ใครจะไปคาดคิดว่าไวรัสที่แจ้งเกิดเมื่อปี 2019 หรือโควิด-19 (Covid-19) จะส่งผลกระทุบรุนแรงไปทั่วโลกและขยายเป็นวงกว้างได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัน ติดเชื้อหายแล้วก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำหรือเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลองโควิด (Long COVID) ได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงยิ่งต้องระวัง เพราะภูมิคุ้มกันน้อยติดเชื้อแล้วเสี่ยงต่อการเกิดอาการหนักหรือเกิดภาวะลองโควิดตามมาได้ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยหรือผู้มีโรคประจำตัว ผู้ที่ภูมิคุ้มกันน้อยหรือภูมิตกจากการทำงานหรือจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น พักผ่อนน้อย มีความเครียดสูง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ต้องเผชิญมลภาวะ ฝุ่นควันหรือสารต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ
ทำให้ในยุคนี้ การใช้ชีวิตของเราจึงเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เพราะต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองอยู่แล้ว หรือเดินออกจากบ้านได้แบบไม่ต้องกังวลอะไร กลับต้องมากังวลและสรรหาสารพัดตัวช่วยเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันโรคหรือลดความรุนแรงจากการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในวิธีเหล่านั้นจะต้องมีอาหารเสริมภูมิคุ้มกันในรูปแบบของวิตามินเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ “อะเซโรลา เชอร์รี่” หรือ “ราชินีแห่งวิตามินซี” ในบทความนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าอะเซโรลาเชอร์รี่มันคืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง แล้วจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เราได้อย่างไร?
อะเซโรลา เชอร์รี่
อะเซโรลาเชอร์รี่ (Acerola Cherry) เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ Malpighiaceae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Malpighia emarginata DC. และมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า “West Indies cherry”, “Barbados cherry” แต่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “Acerola” (อะเซโรลา)
ต้นอะเซโรลามีลักษณะเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของซีกโลกตะวันตก โดยจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน และผลจะสุกภายใน 3-4 สัปดาห์หลังดอกบาน ผลอะเซโรลาจะมีลักษณะคล้ายผลเชอร์รี่ ผลมีขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-4 ซม.) และหนักประมาณ 2-15 กรัม โดยผลดิบจะเป็นสีเขียว (มีวิตามินสูงสุด) แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงและสีแดงสดเมื่อสุก มีรสชาติน่ารับประทาน ออกรสหวานเล็กน้อยและมีรสเปรี้ยวเป็นหลัก หอม และฝาด (ความหวานจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก สายพันธุ์ส่วนใหญ่รสจะค่อนข้างเปรี้ยวและฝาด) คนท้องถิ่นนิยมนำผลสุกมารับประทานหรือใช้ปรุงเป็นอาหาร [1]
อะเซโรลาขึ้นชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งวิตามินซี” เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีวิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) สูงมาก โดยพบว่าผลสด 100 กรัม (100,000 mg) จะให้วิตามินซีประมาณ 1,500-4,500 มก. (มากกว่าส้มหรือมะนาวประมาณ 50-100 เท่า) [1] หรือโดยเฉลี่ยคือ 1680 มก. (ประมาณ 1.68%) [2] จากการศึกษาผลไม้ที่มีวิตามินซีหลายชนิดพบว่า อะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้เกือบทั้งหมด และอะเซโรลายังเป็นของวิตามิน แร่ธาตุ และสารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ด้วย [3]
อย่างไรก็ตาม ในบ้านเราจะพบอะเซโรลาได้ในรูปแบบวิตามินหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น เนื่องจากอะเซโรลาเป็นผลไม้ที่ปลูกได้เฉพาะในบางพื้นที่ และหลังเก็บเกี่ยวก็เน่าเสียได้ง่ายและเร็วมาก (ภายใน 5 วัน) ซึ่งจะทำให้สูญเสียวิตามินและสารอาหารสำคัญไปมาก (แม้แต่ในน้ำผลไม้ก็ยังเน่าเสียได้ง่าย หากไม่ใส่สารกันบูด) เพราะยิ่งผลอะเซโรลาสุกมากเท่าไหร่ ปริมาณของวิตามินซีและสารสำคัญอื่น ๆ ก็จะยิ่งสูญเสียไปมากเท่านั้น (วิธีที่ดีที่สุดคือการรับประทานแบบผลสด ๆ ซึ่งต้องปลูกเองเท่านั้น และภายหลังเก็บเกี่ยวสด ๆ ต้องนำไปแช่แข็งทันที ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในบ้านเรา) [3]
ปริมาณสารอาหารของอะเซโรลาเชอร์รี่ (100 กรัม)
ตามข้อมูลของ USDA (กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา) ระบุว่า อะเซโรลาเชอร์รี่ดิบ 100 กรัม (ประมาณหนึ่งถ้วย) [2] จะให้สารอาหารสำคัญดังนี้:
- พลังงาน 32 แคลอรี (kcal)
- โปรตีน 0.4 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 7.69 กรัม
- ไฟเบอร์ 1.1 กรัม
- วิตามินซี 1680 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 767 หน่วยสากล
- วิตามินบี 1 (Thiamin) 0.02 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 (Riboflavin) 0.06 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 (Niacin) 0.4 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) 0.309 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 (Pyridoxine) 0.009 มิลลิกรัม
- โฟเลต (Folate) 14 ไมโครกรัม
- แคลเซียม 12 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 0.2 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 146 มิลลิกรัม
- โซเดียม 7 มิลลิกรัม
- สังกะสีหรือซิงค์ 0.1 มิลลิกรัม
- ทองแดง 0.086 มิลลิกรัม
- ซีลีเนียม 0.6 ไมโครกรัม
