ซีลีเนียม
ซีลีเนียม (Selenium หรือ Se) เป็นธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติในดินและพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น อาหารทะเล และเครื่องในสัตว์ ร่างกายไม่สามารถผลิตซีลีเนียมขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักได้รับซีลีเนียมจากอาหารในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานซีลีเนียมในรูปแบบอาหารเสริม
ซีลีเนียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์และมีบทบาทหลายอย่าง เช่น การทำงานของต่อมไทรอยด์ การสังเคราะห์ DNA และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม (อ้างอิง 1)
อาหารเสริมซีลีเนียมมักถูกนำมาใช้เพื่อรักษาหรือป้องกันภาวะขาดซีลีเนียมเป็นหลัก แม้การศึกษาจะพบว่าซีลีเนียมอาจมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะมีบุตรยาก ภาวะครรภ์เป็นพิษ และโรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ แต่การศึกษายังมีจำกัดและจำเป็นต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติม
ประโยชน์ของซีลีเนียม
1. ใช้ป้องกันหรือรักษาภาวะขาดซีลีเนียม (Selenium deficiency) การขาดซีลีเนียมจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับซีลีเนียมต่อวันน้อยกว่า 11 mcg (ไมโครกรัม) (ปริมาณที่แนะนำขั้นต่ำต่อวันคือ 40 mcg) (อ้างอิง 2) โดยกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (เพราะมักได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและมีอาการท้องร่วงและจากการดูดซึมที่ผิดปกติ) (3), ผู้ที่ได้รับการฟอกไต (เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหารและการฟอกเลือดจะกำจัดซีลีเนียมบางส่วนออกจากเลือดด้วย) (4), ผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่ขาดซีลีเนียม (บางพื้นที่ของประเทศจีน ทิเบต และไซบีเรียที่มีระดับซีลีเนียมในดินต่ำมาก) (1), ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ (โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระดับซีลีเนียมในดินต่ำ) (1) อย่างไรก็ตาม การขาดซีลีเนียมนั้นก็พบเกิดได้น้อยมากในประชากรทั่วไปและแม้การขาดซีลีเนียมแบบเดี่ยว ๆ จะไม่ค่อยทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย แต่การขาดเป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดภาวะหรือโรคต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น มีอาการปวดกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้ออ่อนแรง, ติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น, เกิดภาวะมีบุตรยากในเพศชาย, โรค Keshan disease (มีอาการทางหัวใจจากกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม) (5), โรค Kashin-Beck disease (กระดูกและข้ออักเสบ) (6) ฯลฯ ซึ่งการบริโภคซีลีเนียมให้เพียงพอต่อวันสามารถช่วยป้องกันภาวะขาดซีลีเนียมที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเหล่านี้ได้ (7)
2. เสริมภูมิคุ้มกัน การขาดซีลีเนียมอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง มีการศึกษาขนาดเล็กในเยอรมนีที่แสดงให้เห็นว่า ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโควิด-19 (COVID-19) ประมาณ 39-43% จะมีระดับซีลีเนียมในเลือดต่ำ และการขาดซีลีเนียมยังพบได้บ่อยในผู้ที่เสียชีวิตจากโรคโควิดเมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อที่ไม่เสียชีวิตประมาณ 64-70% ต่อ 32-39% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าการขาดซีลีเนียมเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโควิดหรือเป็นผลมาจากโควิดที่ทำให้ระดับซีลีเนียมต่ำ (8)
