียง 3 ใน 10 คน (45)
5. ช่วยรักษาแผลกดทับและแผลไหม้ที่ผิวหนัง การศึกษาทางคลินิกขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่จะได้รับทุนจากบริษัทผู้ผลิตคอลลาเจน (อาจส่งผลต่อการศึกษา) แนะนำว่าไฮโดรไลซ์คอลลาเจนอาจมีประโยชน์ต่อการรักษาแผลกดทับ แผลไหม้ และรอยแดงหลังการทำเลเซอร์
- การศึกษาในผู้ป่วยที่มีแผลกดทับจำนวน 71 คน พบว่าการเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสตเข้มข้น 0.5 กรัม (ยี่ห้อ Pro-Stat®) วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ช่วยให้แผลกดทับหายเร็วขึ้น 5.56 คะแนน (ในระดับ 17 คะแนน) เทียบกับ 2.85 คะแนนในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (อ้างอิง 46)
- การศึกษาในอินเดียกับผู้ที่มีแผลกดทับจำนวน 112 คน พบว่าผู้ที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสตที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (ยี่ห้อ Replenwell®) ขนาด 5 กรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 16 สัปดาห์ ช่วยให้แผลกดทับดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (47)
- การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นกับกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นแผลกดทับจำนวน 51 ราย พบว่ากลุ่มได้รับเครื่องดื่มขนาด 125 มล. ที่ประกอบด้วยคอลลาเจนเปปไทด์ 10 กรัม (ยี่ห้อ V CRESC CP10) วันละครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยให้แผลกดทับหายดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมอาร์จินีนวันละ 2.5 กรัม และกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนเปปไทด์แสดงการลดลง 5.5 จุด (ในระดับ 66 จุด) เมื่อเทียบกับการลดลง 2.6 จุดในกลุ่มอาร์จินีน และ 2 จุดในกลุ่มควบคุม (48)
- การศึกษาเล็ก ๆ ในอิหร่านกับกลุ่มผู้ชาย 31 คนที่มีแผลไหม้มากกว่า 20-30% ของร่างกาย พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนไฮโดรไลเสต (AMUTIYA®) 9 กรัม วัน 4 สี่ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ แผลจะหายสนิท 100% เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 เทียบกับอีกกลุ่มที่แผลหายเพียง 40% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมที่มีแคลอรีใกล้เคียงกันแต่ไม่มีคอลลาเจน (49)
- การศึกษาเล็ก ๆ ในเกาหลีกับผู้หญิงที่มีสุขภาพดีจำนวน 8 คนที่ผิวหนังไหม้เล็กน้อยหลังการทำเลเซอร์ผิว พบว่ารอยแดงของผิวหนังหลังทำเลเซอร์ลดลงเร็วขึ้นในผู้ที่รับประทานคอลลาเจนเปปไทด์วันละ 3 กรัมในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนและหลังทำเลเซอร์ (อาหารเสริมที่ใช้ในการศึกษานี้ระบุว่าเป็น “คอลลาเจนไตรเปปไทด์” ที่ประกอบไปด้วย 3% Glycine, Proline และ Hydroxyproline) (50)
6. อาจเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกาย คอลลาเจนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อลาย (Skeletal muscle) โดยผลการศึกษาพบว่าอาหารเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อในผู้ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยได้ ซึ่งเป็นการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นตามอายุ อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนไม่ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าไปเวย์โปรตีนในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรง เพราะตามการศึกษาในผู้หญิงสูงอายุที่ออกกำลังกายแบบอาศัยแรงต้านพบว่าเวย์โปรตีนมีประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าโปรตีนคอลลาเจน ประกอบกับคอลลาเจนยังมีแนวโน้มที่จะมีราคาแพงกว่าเวย์โปรตีน และการศึกษาถึงประโยชน์ในด้านนี้ของคอลลาเจนยังมีอยู่จำกัด (อ้างอิง 51, 52)
- การศึกษาในปี 2015 เป็นเวลา 12 สัปดาห์ในผู้ชายสูงอายุจำนวน 27 คน (อายุเฉลี่ย 72) ที่มีภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนเปปไทด์วันละ 15 กรัม (ยี่ห้อ BODYBALANCE®) หลังการออกกำลังกายแบบแรงต้าน (Resistance training) มีผลทำให้มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อเทียบกับผู้ที่ออกกำลังกายแบบเดียวกันแต่ไม่ได้เสริมคอลลาเจน ซึ่งนักวิจัยคาดว่าคอลลาเจนอาจช่วยส่งเสริมการสังเคราะห์โปรตีนของกล้ามเนื้อ เช่น ครีเอทีน (Creatine) รวมถึงกระตุ้นการเติบโตของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย (53) สอดคล้องกับการศึกษาที่ใหม่กว่าในปี 2019 (54)