อะเซโรลาเชอร์รี่เพียง 1 ถ้วยให้ปริมาณวิตามินซีโดยเฉลี่ยสูงถึง 1,680 มก. (เทียบกับส้มประมาณ 16 ถ้วย) และยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และแร่ธาตุต่าง ๆ การบริโภคอะเซโรลาเพียง 3 ผลก็สามารถให้ปริมาณวิตามินซีที่ต้องได้รับในแต่ละวันแล้ว (ปริมาณของสารอาหารที่แนะนำให้คนปกติทั่วไปบริโภคต่อวัน (RDA) สำหรับวิตามินซี คือ 90 มก. (ผู้ใหญ่เพศชาย) และ 75 มก. (ผู้ใหญ่เพศหญิง)) [1]
สารสำคัญในอะเซโรลาเชอร์รี่
อะเซโรลาเชอร์รี่เป็นหนึ่งในผลไม้เพียงไม่กี่ชนิดที่นอกจากจะให้วิตามินซีและวิตามินเอสูงแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น รวมทั้งสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย เช่น ฟลาโวนอยด์, แอนโทไซยานิน, แคโรทีนอยด์ และกรดฟีนอลิก ด้วยเหตุนี้ อะเซโรลาจึงเป็นแหล่งรวมของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง [1],[3]
- วิตามินซีสูงมาก! ประมาณ 1,500-4,500 มก./ต่อ 100 กรัม (ประมาณ 1 ถ้วยหรือ 3.4 ออนซ์) นั่นคือสูงกว่าส้มหรือมะนาวประมาณ 50-100 เท่า
- วิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินบี 1 ถึงบี 9 และแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สังกะสี ฯลฯ
- ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) คือ สารพฤกษเคมีที่พบได้เฉพาะในพืชอย่างผักและผลไม้ ซึ่งผักผลไม้แต่ละชนิดจะมีสารไฟโตนิวเทรียนท์แตกต่างกันไป และไฟโตนิวเทรียนท์แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับอะเซโรลาเชอร์รี่นั้นจะอุดมไปด้วย
- ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) แบ่งออกเป็น 6 ชนิดหลัก ๆ แต่ชนิดที่พบได้มากในอะเซโรลาเชอร์รี่จะเป็นฟลาโวนอล (Flavonols) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) โดยเฉพาะแอนโทไซยานินที่มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ปกป้องหลอดเลือด (ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด) ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านไวรัส และยับยั้งเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหารที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
- แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) กลุ่มสารอาหารขนาดใหญ่ที่มักพบได้ในผักผลไม้ที่มีสีสันสดใส มีหลายชนิดย่อย แต่ชนิดที่คุ้นเคยและพบได้มากในอะเซโรลาเชอร์รี่จะเป็นเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ตัวช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี บำรุงและปกป้องดวงตา เพิ่มความจำและกระตุ้นสมอง ฯลฯ และลูทีน (Lutein)
- กรดฟีนอลิก (Phenolic Acid) เป็นสารไฟโตเคมิคอลหรือสารพฤกษเคมี (Phytochemical) ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพที่ดี เพราะมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ จึงช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงการเกิดโรคและช่วยในการชะลอวัยได้
ประโยชน์ของอะเซโรลาเชอร์รี่
1. แหล่งของวิตามินซีตามธรรมชาติ อะเซโรลาเป็นที่รู้จักมากในฐานะผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ด้วยเหตุนี้อะเซโรลาเชอร์รี่จึงอาจจะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
- ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัด [3] โดยมีการศึกษาที่พบว่า การได้รับวิตามินซีเป็นประจำสามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้ในบางกรณี เช่น ในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก [5]
- ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และอาจช่วยป้องกันหรือรักษาภาวะขาดวิตามินซีได้ (กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ ผู้สูบบุหรี่ ผู้มีภาวะแอลกอฮอล์เรื้อรัง และผู้มีอาการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ) [4]
- ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูกอ่อน และหลอดเลือด หากร่างกายผลิตคอลลาเจนได้ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อผิวหนัง เกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่งผลต่อข้อต่อหรือกระดูก ทำให้กระดูกเสื่อม ปวดเข่า ข้อต่อเสื่อม เป็นต้น [3]
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของวิตามินซี, คอลลาเจน
2. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่า อะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ และกรดฟีนอลิก [3],[6] ซึ่งเป็นตัวช่วยต่อสู้กับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidative stress) ตัวการที่ทําให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายที่สามารถนำไปสู่การแก่ชราก่อนวัยและเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ แม้กระทั่งโรคมะเร็ง
- ต่อต้านวัย อะเซโรลาเชอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยต่อสู้กับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันซึ่งเกิดขึ้นในระดับเซลล์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้แก่ก่อนวัย [7]
- ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์อย่างสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วน [7]
- อาจช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยมีการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่แสดงให้เห็นว่า เชอร์รี่ (ซึ่งรวมถึงอะเซโรลาเชอร์รี่) มีสารต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซี มีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป [3],[7],[8]
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของวิตามินเอ (Vitamin A) จากงานวิจัย !
3. เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีศักยภาพสูง ซึ่งมีในผลไม้เพียงไม่กี่ชนิด สารเหล่านี้จึงช่วยป้องกันความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่อาจนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ช่วยต่อสู้หรือยับยั้งต่อการพัฒนาหรือการลุกลามของโรคต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
- อะเซโรลามักถูกใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระร่วมกับวิตามินหรือสารอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน [3] (การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการบริโภคผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคทางเดินอาหาร โรคมะเร็งบางชนิด ความผิดปกติของระบบประสาท ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น)
- สารแอนโทไซยานินในอะเซโรลายังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งหมายความว่าอาจช่วยบรรเทาอาการเรื้อรังและอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ เช่น โรคข้ออักเสบ
4. ปกป้องผิว ช่วยผิวอ่อนเยาว์ และปรับผิวให้กระจ่างใส อะเซโรลาเชอร์รี่ไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วย หากผิวของคุณดูหมองคล้ำ แห้งเสีย หรือระคายเคือง อะเซโรลาอาจคือคำตอบ! เพราะผลไม้ชนิดนี้สามารถส่งเสริมให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่น เปล่งปลั่ง ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ลดปัญหาริ้วรอยก่อนวัย และแก้ปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ [3],[7],[9]
- วิตามินซีจำเป็นสำหรับการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวหนัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมาก ความเข้มข้นของวิตามินซีในผิวหนังจะลดลง ทำให้สูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้เกิดริ้วรอยและริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย โชคดีที่การเสริมคอลลาเจนสามารถช่วยฟื้นฟูความเสียหายของผิว แถมยังช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิว โดยลดการสูญเสียน้ำของผิวชั้นนอก ทำให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น และวิตามินซียังช่วยลดรอยแดงและผิวคล้ำเสีย เพราะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ [9]
- วิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่ เป็นตัวช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีจากแสงแดด จากการศึกษาพบว่า การรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเซลล์สความัส (SCC) ได้ประมาณ 17% เมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานในปริมาณน้อย (มะเร็งผิวหนังชนิดนี้เป็นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยมาก) [9]
- สารฟลาโวนอยด์และแคโรทีนอยด์ ดูเหมือนจะช่วยชะลอกระบวนการแก่ชรา จึงช่วยลดหรือชะลอริ้วรอยก่อนวัย และแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ [7]
- อาจช่วยให้ผิวกระจ่างใส การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าอะเซโรลามีผลทำให้ผิวขาวขึ้นตามธรรมชาติ ช่วยลดรอยดำและจุดด่างดำได้ และยังมีการศึกษาในหนูทดลองที่ผลการทดลองพบว่า ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น [10]
5. ดีต่อสมอง อะเซโรลาเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งสารนี้สามารถช่วยลดการอักเสบและความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำให้เกิดความหายต่อเซลล์ประสาทและเซลล์สมอง โดยรวมจึงอาจช่วยปรับการทำงานของสมองและป้องกันการสูญเสียความทรงจำและความผิดปกติทางปัญญาอื่น ๆ ได้ แม้จะมีหลักฐานการทดลองทางคลินิกที่ไม่มากในเรื่องนี้ แต่สารต้านอนุมูลอิสระจากพืชผักผลไม้ก็มีหลักฐานหลายชิ้นระบุว่า สามารถชะลอการลุกลามความผิดปกติของระบบประสาทได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และโรคฮันติงตัน [11]
6. อาจดีต่อเส้นผมและหนังศีรษะ มีการใช้น้ำมันหรือสารสกัดจากอะเซโรลาเชอร์รี่ร่วมกับน้ำมันให้ความชุ่มชื้นอื่น ๆ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอัลมอนด์ ในการบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ เพื่อช่วยให้เส้นผมแข็งแรง เงางาม ป้องกันการแตกหักของเส้นผม และลดการติดเชื้อที่บริเวณหนังศีรษะ
7. ดีต่อดวงตา เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตาเอสูง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญต่อการบำรุงรักษาสุขภาพดวงตา [7]
8. ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคอย่างเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย [12] จึงมีในการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาบ้วนปากต้านจุลชีพเพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่องปาก ป้องกันฟันผุ และปกป้องเหงือก [3]