3. ป้องกันมะเร็ง เนื่องจากซีลีเนียมมีผลต่อการซ่อมแซม DNA การตายของเซลล์ การทำงานของต่อมไร้ท่อและระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดจนมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซีลีเนียมจึงอาจมีบทบาทในการป้องกันมะเร็ง (1) การศึกษาในครั้งแรกพบอัตราการเกิดมะเร็งที่สูงขึ้นในพื้นที่ที่มีปริมาณซีลีเนียมในพืชต่ำ (9) และในการศึกษาเชิงสังเกตในอีกงานวิจัยหลายเรื่องพบความสัมพันธ์ระหว่างระดับซีลีเนียมที่ต่ำกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก ปอด กระเพาะปัสสาวะ ผิวหนัง หลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร ตัวอย่างในการศึกษาของ Cochrane พบว่าในกลุ่มที่บริโภคซีลีเนียมสูงสุดจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลดลง 31%, ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากมะเร็งลดลง 45%, ความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะลดลง 33% และความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายลดลง 22% (10) อย่างไรก็ตาม แม้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางอย่างจะบ่งชี้ว่าการบริโภคซีลีเนียมอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดได้ แต่ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้พิจารณาและสรุปว่าหลักฐานในปัจจุบันยังมีจำกัดและยังไม่สามารถสรุปได้ (11) เพราะในบางการศึกษานั้นการเสริมซีลีเนียมกลับให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งหรือตรงกันข้ามกัน เช่น การศึกษาว่าซีลีเนียมสามารถช่วยป้องกันมะเร็งทางเดินอาหารได้หรือไม่ แต่กลับพบว่าไม่มีผลป้องกันและดูเหมือนจะเพิ่มอัตราการเสียชีวิตโดยรวม (12)
- มะเร็งต่อมลูกหมาก : การทบทวนการศึกษาจำนวน 12 เรื่องที่มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 13,254 คน พบระดับความซีลีเนียมที่สูงกว่ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (13) สอดคล้องกับการวิเคราะห์การศึกษาในผู้ใหญ่ 1,312 คนในสหรัฐอเมริกาที่พบว่าการเสริมซีลีเนียมวันละ 200 mcg เป็นเวลา 6 ปี สัมพันธ์กับความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากที่ลดลง 52-65% (14) ในขณะที่การศึกษาของ Selenium and Vitamin E Cancer Prevention Trial (SELECT) ซึ่งเป็นการทดลองป้องกันมะเร็งด้วยการเสริมซีลีเนียมและวิตามินอี ไม่พบความเกี่ยวข้องกันระหว่างการเสริมซีลีเนียม 200 mcg ที่รวมหรือไม่รวมวิตามินอี 400 IU ต่อความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก (15)
- มะเร็งเต้านม : การวิเคราะห์การศึกษาจำนวน 16 เรื่องที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1980-2012 ทั่วโลก พบว่าระดับซีลีเนียมที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (16)
- มะเร็งรังไข่ : การศึกษาในผู้หญิงชาวแอฟริกัน-อเมริกันในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ที่รับประทานซีลีเนียมจากอาหารเสริมมากที่สุด (≥ 20 mcg/วัน) จะมีความเสี่ยงต่อ มะเร็งรังไข่ ต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้รับซีลีเนียมเสริมประมาณ 30% (17)
- มะเร็งปอด : การวิเคราะห์การศึกษาในปี 2002 พบว่าการเสริมซีลีเนียมช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดในกลุ่มผู้ที่มีระดับซีลีเนียมต่ำ แต่ไม่มีผลช่วยลดในคนทั่วไป (18)
- มะเร็งผิวหนังและมะเร็งลำไส้ : การศึกษาเชิงสังเกตบางเรื่องได้แนะนำว่าการรักษาระดับซีลีเนียมให้เพียงพอ อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังและมะเร็งลำไส้ได้ ในขณะที่การเสริมเพิ่มเติมนั้นไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยง (19)
4. โรคหัวใจและหลอดเลือด แม้จะมีบางการศึกษาที่พบว่าอาหารเสริมซีลีเนียมอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ แต่หลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีอยู่จำกัดและแพทย์ยังไม่แนะนำหรือสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมซีลีเนียมเพื่อป้องกันโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีและได้รับซีลีเนียมจากอาหารเพียงพออยู่แล้ว เพราะยังจำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงประโยชน์ของซีลีเนียมต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้นเสียก่อน สำหรับการศึกษาที่เกี่ยวข้องนั้นมีดังนี้