7. ผมหนาขึ้น การศึกษาในผู้หญิงที่มีสุขภาพดีอายุ 21-75 ปี พบว่าผู้หญิงที่ได้รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนทุกวันจะมีปริมาณของเส้นผมโดยรวม ความครอบคลุมของเส้นผมบนหนังศีรษะ และความหนาของเส้นผมที่เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านไป 90 วัน นอกจากนี้ ความเงางามของเส้นผม ความชุ่มชื้นของผิว และความเรียบเนียนของผิวก็เพิ่มขึ้นด้วยหลังจากผ่านไป 180 วัน (อ้างอิง 55)
- การศึกษาในผู้ชายและหญิงจำนวน 86 คน (อายุเฉลี่ย 53 ปี) พบว่าการรับประทานคอลลาเจนไฮโดรไลเสตในรูปของสารสกัดจากเยื่อหุ้มเปลือกไข่ 450 มก. (ยี่ห้อ BiovaBIO®) วันละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน มีผลทำให้เส้นผมมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผมหรือลดการแตกหักของเส้นผมเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ส่วนสุขภาพของเล็บ (รูปร่าง ความแข็งแรง หรือการเติบโตของเล็บ) หรือผิวหนัง (ริ้วรอย ความลึกของริ้วรอย หรือความสม่ำเสมอของสีผิวของใบหน้า) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (56)
8. เล็บแข็งแรง ในบางคนนั้นเล็บมักจะยาวช้าและหักได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ แต่การศึกษาในบราซิลนั้นชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของคอลลาเจนในเรื่องนี้ โดยผู้หญิงที่รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (BCP ยี่ห้อ VERISOL®) วันละ 2.5 กรัม เป็นเวลา 24 สัปดาห์ พบว่าหลังการเสริมเพียง 4 สัปดาห์ เล็บมีการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น 12% และช่วยลดความถี่ของโอกาสที่เล็บจะเปราะหักลงได้ถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเสริมคอลลาเจน โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่กว่า 80% พึงพอใจกับประสิทธิภาพของ BCP และเห็นพ้องตรงกันว่าเล็บของตนดูดีขึ้น แม้ว่าความหยาบของเล็บ เช่น ร่องเล็บหรือรอยลึกของเล็บ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ไม่มีการควบคุมด้วยยาหลอก จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป (อ้างอิง 57)
9. อาจส่งเสริมสุขภาพหัวใจ นักวิจัยคาดว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจได้ เพราะคอลลาเจนเป็นโครงสร้างของหลอดเลือด หากร่างกายไม่ได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงพอก็อาจมีผลต่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือดหรือทำให้หลอดเลือดอ่อนแอลงหรือเปราะบางมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) และนำไปสู่อาการหัวใจวาย (Heart attack) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้ (58)
- การศึกษาในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 31 คน พบว่าการรับประทานคอลลาเจนวันละ 16 กรัม เป็นเวลา 6 เดือน สามารถช่วยลดความแข็งของหลอดเลือดแดงได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบการศึกษา นอกจากนี้ระดับของคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจยังเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6% (HDL มีบทบาทที่ดีต่อระบบหลอดเลือดและการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ ได้) (58) อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมคอลลาเจนเพื่อสุขภาพหัวใจ
10. โรคเบาหวาน การศึกษาขนาดเล็กพบว่าคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาในขนาด 5 กรัมขึ้นไปต่อวัน สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความต้านทานต่ออินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2 ได้