9. ระบบย่อยอาหาร อะเซโรลาเชอร์รี่จัดเป็นยารสฝาด จึงมีการนำมาใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณมานานหลายศตวรรษแล้ว โดยส่วนใหญ่มักนำมาใช้เพื่อรักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง โรคบิด ใช้เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญและการย่อยอาหาร รวมถึงใช้รักษาอาการผิดปกติของตับ แต่ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องเหล่านี้ [3],[13]
10. ประโยชน์อื่น ๆ นอกจากประโยชน์ข้างต้นแล้ว อะเซโรลายังถูกนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น ใช้ป้องกันโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่, อาการไอ, ไข้ละอองฟาง, ป้องกันโรคหัวใจ, อาการซึมเศร้า, รักษาโรคตับ, ใช้เป็นยาทาสมานผิว, ใช้ต้านเชื้อรา, แผลกดทับ, เลือดออกในตา, ฟันผุ, เหงือกอักเสบ, ใช้เพื่อให้พลังงานและลดอาการเมื่อยล้าหลังออกกำลังกายและลดการอักเสบต่าง ๆ, ใช้ในนักกีฬาเพื่อเพิ่มความอดทนของร่างกาย (Athletic endurance) เป็นต้น [3],[4] นอกจากนี้ อะเซโรลาเชอร์รี่ยังมีฤทธิ์สำคัญอื่น ๆ อีก ได้แก่
- ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด (ในหนูทดลอง) [14]
- ฤทธิ์น้ำตาลในเลือดและระดับไขมัน (ในหนูทดลอง) โดยมีฤทธิ์ลดระดับกลูโคส คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-c) [15]
- ฤทธิ์ต้านมะเร็ง (ในหนูที่มีเนื้องอกในปอด) [16],[17]
- ฤทธิ์ป้องกันตับ (ในหนูทดลอง) [18]
- ฤทธิ์ป้องกันรังสี (ในหนูทดลอง) [19]
“ในปัจจุบัน อะเซโรลาเชอร์รี่ (Acerola Cherry) ถูกนำมาใช้ผลิตเป็นอาหารเสริมและมีการกล่าวอ้างสรรพคุณมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกประโยชน์ที่พูดถึงจะมีงานวิจัยรองรับ[3] อย่างไรก็ตาม อะเซโรลาดูเหมือนจะมีประโยชน์ชัดเจนในเรื่องการต่อต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง สามารถใช้ป้องกันภาวะขาดวิตามินซีที่รวมถึงโรคเลือดออกตามไรฟันได้ และอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิวและอื่น ๆ ส่วนประโยชน์อื่น ๆ โดยเฉพาะการศึกษาในหลอดทดลองยังจำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ต่อไปเพื่อประเมินหรือยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าว[4]“
อาหารเสริมอะเซโรลาเชอร์รี่
เรามักจะไม่ได้พบอะเซโรลาเชอร์รี่อยู่ในรูปของผลไม้สด เพราะผลไม้ชนิดนี้เน่าเสียได้ง่าย และยิ่งสุกวิตามินซีและสารสำคัญอื่น ๆ ก็จะยิ่งลดลง เราจึงพบอะเซโรลาเชอร์รี่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเม็ด แคปซูล แบบผง แบบเคี้ยว และแบบสารสกัดเหลวหรือ Liquid extract (Tincture) โดยเฉพาะในรูปแบบเม็ดหรือแบบแคปซูลที่ค่อนข้างจะได้รับความนิยมมากในบ้านเรา เนื่องจากเป็นรูปแบบที่หาซื้อได้ง่ายและทานได้สะดวกกว่ารูปแบบอื่น ๆ [3]
มีรายงานการศึกษาเรื่องการดูดซึมวิตามินซีของอะเซโรลาเชอร์รี่ที่พบว่า ดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซี (Ascorbic acid) แบบสังเคราะห์ และยังพบด้วยว่าวิตามินซีจากอะเซโรลาเชอร์รี่สามารถดูดซึมได้ง่ายเมื่อรับประทานในขนาด 100 มก. แต่ในขนาดที่สูงถึง 500 มก. พบว่าประสิทธิภาพในการดูดซึมจะลดลง (ขนาดที่ระบุไว้คือปริมาณของวิตามินซี ไม่ใช่ปริมาณของสารสกัดอะเซโรลาเชอร์รี่*) [1]
ด้วยเหตุนี้ วิตามินซีจากอะเซโรลาจึงได้รับความนิยมทานกันอย่างแพร่หลายเพื่อทดแทนกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซีสังเคราะห์ เพราะนอกจากจะดูดซึมได้ดีกว่าแล้ว อะเซโรลายังอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ ได้มากกว่า และที่สำคัญคือปลอดภัยกว่าวิตามินซีในรูปแบบสังเคราะห์ (ในขนาดวิตามินซีเท่ากัน) นอกจากนี้ ทางผู้ผลิตยังนิยมใช้อะเซโรลาเป็นส่วนประกอบสำคัญร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระหรือวิตามินอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมฤทธิ์ในเรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น [7] (ตัวอย่างตามรีวิวด้านล่าง)
หมายเหตุ : อะเซโรลาในรูปแบบสารสกัด (Acerola Cherry Extract) โดยทั่วไปจะให้วิตามินซีประมาณ 1.5-1.7% ดังนั้น ในผลิตภัณฑ์ Acerola Cherry 1,000 มก. อาจมีวิตามินซีเพียง 15-17 มก. อย่างไรก็ตาม ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีการสกัดเป็นอะเซโรลาเข้มข้นที่จะให้วิตามินซีในปริมาณที่สูงกว่า คือ 6% (ประมาณ 60 มก. จากสารสกัด 1,000 มก.) ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาประโยชน์จากวิตามินซีเพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์ Acerola Cherry อาจไม่ใช่คำตอบ
ความปลอดภัยและข้อควรระวัง
โดยปกติแล้วอะเซโรลาในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมีความปลอดภัยสูงมาก โดยเฉพาะหากเรารับประทานตามคำแนะนำบนฉลากหรือทานตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร [3],[4]
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์อะเซโรลาบางตัวอาจมีส่วนผสมของอะเซโรลาและ/หรือร่วมกับวิตามินซีในขนาดที่สูงมากก็ได้ คือ มีวิตามินซีรวมกันต่อเม็ดเกิน 2,000 มก. ที่เมื่อทานแล้วอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับได้ โดยเฉพาะในผู้ที่กระเพาะไวต่อความเป็นกรด [4],[13] และหากทานต่อเนื่องเป็นเวลานานก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้ [3]