- ข้อมูลการศึกษาในเรื่องนี้ยังมีข้อสรุปที่ขัดแย้งกัน อย่างการศึกษาเชิงสังเกตจำนวน 25 เรื่องพบว่าผู้ที่มีระดับซีลีเนียมในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงต่อเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (20) ในขณะที่การศึกษาเชิงสังเกตอื่น ๆ ไม่พบความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างระดับซีลีเนียมกับความเสี่ยงหรือการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (21, 22, 23) หรือการทดลองอื่น ๆ ที่การเสริมซีลีเนียมเพียงอย่างเดียว การเสริมวันละ 200 mcg หรือการเสริมวันละ 100 mcg ร่วมกับวิตามินและแร่ธาตุรวมอื่น ๆ ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และผู้วิจัยไม่สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมซีลีเนียมในการป้องกันโรคดังกล่าว (24, 25, 26, 27)
- การศึกษาที่ควบคุมด้วยยาหลอกในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 474 คน (อายุ 60-74 ปี) ที่มีระดับซีลีเนียมเฉลี่ยในเลือดต่ำ พบว่าการเสริมซีลีเนียมในรูปแบบอาหารเสริมวันละ 100, 200 หรือ 300 mcg เป็นเวลา 6 เดือน สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลทั้งหมดที่ไม่รวมคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับหลอก ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมวันละ 300 mcg ยังช่วยเพิ่มระดับ HDL ได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม แม้การเสริมซีลีเนียมดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่ก็มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยและเฉพาะในกลุ่มคนที่มีระดับซีลีเนียมต่ำ จึงยังไม่ควรใช้ซีลีเนียมเป็นวิธีการรักษาเสริมในผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีระดับซีลีเนียมที่ปกติหรือสูงอยู่แล้ว (28)
5. การทำงานของระบบประสาทและสมอง โดยปกติแล้วระดับซีลีเนียมในเลือดจะลดลงไปตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในผู้สูงอายุที่ลดลงจากการศึกษาหนึ่ง (อ้างอิง 29) และระดับซีลีเนียมที่ต่ำกว่าจะมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับประสิทธิภาพที่ลดลงในการทดสอบการประสานงานของระบบประสาทในผู้สูงอายุในอีกการศึกษา (30) ส่วนการศึกษาอื่น ๆ ก็พบว่าผู้ที่มีระดับซีลีเนียมต่ำจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่การทํางานของสมองจะเสื่อมถอยลง (Cognitive decline) (31, 32)
- การวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษา Supplémentation en Vitamines et Minéraux Antioxydants (SU.VI.MAX) ในผู้เข้าร่วมจำนวน 4,447 คน (อายุ 45-60 ปี) ในฝรั่งเศส พบว่าการเสริมเบต้าแคโรทีน 6 mg, วิตามินซี 120 mg, วิตามินอี 30 mg, ซิงค์หรือสังกะสี 20 mg และซีลีเนียม 100 mcg ร่วมกัน เป็นเวลา 8 ปี พบว่ามีคะแนนการทดสอบการจำเหตุการณ์และความคล่องแคล่วทางวาจาดีขึ้น (33) อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลของ National Health reand Nutrition Examination Survey (NHANES) ในผู้สูงอายุจำนวน 4,809 คน นั้นไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับซีลีเนียมในเลือด (ซึ่งมีตั้งแต่ต่ำกว่า 11.3 ถึงสูงกว่า 13.5 mcg/dL) กับประสิทธิภาพในเรื่องความจำเมื่อทำแบบทดสอบ (34)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์จากงานวิจัยล่าสุดของวิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, ซิงค์/สังกะสี