- การศึกษาในปี 2020 กับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 66 คน ที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนเปปไทด์จากปลาวันละ 5 กรัม (ละลายในน้ำอุ่นหรือนม 200 มล.) เป็นเวลา 3 เดือน พบว่ามีผลช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลง 78 มก./ดล., ลดระดับ HbA1c (ตัวบ่งชี้ระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว) จาก 8.1% เหลือ 5.9% และลดความต้านทานต่ออินซูลิน (วัดโดย HOMA-IR) จาก 7.9 เป็น 4.7 อย่างไรก็ตาม การเสริมคอลลาเจนเปปไทด์นี้ในขนาดเพียง 2.5 กรัม พบว่าไม่ได้ช่วยให้ผลลัพธ์เหล่านี้ดีขึ้น (59)
- การศึกษาในปี 2010 ในประเทศจีนกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 100 คน ที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนเปปไทด์จากปลา 6.5 กรัม วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวาน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่ามีผลช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารลง 26 มก./ดล., ลดระดับ HbA1c ลง 0.48% และลดระดับอินซูลินขณะอดอาหารลง 0.24 mU/L เมื่อเปรียบเทียบกับค่าพื้นฐาน (60)
11. ลดการอักเสบของเหงือกและเลือดออกหลังการทำทันตกรรม การศึกษาเบื้องต้นยังชี้ให้เห็นว่า คอลลาเจนอาจช่วยลดการอักเสบของเหงือกและภาวะเลือดออกหลังเข้ารับการทําหัตถการทางทันตกรรม โดยการศึกษาเล็ก ๆ ในเยอรมนีกับกลุ่มผู้ใหญ่จำนวน 39 คนที่ได้รับการเสริมไฮโดรไลซ์คอลลาเจนวันละ 5 กรัม (VERISOL®) เป็นเวลา 90 วันหลังการเข้ารับการขูดหินปูน (และนัดตรวจอีกครั้งในวันที่ 90 หลังเสริม) พบว่าผู้ที่ได้รับการเสริมคอลลาเจนมีเลือดออกจากเหงือกน้อยกว่าอย่างเห็นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (3% เทียบกับ 9.4%) นอกจากนี้ กลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนยังมีดัชนีสภาพเหงือก (Gingival index) ที่ต่ำกว่าด้วยเมื่อเทียบกับยาหลอก (0.1 เทียบกับ 0.3) ซึ่งดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดความรุนแรงของเหงือกอักเสบ (อ้างอิง 61) อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปเพื่อยืนยันถึงผลลัพธ์เหล่านี้
12. ประโยชน์ของคอลลาเจนในเรื่องอื่น ๆ ที่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษา :
- สุขภาพสมอง ไม่มีการศึกษาใดที่ตรวจสอบบทบาทของอาหารเสริมคอลลาเจนต่อสุขภาพสมอง แต่นักวิจัยบางท่านอ้างว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นและช่วยลดอาการวิตกกังวล
- สุขภาพลำไส้ แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้ แต่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพบางท่านยืนยันว่า อาหารเสริมคอลลาเจนสามารถรักษาภาวะลำไส้รั่ว (Leaky gut syndrome หรือ Intestinal permeability) ได้
- การลดน้ำหนัก นักวิจัยบางท่านเชื่อว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนักและช่วยเร่งเผาผลาญ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการศึกษาใดที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้
- การใช้ในทางการแพทย์ อย่างเช่นมีการใช้คอลลาเจนหรือ Collagen material เพื่อรักษาบาดแผลเรื้อรัง แผลไหม้ แผลเบาหวาน แผลในหลอดเลือดดำ, หรือใช้ในศัลยกรรมตกแต่งและศัลยกรรมทั่วไป, ใช้ในทางทันตกรรม รวมถึงใช้ในด้านความงาม (62)
- เครื่องสำอาง เช่น การใช้คอลลาเจนในผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ครีม และเซรั่ม เนื่องจากมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นและลดริ้วรอย (63)
การศึกษาพบว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยปรับปรุงสภาพผิว (ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว), ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก, บรรเทาอาการปวดข้อ, เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ, รักษาแผลกดทับและแผลไหม้ที่ผิวหนัง และบำรุงสุขภาพผมและเล็บ ส่วนประโยชน์อื่น ๆ ยังมีหลักฐานจำกัดและจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
คำแนะนำและข้อควรรู้
- ร่างกายของเราสามารถผลิตคอลลาเจนได้เองตามธรรมชาติ และเราสามารถได้รับคอลลาเจนจากการบริโภคอาหารบางชนิด เช่น หนังไก่ หนังหมู ขาหมู หนังปลา แมงกะพรุน รวมถึงน้ำซุปกระดูก หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ เช่น กระดูกและเอ็น ตลอดจนอาหารเสริมคอลลาเจนในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะอาหารเสริมที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์แล้ว (คอลลาเจนไฮโด) จะดูดซึมได้ดีและมีประสิทธิภาพมากว่าคอลลาเจนที่ได้จากอาหาร
- สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน (โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้ขาดคอลลาเจน อย่างผู้ชาย และผู้หญิงที่มีอายุน้อย) เพราะในความเป็นจริง เราสามารถช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้มากขึ้นด้วยการรับประทานอาหารที่มีไกลซีน, โพรลีน, วิตามินซี, ทองแดง และสังกะสี
- ไกลซีน : พบในหนังไก่ หนังหมู เจลาติน และอาหารที่มีโปรตีนอื่น ๆ อีกหลายชนิด
- โพรลีน : พบในไข่ขาว ผลิตภัณฑ์จากนม กะหล่ำปลี เห็ด และหน่อไม้ฝรั่ง
- วิตามินซี : พบในผลไม้รสเปรี้ยว บรอกโคลี ผักเคล และพริกหยวก
- ธาตุสังกะสี : พบในเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมู หอย นม ชีส ถั่วเลนทิล ถั่วต่าง ๆ
- ทองแดง : พบในหอยนางรม แอลมอนด์ โกโก้ วอลนัท เห็ด และตับวัว
- วิตามินซีจำเป็นอย่างมากต่อการสังเคราะห์คอลลาเจน ดังนั้นการมีระดับวิตามินซีต่ำหรือไม่เพียงพออาจทำให้การผลิตคอลลาเจนบกพร่องได้ ดังนั้นคุณควรทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อช่วยให้การผลิตคอลลาเจนในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ (อ้างอิง 64)
- การรับประทานอาหารอย่างสมดุลและเพิ่มโปรตีนอีกเล็กน้อยจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษามวลกล้ามเนื้อและกระดูกเมื่อเราอายุมากขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรบริโภคโปรตีนให้ได้มากกว่าวันละ 0.36 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์ (0.8 กรัมต่อกิโลกรัม)
- อาหารเสริมคอลลาเจน : ในช่วงที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอลลาเจนในรูปแบบผง (แต่ก็มีในรูปอื่นด้วย เช่น แบบแคปซูลหรือแบบเม็ด ของเหลว กัมมี่ แต่ไม่นิยมมากนัก) ส่วนชนิดของคอลลาเจนที่พบในอาหารเสริมก็มีแตกต่างกัน (บางยี่ห้อมีหนึ่งหรือสองชนิดรวมกัน ในขณะที่บางยี่ห้อก็มีคอลลาเจนถึง 5 ชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชนิด 1, 2 และ 3 เพราะพบได้ในร่างกายเป็นส่วนใหญ่) สำหรับรูปแบบของคอลลาเจนที่พบโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นคอลลาเจนไฮโดรไลเสต (Collagen hydrolysate) ที่ผ่านกระบวนการย่อยมาแล้วเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (Hydrolyzed collagen) หรือคอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen peptides) นอกจากนี้ก็มีจะมีปริมาณที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ (ส่วนใหญ่อาหารเสริมเหล่านี้จะผลิตมาจากเนื้อเยื่อของวัว หมู ไก่ หรือปลา)
- คอลลาเจนวีแกน (Vegan collagen) : เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานคอลลาเจนจากสัตว์ ซึ่งผลิตได้จากยีสต์และแบคทีเรียดัดแปลงพันธุกรรม (เพราะพืชผลิตคอลลาเจนไม่ได้) ส่วนใหญ่จะผลิตมาจากยีสต์ชนิดหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ Pichia pastoris แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าจะให้ประโยชน์เช่นเดียวกับคอลลาเจนจากสัตว์หรือใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เราสามารถรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์คอลลาเจนดังที่กล่าวไป เช่น วิตามินซี ไกลซีน โพรลีน ทองแดง และสังกะสี
- วิธีรับประทานคอลลาเจน : คอลลาเจนสามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือทานในขณะท้องว่างก็ได้
- ปริมาณคอลลาเจนที่แนะนำ : การศึกษาในผู้ใหญ่พบว่าการขนาดบริโภคคอลลาเจนแบบผงเพื่อให้ได้ประโยชน์จะอยู่ที่วันละ 2.5-20 กรัม (หลาย ๆ คนรับประทานคอลลาเจนแบบผง 1-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน โดยนำไปผสมในสมูทตี้ เชค ขนมอบ ซุป หรือแม้แต่กาแฟหรือชา หรือถ้าเป็นคอลลาเจนแบบแคปซูลจะอยู่ที่วันละ 1.8-6 กรัม) ทั้งนี้ปริมาณยังขึ้นอยู่กับรูปแบบของคอลลาชนิดที่รับประทานด้วย เช่น ในผลิตภัณฑ์คอลลาเจน UC-II® ซึ่งเป็นคอลลาเจนชนิดที่ 2 ที่ไม่ถูกแปรสภาพสำหรับลดอาการปวดข้อ ปริมาณที่แนะนำจะน้อยกว่านี้ คือวันละ 500 มก.