นอกจากนี้ ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ป่วยนิ่วในไต และผู้ที่รับประทานยาบางชนิด ควรระมัดระวังการรับประทานอะเซโรลาเชอร์รี่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูง ๆ หรือหากไม่มั่นใจให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร : ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เนื่องจากยังมีข้อมูลไม่เพียงพอถึงความปลอดภัยในการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
- ผู้ป่วยนิ่วในไต (ไตอักเสบ) : อะเซโรลาอาจทำให้อาการหรือภาวะของโรคแย่ลงได้ หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณมาก [4]
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด : การได้รับวิตามินซีในขนาดสูง (จากอะเซโรลา) อาจมีผลไปลดประสิทธิภาพของยา Warfarin (ยาลดการแข็งตัวของเลือด), Fluphenazine หรือ Prolixin (ยารักษาโรคจิตเภท), ยากลุ่ม Alkylating agents และ Antitumor antibiotics (ยาสำหรับโรคมะเร็ง) [4] นอกจากนี้ ยังอาจมีผลไปเพิ่มการดูดซึมของอะลูมิเนียม (ต้องระวังในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตและทานยาที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม) [13] เพิ่มการดูดซึมของฮอร์โมนเอสโตรเจน (ต้องระวังในผู้ที่ใช้ยาเอสโตรเจนบางชนิด เช่น Premarin®, Ethinylestradiol, Estradiol ฯลฯ) [4]
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือน่ากังวลอะไร หากคุณรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอะเซโรลาทั่วไปที่ไม่ได้มีปริมาณรวมกันของวิตามินซีในขนาดที่สูงเกินกว่า 2,000 มก. ขึ้นไป (ผลิตภัณฑ์อะเซโรลาเชอร์รี่ที่อยู่ในรูปของอาหารเสริมที่ขายในไทยจะมีวิตามินซีได้ไม่เกิน 60 มิลลิกรัม จึงไม่ต้องเป็นกังวล)
รีวิวผลิตภัณฑ์ VISTRA IMU-PRO C Acerola Cherry 2000 Plus ใหม่ล่าสุด
ผลิตภัณฑ์ที่นำมารีวิวเพื่อใช้ประกอบเนื้อหาในบทความนี้เป็นของยี่ห้อ VISTRA ซึ่งหลาย ๆ คนที่ทานวิตามินซีกันเป็นประจำอยู่แล้ว น่าจะรู้จักยี่ห้อนี้ดี ในฐานะ “อาหารเสริมอะเซโรลาเชอร์รี่” หรือ “วิตามินซีจากธรรมชาติ”
แต่ที่มีอัพเดทเปลี่ยนแปลงไปก็คือ ทาง VISTRA ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเน้นไปที่เรื่องการเสริมภูมิคุ้มกันให้มากขึ้น (จากเดิมส่วนประกอบสำคัญจะเน้นไปที่สารที่มีประโยชน์ในเรื่องผิวพรรณมากกว่าการเสริมภูมิคุ้มกัน) และใช้ชื่อผลิตภัณฑ์ว่า “วิสทร้า ไอมู-โปร ซี อะเซโรลา เชอร์รี่ 2000 พลัส” (VISTRA IMU-PRO C Acerola Cherry 2000 Plus) ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์กันว่าส่วนประกอบสำคัญในวิสทร้าอะเซโรลาสูตรใหม่จะมีสารสำคัญอะไรบ้างและสารแต่ละตัวจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?

วิเคราะห์ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด :
- อะเซโรลาเชอร์รี่ (Acerola Cherry Extract) 1,000 มก. (สกัดจากผลอะเซโรลาเชอร์รี่ 2,000 มก. จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์) ราชินีแห่งวิตามินซีที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และสารไฟโตนิวเทรียนท์ต่าง ๆ
- วิตามินซี (Vitamin C) ตรงนี้เข้าใจว่าให้วิตามินซีประมาณ 60 มิลลิกรัม เพราะฉลากข้างขวดระบุว่าใน 1 เม็ดให้วิตามินซี 100% ของ Thai RDI หรือสารอาหารที่แนะนําให้บริโภคประจําวันสําหรับคนไทย (ซึ่งตามปริมาณของ Thai RDI ก็คือวิตามินซี 60 มิลลิกรัม) สำหรับประโยชน์นั้นก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัด ป้องกันภาวะขาดวิตามินซีอย่างโรคเลือดออกตามไรฟัน ฯลฯ และการรับประทานวิตามินซีจากอะเซโรลายังอาจช่วยให้ร่างกายดูดซึมเอาวิตามินซีไปใช้ได้ดีกว่าวิตามินซีแบบสังเคราะห์
- สารไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นสารที่ได้จากการรับประทานผักและผลไม้สีต่าง ๆ กัน และเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าหากทานเป็นประจำและทานอย่างหลากหลายหรือหลายสีหลายชนิด ร่างกายจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอและครอบคลุมต่อการกำจัดอนุมูลอิสระต่าง ๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ [20] ซึ่งในอะเซโรลาเชอร์รี่ก็อุดมไปด้วยสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญหลายชนิดอย่าง เช่น ฟลาโวนอยด์อย่างสารแอนโทไซยานิน, แคโรทีนอยด์อย่างเบต้าแคโรทีนและลูทีน รวมทั้งกรดฟีนอลิก เป็นต้น ที่นอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังแล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่น ๆ ด้วยดังที่กล่าวไปแล้ว
- นอกจากนี้ อะเซโรลาเชอร์รี่โดยตัวมันเองแล้วยังมีประโยชน์ในเรื่องผิวพรรณ โดยอาจช่วยส่งเสริมให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ผิวดูอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่น เปล่งปลั่ง ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ลดปัญหาริ้วรอยก่อนวัย และอาจแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอได้ [3],[7],[9],[10]
- เควอเซทิน (Quercetin) 40 มก.