6. ภาวะมีบุตรยากในเพศชาย การศึกษาในผู้ชายจำนวน 65 คนที่มีภาวะมีบุตรยากและมีภาวะ Idiopathic Oligoasthenoteratospermia (ภาวะที่มีจำนวนสเปิร์มน้อย เคลื่อนไหวผิดปกติ และมีรูปร่างผิดปกติ) และในผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยากแต่มีสุขภาพดีอีกจำนวน 50 คน (กลุ่มควบคุม) พบว่าการเสริมซีลีเนียมวันละ 200 mcg เป็นเวลา 6 เดือน สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของสเปิร์ม เพิ่มการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม และเพิ่มความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวมของน้ำเชื้อ เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐาน ดังนั้น ซีลีเนียมจึงอาจใช้เป็นวิธีการรักษาเสริมที่ดีในผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยาก (35)
7. ภาวะครรภ์เป็นพิษ การศึกษาเชิงสังเกตหลายชิ้นพบว่าผู้หญิงที่มีระดับซีลีเนียมในเลือดต่ำจะมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษมากกว่าผู้หญิงที่มีระดับซีลีเนียมในเลือดเพียงพอ และการเสริมซีลีเนียมสามารถช่วยลดอุบัติการณ์ของภาวะครรภ์เป็นพิษได้อย่างมาก
- การศึกษาเชิงสังเกต 13 เรื่อง และการศึกษาการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมอีก 3 เรื่อง ผู้เขียนได้สรุปว่าระดับซีลีเนียมในเลือดมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ และการเสริมซีลีเนียมสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษได้อย่างมาก แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อกำหนดขนาดยา เวลาเริ่มต้น และระยะเวลาของการเสริมซีลีเนียม (36) ตัวอย่างเช่น การทดลองแบบสุ่มควบคุมด้วยยาหลอกที่พบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับซีลีเนียมวันละ 100 mcg ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกจนถึงวันคลอด จะมีโอกาสน้อยที่เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (37) หรือการทดลองแบบสุ่มอีกเรื่องในหญิงตั้งครรภ์จำนวน 230 คน พบว่าการเสริมซีลีเนียมในรูปของยีสต์วันละ 60 mcg ตั้งแต่อายุครรภ์ 12-14 สัปดาห์จนกระทั่งคลอด ส่งผลให้ความเข้มข้นของ sFlt-1 (โปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ) ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (38)
8. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ การทบทวนการศึกษาพบว่าระดับซีลีเนียมในเลือดมักต่ำในผู้หญิงที่มีภาวะน้ำในเลือดสูงขณะตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีระดับน้ำตาลปกติ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งการเพิ่มปริมาณซีลีเนียมในอาหารหรือจากอาหารเสริมอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำในเลือดสูง (39)
9. โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ซีลีเนียมมีหน้าที่สำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนไทรอยด์ และความเข้มข้นของซีลีเนียมในต่อมไทรอยด์จะสูงกว่าในอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย จากหลักฐานการศึกษาเราพบว่าระดับซีลีเนียมในเลือดที่ต่ำจะสัมพันธ์กับปริมาณของต่อมไทรอยด์ (Thyroid volume) ที่มากขึ้นกับความเสี่ยงต่อต่อมไทรอยด์โต (คอพอก) ในผู้ที่มีภาวะขาดไอโอดีนเล็กน้อย (40) อย่างไรก็ตาม ในอีกการศึกษาหนึ่งผลลัพธ์เหล่านี้กลับมีนัยสำคัญทางสถิติเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น (ไม่พบความสัมพันธ์ในผู้ชาย) และชี้ว่าซีลีเนียมอาจใช้ป้องกันโรคคอพอกได้ (41)
- การศึกษาในผู้ป่วยที่มีอาการทางตาจากโรคต่อมไทรอยด์ (Graves’ orbitopathy) พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการเสริมซีลีเนียมวันละ 200 mcg เป็นเวลา 6 เดือน มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และมีอาการทางตาดีขึ้น 61% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และมีเพียง 7% ของกลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมที่มีการดำเนินของโรคเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ 26% ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (42) อย่างไรก็ตามในการทดลองแบบสุ่มในอีกการศึกษาในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 368 คน (อายุ 60-74 ปี) พบว่าการเสริมซีลีเนียมวันละ 100, 200 หรือ 300 mcg เป็นเวลา 6 เดือน ไม่มีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ แม้ว่าการเสริมจะทำให้ระดับซีลีเนียมในเลือดเพิ่มขึ้นก็ตาม (43)