- ระยะเวลาในทานคอลลาเจน : การหมุนเวียนของคอลลาเจนในร่างกายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นช้า ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าคุณจะทานคอลลาเจนเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ขึ้นไปจึงจะเริ่มเห็นผล (อ้างอิง 7) แต่ถ้าทานเพื่อเสริมสร้างมวลกระดูกก็อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น เช่น 12 เดือนเป็นต้นไป
- ผลข้างเคียงของคอลลาเจน : โดยทั่วไปแล้วอาหารเสริมคอลลาเจนมีความปลอดภัยสูง ส่วนผลข้างเคียงที่อาจพบได้ก็มีน้อยมากหรือมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย บางคนอาจทานแล้วมีเกิดอาการของทางเดินอาหารเล็กน้อย (65) หรือรู้สึกแสบร้อนกลางอกและรู้สึกอิ่ม (66) หรือทานแล้วเกิดอาการคลื่นไส้และท้องอืด (67) รวมถึงอาการเล็กน้อยอื่น ๆ เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือเป็นผื่นที่ผิวหนัง (68)
- อาหารเสริมคอลลาเจนอาจทำมาจากปลา หอย และไข่ ผู้ที่แพ้อาหารเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนที่ทำจากส่วนผสมเหล่านี้ (69) นอกจากนี้ผู้ผลิตยังมักใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปด้วย ซึ่งส่วนผสมบางอย่างอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ อย่างเช่นวิตามินหรือสมุนไพรบางชนิดที่เป็นสูตรเพื่อสุขภาพเส้นผม ผิวหนัง และเล็บ (70)
- ในผู้หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยเพียงพอที่จะสรุปได้ถึงความปลอดภัยของคนในกลุ่มนี้ หรือทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
- คอลลาเจนเปปไทด์อาจลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรใช้คอลลาเจนอย่างระมัดระวังในผู้ที่รับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่แล้ว (เช่น Insulin, Metformin, Glyburide, เป็นต้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานคอลลาเจนในปริมาณที่มากกว่าวันละ 2.5 กรัม (อ้างอิง 60)
- วิธีป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน : เป็นไปไม่ได้ที่เราจะป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนที่เกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้นได้ แต่เราอาจชะลอกระบวนการสูญเสียคอลลาเจนด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
- งดการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้คอลลาเจนลดลงและทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เกิดริ้วรอย และสูญเสียความยืดหยุ่น (71, 72)
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการดื่มที่มากเกินไปจะมีผลลดการผลิตคอลลาเจนและทำลายกลไกการซ่อมแซมของผิว (72)
- ลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูป เพราะอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุของความชราก่อนวัย เนื่องจากจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) ที่จะลดการหมุนเวียนของคอลลาเจนและรบกวนความสามารถของคอลลาเจนในการโต้ตอบกับเซลล์และโปรตีนโดยรอบ (73, 74)
- หลีกเลี่ยงแสงแดด เนื่องจากการได้รับแสงแดดมากเกินไปจะทำให้การผลิตคอลลาเจนลดลง ดังนั้นการทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดที่มากเกินไปจะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ (75)
สรุปเรื่องคอลลาเจน
- คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกายของคุณ คุณสามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนได้ด้วยการรับประทานอาหารเสริมหรือรับประทานอาหารจากสัตว์และน้ำซุปกระดูก แต่การดูดซึมจากอาหารอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับจากอาหารเสริม
- เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนที่มีอยู่จะสลายตัว และร่างกายจะผลิตได้ยากมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยบางอย่างที่เป็นตัวเร่งกระบวนการนี้ให้ช้าลงได้ด้วยการงดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูป และหลีกเลี่ยงแสงแดด
- การศึกษาพบว่าอาหารเสริมคอลลาเจนอาจช่วยปรับปรุงสภาพผิว (ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นให้กับผิว), ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก, บรรเทาอาการปวดข้อ, เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ, รักษาแผลกดทับและแผลไหม้ที่ผิวหนัง และบำรุงสุขภาพผมและเล็บ ส่วนประโยชน์อื่น ๆ มีการอ้างถึงการลดน้ำหนัก สุขภาพสมอง สุขภาพลำไส้ ฯลฯ แต่ยังมีหลักฐานไม่มากนักและจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
- ไม่ว่าคุณจะทานคอลลาเจนเพื่อวัตถุประสงค์ใดจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ขึ้นไปถึงจะเริ่มเห็นผลหรือประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่ใช้อยู่ได้ผลสำหรับคุณหรือไม่ (หากทานเพื่อเสริมสร้างมวลกระดูกก็อาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น เช่น 12 เดือนเป็นต้นไป)
- โดยทั่วไปอาหารเสริมคอลลาเจนมีความปลอดภัยสูง แม้ในบางรายอาจทานแล้วเกิดผลข้างเคียงแต่ก็มักไม่รุนแรง และยังคุ้มค่าที่จะลองทานเพื่อเป้าหมายด้านสุขภาพ