- เควอเซทินเป็นสารในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงอาจมีประโยชน์ในการนำมาใช้เสริมภูมิคุ้มกัน [23] จากงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการพบว่า เควอเซทินมีฤทธิ์ในการป้องกันและยับยั้งการติดเชื้อไวรัสได้หลายชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่, ชิคุนกุนยา, ไวรัสเอ็บสไตบาร์, ไวรัสตับอักเสบซี, ไวรัสอีโบลา, ไวรัสซิกา และ SARS-CoV (ซาร์ส) [24],[25],[26] โดยป้องกันไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ (มีผลช่วยลดปริมาณไวรัส) และยังมีหลักฐานว่าการใช้เควอเซทินร่วมกับวิตามินซีและวิตามินดีจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันในการกำจัดไวรัสได้ดีขึ้น และช่วยให้เควอเซทินออกฤทธิ์ได้ยาวนานมากขึ้น [27]
- ตัวอย่างการศึกษา เช่น ผู้ที่ได้รับการเสริมเควอเซทินในขนาดสูงช่วยลดอุบัติการณ์ของเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน (URTI) อย่างโรคไข้หวัด [28], หนูที่ได้รับการฉีดเควอเซทิน (quercetin 3-β-O-d-glucoside) ก่อนติดเชื้ออีโบลา พบว่าทั้งหมดรอดตายจากการติดเชื้อชนิดนี้ ในขณะที่หนูที่ไม่ได้รับการฉีดเควอเซทินทุกตัวตายหมด [24], ในผู้ป่วยโรคโควิด-19 (SARS-CoV-2) พบว่ากลุ่มที่ได้รับการเสริมเควอเซทินร่วมกับการรักษามาตรฐานเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว พบว่าช่วยลดโอกาศที่ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลลง (9.2% เทียบกับ 28.9%), การใช้เครื่องช่วยหายใจ (1.3% ต่อ 19.7%), การเข้ารักษาในห้อง ICU (0% ต่อ 10.5%), ลดอัตราการเสียชีวิต (0 ต่อ 3) และลดระยะเวลาในการรักษาที่โรงพยาบาลสั้นลง 5 วัน [29] อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกการศึกษาจะให้ผลลัพธ์สอดคล้องกัน เพราะบางการศึกษาพบว่า การเสริมเควอเซทินร่วมกับการรักษามาตรฐานไม่ได้ช่วยลดจำนวนผู้ป่วยหรือระยะเวลาที่เข้ารับการรักษาในห้อง ICU, ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต, ไม่ได้เพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาล และอาการต่าง ๆ ของโรคพบว่าทั้งกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับเควอเซทินเสริมมีความคล้ายคลึงกัน แต่พบว่ากลุ่มที่ได้รับเควอเซทินจะมีอาการอ่อนแอและเซื่องซึมน้อยกว่า และมีระยะเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงประมาณ 1.5 วัน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาแรก [30] อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำว่าควรใช้วิตามินซีร่วมกับเควอเซทินเพื่อป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในระยะเริ่มต้น รวมถึงในผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย [37]
- เหล่านี้คือเพียงตัวอย่างหนึ่งของเควอเซทิน เพราะจริง ๆ แล้วสารชนิดนี้ยังมีประโยชน์อีกมาก เช่น ลดอาการของโรคต่อมลูกหมากอักเสบ, ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ลดความดันโลหิต, ลดอาการของโรคข้ออักเสบ, ช่วยเรื่องความความจำ ฯลฯ
- สารสกัดจากผักและผลไม้รวม 24 ชนิด 50 มก. (สารสกัดนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา จาก Spectra™)
- จากการค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้น พบว่า Spectra™ คือ สูตรของสารสกัดจากผักและผลไม้หลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการยับยั้งอนุมูลอิสระ โดยพบว่าสามารถลดระดับของ Reactive Oxygen Species (ROS) ที่เป็นอนุมูลอิสระ (Free Radical) รูปแบบหนึ่งได้ (ลดระดับ ROS ในเลือดได้ 20% และลดในไมโทคอนเดรียได้ถึง 42%) [22]
- จากข้อมูลพบว่า Spectra™ มีค่าความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (ORAC หรือ Oxygen Radical Absorbance Capacity) สูง ซึ่งค่ายิ่งมากยิ่งมีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย โดยเมื่อรับประทานร่วมกับอะเซโรลาเชอร์รี่ เควอเซทิน และไบโอฟลาโวนอยด์ จะทำให้มีค่าการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า 4,000 ORAC Value/g ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีค่า ORAC ในปริมาณวันละ 3,000-5,000 ORAC Value/g เพื่อสุขภาพดีที่ของร่างกาย ดังนั้น การรับประทานสารสกัดผลไม้รวม 24 ชนิดจาก Spectra™ จึงช่วยตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
- วิตามินดี 3 (Vitamin D3) 2 มก. (ให้วิตามินดี 3 ปริมาณ 200 หน่วยสากล หรือเท่ากับ 100 ThaiRDI)
- วิตามินดีเป็นอีกหนึ่งในสารอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยพบว่าสารอาหารในกลุ่มวิตามินดีมีส่วนช่วยให้เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์สามารถจับกินเชื้อโรค (ผ่านกระบวนการฟาโกไซโทซิส หรือ Phagocytosis) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น [31] นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงประโยชน์ของวิตามินดีอีกมากมาย แต่สำหรับในโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ, โรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ งานวิจัยบางส่วน (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ชี้ให้เห็นว่าวิตามินดีอาจมีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ (ระดับวิตามินดีในเลือดที่ต่ำเกินไปสัมพันธ์กับอาการของโรคทางเดินหายใจที่รุนแรงขึ้นด้วย) [32],[33],[34]