- ในผู้หญิงที่มี TPO antibodies เกิดขึ้นจะมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยในขณะตั้งครรภ์ ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ และเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) การศึกษาพบว่าการเสริมซีลีโนเมไธโอนีนวันละ 200 mcg ให้หญิงตั้งครรภ์ที่มี TPO antibodies สามารถช่วยลดการอักเสบของต่อมไทรอยด์และอุบัติการณ์ของภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ได้ (44) อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการทดลองแบบสุ่มต่อไปเพื่อยืนยันถึงประโยชน์ในเรื่องนี้
10. ภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรัง (Hashimoto’s Disease) ซีลีเนียมถูกนำมาใช้ในการแพทย์ทางเลือกเพื่อช่วยรักษาภาวะต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังหรือโรคฮาชิโมโตะ ซึ่งเกิดขึ้นจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันแล้วส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ การศึกษารวมผู้เข้าร่วมทั้งหมด 8,756 คนที่เลือกจากฐานข้อมูลของ National Health reand Nutrition Examination Survey (NHANES) ปี 2007-2012 พบว่าการบริโภคซีลีเนียมในอาหารที่มากขึ้นมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ลดลง และการบริโภคซีลีเนียมในอาหารอาจช่วยป้องกันและรักษาโรคนี้ได้ (45)
11. อาจช่วยลดสิว มีการศึกษาทดลองเพื่อเปรียบเทียบระหว่างซีลีเนียม, Silymarin, N-acetylcysteine และยาหลอกในการลดจำนวนเม็ดสิว พบว่าหลังจากเสริมเป็นเวลา 8 สัปดาห์ เม็ดสิวมีจำนวนลดลงในกลุ่ม Silymarin และ N-acetylcysteine อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนในกลุ่มที่ได้รับซีลีเนียม (200 mcg/วัน) พบจำนวนสิวลดลงจาก 18.86+8.12 เป็น 11.93+6.83 แต่ผลลัพธ์นี้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งหมายความว่าการเสริมซีลีเนียมอาจได้ผลแต่ไม่มากนักในการลดจำนวนสิว (46)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของ NAC จากงานวิจัย !
12. ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) การศึกษาเชิงสังเกตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีพบความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มข้นของซีลีเนียมที่ต่ำกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด การเสียชีวิต และการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังลูกในหญิงตั้งครรภ์และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของลูก [ 26-30] การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มในผู้ติดเชื้อเอชไอวีพบว่า การเสริมซีลีเนียมสามารถช่วยลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล (47) ช่วยป้องกันการเพิ่มปริมาณของไวรัส HIV-1, ยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส HIV-1 และทำให้จำนวนของเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ต่อสู้กับการติดเชื้อเพิ่มขึ้น (48) อย่างไรก็ตาม งานวิจัยอีกชิ้นกลับพบว่าการเสริมซีลีเนียมในระหว่างหรือหลังการตั้งครรภ์ไม่มีผลต่อจำนวนเซลล์ CD4 แต่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของทารกก่อนวัยอันควรหลังคลอดได้ (49)
13. โรคคาชิน-เบ็ค (Kashin-Beck disease : KBD) เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเฉพาะถิ่น (ส่วนใหญ่พบในบางพื้นที่ของประเทศจีน) เป็นโรคที่มีลักษณะของนิ้วที่ขยายและสั้นลง ปวดตามข้อ ข้อแข็งในตอนเช้า ข้อต่อผิดรูปที่มีการเคลื่อนไหวจำกัดในแขนขา ซึ่งการเสริมซีลีเนียมสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรค KBD ได้ (50)
14. ประโยชน์ซีลีเนียมในเรื่อง ๆ อื่นที่อาจเป็นไปได้ :