- การรับประทานอาหารปกติที่ให้โปรตีน ไกลซีน โพรลีน วิตามินซี วิตามินดี ทองแดง และสังกะสี ให้เพียงพออย่างสมดุลเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและมีราคาถูกกว่าอาหารเสริม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอาหารหลายชนิดจะมีคอลลาเจน แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะให้ประโยชน์เท่ากับอาหารเสริมหรือไม่
งานวิจัยอ้างอิง
- Journal of the Royal Society of Medicine. “Osteoporosis, like skin ageing, is caused by collagen loss which is reversible”. (2020)
- International Journal of Molecular Sciences. “ Molecular Mechanisms of Dermal Aging and Antiaging Approaches”. (2019)
- Nutrients. “Enzymatic Hydrolysis of a Collagen Hydrolysate Enhances Postprandial Absorption Rate—A Randomized Controlled Trial”. (2019)
- Gerontology. “Role of Age-Associated Alterations of the Dermal Extracellular Matrix Microenvironment in Human Skin Aging: A Mini-Review”. (2015)
- British Journal of Dermatology. “The influence of age and sex on skin thickness, skin collagen and density”. (1975)
- International Journal of Dermatology. “Effects of hydrolyzed collagen supplementation on skin aging: a systematic review and meta-analysis”. (2021)
- Journal of Drugs in Dermatology. “Oral Collagen Supplementation: A Systematic Review of Dermatological Applications”. (2019)
- Nutrients. “A Collagen Supplement Improves Skin Hydration, Elasticity, Roughness, and Density: Results of a Randomized, Placebo-Controlled, Blind Study”. (2019)
- Current Developments in Nutrition. “The Effects of Skin Aging Associated with the Use of BioCell Collagen: A Randomized, Double-blind, Placebo-controlled Clinical Trial (P06-122-19)”. (2019)
- Nutrients. “Significant Amounts of Functional Collagen Peptides Can Be Incorporated in the Diet While Maintaining Indispensable Amino Acid Balance”. (2019)
- Skin Pharmacology and Physiology. “Oral intake of specific bioactive collagen peptides reduces skin wrinkles and increases dermal matrix synthesis”. (2014)
- Skin Pharmacology and Physiology. “Oral supplementation of specific collagen peptides has beneficial effects on human skin physiology: a double-blind, placebo-controlled study”. (2014)
- Journal of Medicinal Food. “Dietary Supplementation with Specific Collagen Peptides Has a Body Mass Index-Dependent Beneficial Effect on Cellulite Morphology”. (2015)
- Journal of Dermatological Treatment. “Four-weeks daily intake of oral collagen hydrolysate results in improved skin elasticity, especially in sun-exposed areas: a randomized, double-blind, placebo-controlled trial”. (2021)
- Journal of Cosmetic and Laser Therapy. “Effects of collagen tripeptide supplement on skin properties: a prospective, randomized, controlled study”. (2014)
- Alternative Therapies In Health And Medicine. “Novel Hydrolyzed Chicken Sternal Cartilage Extract Improves Facial Epidermis and Connective Tissue in Healthy Adult Females: A Randomized, Double-Blind, Placebo-Controlled Trial”. (2019)
- Clinical Interventions in Aging. “Ingestion of BioCell Collagen®, a novel hydrolyzed chicken sternal cartilage extract; enhanced blood microcirculation and reduced facial aging signs”. (2012)
- Molecules. “Oral Supplementation with Hydrolyzed Fish Cartilage Improves the Morphological and Structural Characteristics of the Skin: A Double-Blind, Placebo-Controlled Clinical Study”. (2021)
- Journal of Medicinal Food. “Oral Supplementation of Low-Molecular-Weight Collagen Peptides Reduces Skin Wrinkles and Improves Biophysical Properties of Skin: A Randomized, Double-Blinded, Placebo-Controlled Study”. (2022)
- Journal of Cosmetic Dermatology. “Topical application and oral supplementation of peptides in the improvement of skin viscoelasticity and density”. (2019)
- Advances in Skin & Wound Care. “Effect of an Oral Nutrition Supplement Containing Collagen Peptides on Stratum Corneum Hydration and Skin Elasticity in Hospitalized Older Adults: A Multicenter Open-label Randomized Controlled Study”. (2020)
- Journal of Food Science. “The protective effects of long-term oral administration of marine collagen hydrolysate from chum salmon on collagen matrix homeostasis in the chronological aged skin of Sprague-Dawley male rats”. (2010)
- Journal of Nutritional Science and Vitaminology. “ Effects of ingestion of collagen peptide on collagen fibrils and glycosaminoglycans in the dermis”. (2006)
- EXCLI Journal. “Osteoporosis: Pathophysiology and therapeutic options”. (2020)