- ในโรคโควิด-19 (COVID-19) การศึกษาส่วนใหญ่ (แต่ไม่ทั้งหมด) พบความเชื่อมโยงกับระดับวิตามินดีในเลือดที่ต่ำ โดยพบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดเพียงพอจะมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่าและมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่ลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้มากกว่าคนปกติอีกด้วย [35],[36]
- ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus Bioflavonoid) 40 มก.
- ผลิตภัณฑ์นี้ใช้ไบโอฟลาโวนอยด์ที่สกัดมาจากส้ม เข้าใจว่าผสมมาเพื่อช่วยการทำงานของวิตามินซีและเพิ่มการดูดซึมของวิตามินซี เพราะจากการศึกษาพบว่า ไบโอฟลาโวนอยด์จะทำงานร่วมกับวิตามินซี ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีได้ประมาณ 35% และช่วยให้วิตามินซีดูดซึมได้ช้าลง (ชะลอการปลดปล่อยของวิตามินซี) [21] อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ยังขัดแย้งกับการศึกษาอื่น ๆ ที่พบว่าให้ผลการดูดซึมไม่ต่างจากวิตามินซีสังเคราะห์ปกติ
ประโยชน์ที่อาจได้รับ :
- เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อช่วยป้องกันไวรัส และลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ
- ต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในทุกวันที่เป็นตัวทำร้ายเซลล์ในร่างกาย ไม่ว่าจะอนุมูลอิสระที่เกิดการรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ (เช่น อาหารปิ้งย่าง), ฝุ่น ควัน หรือมลพิษจากรถยนต์, การสูบบุหรี่หรือการได้รับควันบุหรี่, แสงแดด, ความเครียดสะสม, การพักผ่อนไม่เพียงพอ, การเผาผลาญอาหารในร่างกาย เป็นต้น
- อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัดและระยะเวลาที่เป็นหวัด
- อาจช่วยลดอาการแพ้และลดอาการอักเสบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
- อาจช่วยบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรง มีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง สดใส และคงความอ่อนเยาว์
เหมาะกับใคร? :
- ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตหนัก ๆ พักผ่อนน้อย ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองหรือออกกำลังกาย
- ผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยอยู่บ่อย ๆ ร่างกายฟื้นฟูช้า อ่อนเพลียง่าย และต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องผิวคล้ำเสีย ผิวมีสุขภาพไม่ดี ผิวแพ้ง่าย หรือไวต่อสภาพแวดล้อม
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานผักผลไม้เป็นประจำหรือรับประทานไม่เพียงพอ
คำแนะนำการรับประทาน :
ตามคำแนะนำในฉลากคือทานวันละ 1 เม็ดพร้อมอาหาร แต่จากที่เราวิเคราะห์ส่วนผสมแล้ว พบว่าสามารถรับประทานเพิ่มเป็นวันละ 2 เม็ดได้อย่างปลอดภัยหากต้องการ โดยแนะนำให้ทานครั้งละ 1 เม็ด เช้า-เย็น (จะทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารก็ได้ แต่ไม่ควรทานในขณะที่ท้องว่าง)
ถ้าเลือกทานวันละ 1 เม็ด ให้เลือกทานในมื้อเช้าเท่านั้น เพราะในระหว่างวันร่างกายจะมีการทำกิจกรรมหรือทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะมีการสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้นเป็นปกติ การทานในตอนเช้าจึงเกิดประโยชน์มากกว่าเวลาอื่น ทั้งนี้ก็เพื่อให้วิตามินและสารต่าง ๆ ในอาหารเสริมได้ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน จึงอาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น
“สรุป VISTRA IMU-PRO C Acerola Cherry 2000 Plus สูตรใหม่ ดูเหมือนจะเน้นไปที่การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเป็นหลัก จึงอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น (เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระ ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน) และยังต้องการการดูแลผิวพรรณไปด้วยพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ต้องทำงานตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไม่ค่อยได้รับประทานผักและผลไม้ หรือการสรรหาผักผลไม้หลากสีเป็นเรื่องลำบาก ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้นับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่ค่อนข้างสะดวก และตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตาม การเสริมความแข็งแรงให้กับภูมิคุ้มกัน นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างผักและผลไม้หรือจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแล้ว ยังควรพักผ่อนเพียงให้พอ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด และหมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำด้วย เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้นและทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
- NIH. “Acerola, an untapped functional superfruit: a review on latest frontiers”. (2018)
- USDA FoodData Central. “Acerola, (west indian cherry), raw”. (2019)
- healthline. “What Is Acerola Cherry?”. (2018)