- การใช้รักษาภาวะไขมันในเลือดสูง (อ้างอิง 7)
- ซีลีเนียมอาจเป็นประโยชน์สำหรับโรคเส้นประสาทที่เกิดจากเบาหวาน (Diabetic neuropathy) แต่หลักฐานนั้นค่อนข้างอ่อนแอ (51)
- ระดับซีลีเนียมที่สูงขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมีความสัมพันธ์กับความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD) ที่มากขึ้นในการศึกษาหนึ่ง (52)
- ช่วยลดความเป็นพิษของยาซิสพลาติน (Cisplatin) ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัด การศึกษาขนาดเล็กแสดงให้เห็นว่าการเสริมซีลีเนียมสามารถลดความเป็นพิษของยาซิสพลาตินได้ (53) ในขณะที่ทาง Cochrane สรุปว่าหลักฐานการเสริมซีลีเนียมเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดนั้นยังมีไม่เพียงพอ (54)
- ช่วยคงความยืดหยุ่นอ่อนเยาว์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ, บรรเทาอาการร้อนวูบวาบและอาการวัยทอง, ช่วยรักษาและป้องกันรังแค (หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์))
ข้อควรรู้และคำแนะนำ
- อาหารที่อุดมไปด้วยซีลีเนียม : ได้แก่ ถั่วบราซิล (Brazil nuts), อาหารทะเล และเครื่องในสัตว์เป็นแหล่งอาหารที่ดีที่สุดของซีลีเนียม ส่วนแหล่งที่มาอื่น ๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ซีเรียล ธัญพืชต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์จากนม (แต่ปกติแล้วส่วนใหญ่เราจะได้รับซีลีเนียมอย่างเพียงพอจากเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา ไข่ ธัญพืช และขนมปัง)
- ปริมาณซีลีเนียมในอาหารจากพืชแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับปริมาณซีลีเนียมในดินและปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่าง (เช่น ค่า pH ของดิน ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน) เป็นผลให้ความเข้มข้นของซีลีเนียมในอาหารจากพืชจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ นอกจากนี้ ปริมาณซีลีเนียมในดินยังส่งผลต่อปริมาณซีลีเนียมในพืชที่สัตว์กินเข้าไปด้วย จึงทำให้ปริมาณซีลีเนียมในเนื้อสัตว์มีความแตกต่างกันไปตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ความเข้มข้นของซีลีเนียมในดินนั้นจะมีผลต่อระดับซีลีเนียมในพืชมากกว่าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ (อ้างอิง 1)
- ปริมาณซีลีเนียมในอาหารต่อหนึ่งหน่วยบริโภค :
- ถั่วบราซิล (6–8 เม็ด) : 544 mcg
- ปลาทูน่าครีบเหลือง 85 กรัม : 92 mcg
- ปลาแฮลิบัต (Halibut) 85 กรัม : 47 mcg
- ปลาซาร์ดีนกระป๋องในน้ำมัน 85 กรัม : 45 mcg
- แฮมย่าง 85 กรัม : 42 mcg
- กุ้งกระป๋อง 85 กรัม : 40 mcg
- มักกะโรนี 1 ถ้วย : 37 mcg
- สเต็กเนื้อ 85 กรัม : 33 mcg
- ไก่งวง 85 กรัม : 31 mcg
- ตับเนื้อ 85 กรัม : 28 mcg
- ไก่ย่าง 85 กรัม : 22 mcg
- คอทเทจชีส 1 ถ้วย : 20 mcg
- ข้าวกล้อง 1 ถ้วย : 19 mcg
- เนื้อบด 85 กรัม : 18 mcg
- ไข่ต้ม 1 ฟองใหญ่ : 15 mcg
- ขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น : 13 mcg
- ถั่วอบกระป๋อง (Baked beans) 1 ถ้วย : 13 mcg
- โอ๊ตมีล 1 ถ้วย : 13 mcg
- นม 1 ถ้วย : 8 mcg
- โยเกิร์ต 1 ถ้วย : 8 mcg
- ปริมาณอาหารที่แนะนำ (RDAs) ของซีลีเนียม :
- อายุไม่เกิน 6 เดือน : 15 mcg
- อายุ 7 เดือน ถึง 3 ปี : 20 mcg
- อายุ 4-8 ปี : 30 mcg
- อายุ 9-13 ปี : 40 mcg
- อายุ 14 ปีขึ้นไป : 55 mcg
- หญิงตั้งครรภ์ : 60 mcg
- หญิงให้นมบุตร : 70 mcg
- หน่วยวัดของซีลีเนียม : คือ ไมโครกรัม (mcg หรือ µg) ซึ่งทั้ง mcg และ µg นั้นคือหน่วยเดียวกัน และทั้งคู่มีค่าเท่ากัน โดย 1 mcg = 1 µg = 0.000001 g (กรัม)
- ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมซีลีเนียม : มักอยู่ในรูปของอาหารเสริมประเภทวิตามินรวมหรือแร่ธาตุรวมหลายชนิด และมีที่เป็นอาหารเสริมซีลีเนียมแบบเดี่ยว ๆ ความเข้มข้นตั้งแต่ 50-200 mcg/เม็ดหรือแคปซูล โดยมักอยู่ในรูปของซีลีโนเมไธโอนีน (Selenomethionine) หรือยีสต์ที่อุดมด้วยซีลีเนียม (เลี้ยงในอาหารที่มีซีลีเนียมสูง) หรือในรูปของโซเดียมซีลีไนต์หรือโซเดียมซีลีเนต (55)