- Scientific Electronic Library Online. “Collagen supplementation as a complementary therapy for the prevention and treatment of osteoporosis and osteoarthritis: a systematic review”. (2016)
- Journal of Medicinal Food. “A calcium-collagen chelate dietary supplement attenuates bone loss in postmenopausal women with osteopenia: a randomized controlled trial”. (2015)
- Nutrients. “Specific Collagen Peptides Improve Bone Mineral Density and Bone Markers in Postmenopausal Women—A Randomized Controlled Study”. (2018)
- Journal of Bone Metabolism. “Specific Bioactive Collagen Peptides in Osteopenia and Osteoporosis: Long-Term Observation in Postmenopausal Women”. (2021)
- International Orthopaedics. “Effect of collagen supplementation on osteoarthritis symptoms: a meta-analysis of randomized placebo-controlled trials”. (2019)
- Rheumatology and Therapy. “Role of Collagen Derivatives in Osteoarthritis and Cartilage Repair: A Systematic Scoping Review With Evidence Mapping”. (2020)
- Complementary Therapies in Medicine. “Effect of collagen hydrolysate in articular pain: a 6-month randomized, double-blind, placebo controlled study”. (2012)
- Journal of the Science of Food and Agriculture. “A double-blind, placebo-controlled, randomised, clinical study on the effectiveness of collagen peptide on osteoarthritis”. (2014)
- International Orthopaedics. “Efficacy and tolerance of enzymatic hydrolysed collagen (EHC) vs. glucosamine sulphate (GS) in the treatment of knee osteoarthritis (KOA)”. (2011)
- Nutrients. “A Double-Blind, Randomized, Placebo-Controlled Trial to Evaluate the Efficacy of a Hydrolyzed Chicken Collagen Type II Supplement in Alleviating Joint Discomfort”. (2021)
- Applied Physiology, Nutrition, and Metabolism. “Effectiveness of collagen supplementation on pain scores in healthy individuals with self-reported knee pain: a randomized controlled trial”. (2020)
- Journal of the International Society of Sports Nutrition. “Undenatured type II collagen (UC-II®) for joint support: a randomized, double-blind, placebo-controlled study in healthy volunteers”. (2013)
- International Journal of Medical Sciences. “Safety and efficacy of undenatured type II collagen in the treatment of osteoarthritis of the knee: a clinical trial”. (2009)
- Nutrition Journal. “Efficacy and tolerability of an undenatured type II collagen supplement in modulating knee osteoarthritis symptoms: a multicenter randomized, double-blind, placebo-controlled study”. (2016)
- Journal of the American Nutrition Association. “Efficacy and Safety of Dietary Undenatured Type II Collagen on Joint and Motor Function in Healthy Volunteers: A Randomized, Double-Blind, Placebo-Controlled, Parallel-Group Study”. (2021)
- Nutrients. “Randomised Clinical Trial to Analyse the Efficacy of Eggshell Membrane to Improve Joint Functionality in Knee Osteoarthritis”. (2022)
- Journal of Arthritis. “Efficacy and Safety of Natural Eggshell Membrane (NEM®) in Patients with Grade 2/3 Knee Osteoarthritis: A Multi-Center, Randomized, Doubleblind, Placebo-Controlled, Single-crossover Clinical Study”. (2019)
- International Journal of Physical Medicine & Rehabilitation. “Eggshell Membrane+Fish Oil Combination (Move3î) Reduces Exercise-Induced Joint Pain, Stiffness and Cartilage Turnover in Healthy Adults: Results from a Randomized, Double-Blind, Placebo-Controlled Study”. (2020)
- Journal of Medicinal Food. “A Randomized, Double-Blind, Placebo-Controlled, Prospective Clinical Trial Evaluating Water-Soluble Chicken Eggshell Membrane for Improvement in Joint Health in Adults with Knee Osteoarthritis”. (2019)
- Journal of Sports Science and Medicine. “Improvement of Functional Ankle Properties Following Supplementation with Specific Collagen Peptides in Athletes with Chronic Ankle Instability”. (2018)
- Nutrients. “Oral Supplementation of Specific Collagen Peptides Combined with Calf-Strengthening Exercises Enhances Function and Reduces Pain in Achilles Tendinopathy Patients”. (2019)
- Advances in Skin & Wound Care. “Pressure ulcer healing with a concentrated, fortified, collagen protein hydrolysate supplement: a randomized controlled trial”. (2006)
- Scientific Reports. “Ingestion of bioactive collagen hydrolysates enhanced pressure ulcer healing in a randomized double-blind placebo-controlled clinical study”. (2018)