- RxList. “ACEROLA”. (2021)
- NIH. “Vitamin C for preventing and treating the common cold”. (2013)
- ScienceDirect. “Bioactive compounds and antioxidant capacities of 18 non-traditional tropical fruits from Brazil”. (2010)
- MedicineNet. “Acerola Cherry Vitamin C, Fruit, Powder, and Benefits”. (2022)
- CHEMIJOURNAL.com. “Evaluation of cytotoxic activity of various extracts of sweet cherry (Prunus avium) against human colorectal adenocarcinoma HT-29 cell line”. (2016)
- YOUR SUPER. “ACEROLA CHERRIES: THE SUPERFRUIT THAT HAS 30 TIMES MORE VITAMIN C THAN ORANGES”. (2022)
- NIH. “Skin-lightening effect of a polyphenol extract from Acerola (Malpighia emarginata DC.) fruit on UV-induced pigmentation”. (2008)
- NIH. “Neuroprotective potential of phytochemicals”. (2012)
- ifst. “Antioxidant activity and antimicrobial properties of phenolic extracts from acerola (Malpighia emarginata DC) fruit”. (2013)
- WebMD. “Acerola – Uses, Side Effects, and More”. (2022)
- NIH. “Antihyperglycemic effect of polyphenols from Acerola (Malpighia emarginata DC.) fruit”. (2006)
- NIH. “Evaluation of glycemic and lipid profile of offspring of diabetic Wistar rats treated with Malpighia emarginata juice”. (2011)
- NIH. “Effect of acerola cherry extract on cell proliferation and activation of ras signal pathway at the promotion stage of lung tumorigenesis in mice”. (2002)
- NIH. “Biological activity of barbados cherry (acerola fruits, fruit of Malpighia emarginata DC) extracts and fractions”. (2004)
- ScienceDirect. “Effect of the pretreatment with acerola (Malpighia emarginata DC.) juice on ethanol-induced oxidative stress in mice – Hepatoprotective potential of acerola juice”. (2013)
- NIH. “Radioprotective effect of the Barbados Cherry (Malpighia glabra L.) against radiopharmaceutical iodine-131 in Wistar rats in vivo”. (2014)
- NIH. “The immune system in the oxidative stress conditions of aging and hypertension: favorable effects of antioxidants and physical exercise”. (2005)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Comparative bioavailability to humans of ascorbic acid alone or in a citrus extract”. (1988)
- NIH. “New insights on effects of a dietary supplement on oxidative and nitrosative stress in humans”. (2014)
- SciELO. “Antioxidant and stabilization activity of a quercetin-containing flavonoid extract obtained from Bulgarian Sophora japonica L.”. (2013)
- ASM Journals. “Prophylactic Efficacy of Quercetin 3-β-O-d-Glucoside against Ebola Virus Infection”. (2016)
- NIH. “Antiviral activity of quercetin-3-β-O-D-glucoside against Zika virus infection”. (2017)
- NIH. “Binding interaction of quercetin-3-beta-galactoside and its synthetic derivatives with SARS-CoV 3CL(pro): structure-activity relationship studies reveal salient pharmacophore features”. (2006)
- SAGE journals. “Quercetin: Antiviral Significance and Possible COVID-19 Integrative Considerations”. (2020)
- NIH. “Quercetin reduces illness but not immune perturbations after intensive exercise”. (2007)
- NIH. “Possible Therapeutic Effects of Adjuvant Quercetin Supplementation Against Early-Stage COVID-19 Infection: A Prospective, Randomized, Controlled, and Open-Label Study”. (2021)
- ScienceDirect. “The therapeutic efficacy of quercetin in combination with antiviral drugs in hospitalized COVID-19 patients: A randomized controlled trial”. (2022)
- NIH. “Vitamin D and immune function”. (2013)
- thebmj. “Vitamin D supplementation to prevent acute respiratory tract infections: systematic review and meta-analysis of individual participant data”. (2017)
- BMC Research Notes. “Vitamin D supplementation to patients with frequent respiratory tract infections: a post hoc analysis of a randomized and placebo-controlled trial”. (2015)
- American Geriatrics Society. “High-Dose Monthly Vitamin D for Prevention of Acute Respiratory Infection in Older Long-Term Care Residents: A Randomized Clinical Trial”. (2016)
- NIH. “Vitamin D status and seroconversion for COVID-19 in UK healthcare workers”. (2021)
- ScienceDirect. “Vitamin D Status Is Associated With In-Hospital Mortality and Mechanical Ventilation: A Cohort of COVID-19 Hospitalized Patients”. (2021)
- frontiers. “Quercetin and Vitamin C: An Experimental, Synergistic Therapy for the Prevention and Treatment of SARS-CoV-2 Related Disease (COVID-19)”. (2020)
ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อ 28 ก.ย. 2022