- ขนาดที่แนะนำให้รับประทาน : ซีลีเนียมรวมทั้งจากอาหารและอาหารเสริมที่แนะนำคือวันละ 100-200 mcg (สำหรับอาหารเสริมซีลีเนียมแนะนำให้ทานทานพร้อมกับอาหาร โดยอาจรับประทานในขนาด 50 mcg เพียงวันละครั้งเพื่อให้ได้ปริมาณซีลีเนียมเพียงพอต่อวัน หรือแบ่งทานวันละ 2-3 ครั้งพร้อมมื้ออาหารเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสุขภาพทั่วไป ส่วนในขนาดที่สูงกว่านี้คือซีลีเนียมรวมวันละ 200-300 mcg จะเน้นรับประทานเพื่อคุณสมบัติด้านการป้องกันมะเร็ง (แต่ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและเพิ่มอัตราการเสียชีวิต)
- การดูดซึมของซีลีเนียมในรูปแบบต่าง ๆ : ร่างกายสามารถดูดซึมซีลีเนียมในรูปของซีลีโนเมไธโอนีนได้มากกว่า 90% ในขณะที่ดูดซึมซีลีเนียมในรูปของซีลีไนท์ได้เพียง 50% (อ้างอิง 55)
- สถานะการบริโภคซีลีเนียม : มีข้อมูลเฉพาะในอเมริกา โดยพบว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่นั้นได้รับซีลีเนียมจากอาหารในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลของ National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES) พบว่าคนอเมริกันมีการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีธาตุซีลีเนียมรวมอยู่ด้วยถึง 19% โดยค่าเฉลี่ยของการบริโภคซีลีเนียมจากอาหารในคนที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป คือ วันละ 108.5 mcg (หากรวมอาหารเสริม คือ 120.8 mcg) ส่วนในผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับจากอาหารเฉลี่ยวันละ 134 mcg (รวมอาหารเสริม คือ 151 mcg) ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงจะได้รับจากอาหารเฉลี่ยน้อยกว่าคือวันละ 93 mcg และ 108 mcg หากรวมอาหารเสริม นอกจากนี้ ระดับดับความเข้มข้นของซีลีเนียมเฉลี่ยในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป คือ 13.67 µg/dl และผู้ชายจะมีระดับซีลีเนียมในเลือดสูงกว่าผู้หญิง) (อ้างอิง 1)
- ผลข้างเคียงจากการได้รับซีลีเนียมมากเกินไป : การบริโภคซีลีเนียมไม่ว่าจะรูปแบบใดในปริมาณสูงเป็นเวลานาน ๆ ก็ให้ผลที่คล้ายกัน โดยตัวบ่งชี้เบื้องต้นของการบริโภคซีลีเนียมมากเกินไปคือ การรับรสเปลี่ยนไปหรือรู้สึกแปร่ง ๆ คล้ายรสโลหะ และมีกลิ่นปากหรือกลิ่นตัวแรง (คล้ายกลิ่นกระเทียม) ส่วนอาการทางคลินิกที่พบได้บ่อยที่สุด คือ อาการผมร่วง เล็บเปราะบาง หรือมีเส้นสีขาวบนเล็บ ส่วนอาการแสดงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง รู้สึกเวียนศีรษะ รู้สึกหงุดหงิดหรือเหนื่อยล้ามาก ปวดล้ากล้ามเนื้อ มีผื่นที่ผิวหนัง ฟันมีรอยด่าง ช้ำง่ายหรือมีเลือดออกง่าย (อ้างอิง 1, 7) นอกจากนี้การบริโภคในปริมาณมากยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต, เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2 และเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ดังตัวอย่างการศึกษาด้านล่าง
- เพิ่มอัตราการเสียชีวิต : การศึกษาในเดนมาร์กในผู้ที่มีระดับซีลีเนียมต่ำ (ประมาณ 90 mcg/L หรือต่ำกว่า) ที่เสริมซีลีเนียมวันละ 100, 200 หรือ 300 mcg เป็นเวลา 5 ปี และติดตามผลต่อไปอีก 10 ปี พบว่ากลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมวันละ 300 mcg มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุมากกว่า 11% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับในขนาดต่ำไม่มีความเสี่ยงดังกล่าว (56)