- Journal of Nutrition & Intermediary Metabolism. “A multicenter, randomized, controlled study of the use of nutritional supplements containing collagen peptides to facilitate the healing of pressure ulcers”. (2017)
- Burns. “The effect of a hydrolyzed collagen-based supplement on wound healing in patients with burn: A randomized double-blind pilot clinical trial”. (2020)
- Clinical and Experimental Dermatology. “Effect of high advanced-collagen tripeptide on wound healing and skin recovery after fractional photothermolysis treatment”. (2014)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Whey protein but not collagen peptides stimulate acute and longer-term muscle protein synthesis with and without resistance exercise in healthy older women: a randomized controlled trial”. (2020)
- Nutrients. “Whey Protein Supplementation Compared to Collagen Increases Blood Nesfatin Concentrations and Decreases Android Fat in Overweight Women: A Randomized Double-Blind Study”. (2019)
- British Journal of Nutrition. “Collagen peptide supplementation in combination with resistance training improves body composition and increases muscle strength in elderly sarcopenic men: a randomised controlled trial”. (2015)
- Nutrients. “Prolonged Collagen Peptide Supplementation and Resistance Exercise Training Affects Body Composition in Recreationally Active Men”. (2019)
- The Journal of clinical and aesthetic dermatology. “A Double-blind, Placebo-controlled Study Evaluating the Efficacy of an Oral Supplement in Women with Self-perceived Thinning Hair”. (2012)
- Journal of Cosmetic Dermatology. “The effect of oral hydrolyzed eggshell membrane on the appearance of hair, skin, and nails in healthy middle-aged adults: A randomized double-blind placebo-controlled clinical trial”. (2020)
- Journal of Cosmetic Dermatology. “Oral supplementation with specific bioactive collagen peptides improves nail growth and reduces symptoms of brittle nails”. (2017)
- Journal of Atherosclerosis and Thrombosis. “Effect of Collagen Tripeptide on Atherosclerosis in Healthy Humans”. (2017)
- Journal of Diabetes & Metabolism. “A Double Blind, Randomised, Four Arm Clinical Study to Evaluate the Safety, Efficacy and Tolerability of Collagen Peptide as a Nutraceutical Therapy in the Management of Type II Diabetes Mellitus”. (2020)
- The American Journal of the Medical Sciences. “Therapeutic Effects of Marine Collagen Peptides on Chinese Patients With Type 2 Diabetes Mellitus and Primary Hypertension”. (2010)
- Nutrients. “Impact of a Specific Collagen Peptide Food Supplement on Periodontal Inflammation in Aftercare Patients—A Randomised Controlled Trial”. (2022)
- Current Medicinal Chemistry. “Medical Applications of Collagen and Collagen-Based Materials”. (2019)
- Materials (Basel). “Collagen Based Materials in Cosmetic Applications: A Review”. (2020)
- Nutrients. “ The Roles of Vitamin C in Skin Health”. (2017)
- Osteoarthritis and Cartilage. “Symptomatic and chondroprotective treatment with collagen derivatives in osteoarthritis: a systematic review”. (2012)
- Seminars in Arthritis and Rheumatism. “Role of collagen hydrolysate in bone and joint disease”. (2000)
- Dermatology Practical & Conceptual. “Collagen Supplements for Aging and Wrinkles: A Paradigm Shift in the Fields of Dermatology and Cosmetics”. (2022)
- Arthritis & Rheumatology. “A randomized, double-blind, multicenter, controlled clinical trial of chicken type II collagen in patients with rheumatoid arthritis”. (2008)
- The Journal of Allergy and Clinical Immunology: In Practice. “Collagen—An Important Fish Allergen for Improved Diagnosis”. (2020)
- Cureus. “ Safety Concerns of Skin, Hair and Nail Supplements in Retail Stores”. (2020)
- Tanaffos. “Cigarettes Smoking and Skin: A Comparison Study of the Biophysical Properties of Skin in Smokers and Non-Smokers”. (2019)
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. “Impact of Smoking and Alcohol Use on Facial Aging in Women: Results of a Large Multinational, Multiracial, Cross-sectional Survey”. (2019)
- Skin Therapy Letter. “Sugar Sag: Glycation and the Role of Diet in Aging Skin”. (2015)
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. “Diet and Dermatology: The Role of a Whole-food, Plant-based Diet in Preventing and Reversing Skin Aging—A Review”. (2020)
- Nature Communications. “Ultraviolet light-induced collagen degradation inhibits melanoma invasion”. (2021)
ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2023