- เสี่ยงต่อเบาหวาน : การศึกษาในชาวอเมริกันจำนวน 1,202 คน พบว่าในกลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมวันละ 200 mcg จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกถึง 2.7 เท่า (57) หรืออีกการศึกษาอีกหนึ่งในอิตาลีที่ติดตามผู้ชายและหญิงจำนวน 21,334 คนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน พบว่ากลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมจากอาหารสูง (ในผู้ชาย 88 mcg และผู้หญิง 77 mcg) จะมีความเสี่ยงมากขึ้น 64% ที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอีก 8 ปีถัดมา เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้ซีลีเนียมจากอาหารที่ต่ำกว่า (ในผู้ชาย 44-67 mcg และผู้หญิง 39-62 mcg ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปริมาณที่แนะนำต่อวัน) (58)
- เสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก : การศึกษาขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายปีเกี่ยวกับการเสริมซีลีเนียมและวิตามินอีเพื่อป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก พบว่าการเสริมซีลีเนียมในขนาดสูงวันละ 200 mcg จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากความรุนแรงสูงถึง 91% ในกลุ่มผู้ชายที่มีระดับซีลีเนียมสูงอยู่แล้ว (นักวิจัยเตือนว่าผู้ชายอายุ 55 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงการเสริมวิตามินอีหรือซีลีเนียมเกินจากปริมาณที่แนะนำต่อวัน) (59) นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาติดตามผู้ชายจำนวน 4,459 คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแบบไม่แพร่กระจาย พบว่าการเสริมซีลีเนียมตั้งแต่ 140 mcg ขึ้นไปต่อวัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ดังนั้น ในผู้ที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรได้รับซีลีเนียมเกินวันละ 140 mcg (60)
- ความเป็นพิษแบบเฉียบพลัน : เกิดจากการได้รับซีลีเนียมในปริมาณสูงมาก ๆ ตัวอย่างเช่น ในปี 2008 มีผู้คนจำนวน 201 คนที่ประสบกับอาการเป็นพิษรุนแรงจากการรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียมแบบน้ำที่มีปริมาณซีลีเนียมมากกว่าที่ระบุในฉลากถึง 200 เท่า โดยความเป็นพิษของซีลีเนียมนั้นอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและทางเดินอาหารอย่างรุนแรง, เกิดภาวะวิกฤติทางระบบการหายใจ, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, ผมร่วง, ปวดล้ากล้ามเนื้อ, เกิดอาการสั่น, วิ่งเวียนศีรษะ, หน้าแดง, ไตวาย, หัวใจล้มเหลว และในบางกรณีอาจทำให้เสียชีวิต (อ้างอิง 1)
- ปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้ (ULs) ของซีลีเนียม : กรรมาธิการอาหารและโภชนาการของสหรัฐฯ (FNB) ได้กำหนด ULs สำหรับซีลีเนียมทั้งจากอาหารและอาหารเสริมไว้ดังนี้ โดยพิจารณาจากปริมาณซีลีเนียมที่ทำให้เกิดผมร่วงและเล็บเปราะบาง (อ้างอิง 1)
- อายุไม่เกิน 6 เดือน : 45 mcg
- อายุ 7-12 เดือน : 60 mcg
- อายุ 1-3 ปี : 90 mcg
- อายุ 4-8 ปี : 150 mcg
- อายุ 9-13 ปี : 280 mcg
- อายุ 14 ปีขึ้นไป : 400 mcg
- ข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ซีลีเนียม (อ้างอิง 7) :
- หลีกเลี่ยงการเสริมซีลีเนียมหากคุณเคยมีอาการแพ้ซีลีเนียม เช่น เป็นผื่นลมพิษ รู้สึกหายใจลำบาก หรือมีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ (ควรรีบไปพบแพทย์หากคุณมีอาการดังกล่าว)
- ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังหรือกำลังฟอกไตอยู่, ผู้ที่เป็นโรคไฮโปไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (Hypothyroid) หรือเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมซีลีเนียมถึงปริมาณการใช้ที่เหมาะสม
- หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียมหากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าหากคุณรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียม เพราะอาจจำเป็นต้องหยุดรับประทานก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- อาหารเสริมซีลีเนียมอาจส่งผลต่อผลการทดสอบทางการแพทย์บางอย่างได้ จึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าหากคุณกำลังรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียม
สรุปเรื่องซีลีเนียม
- ประโยชน์ของซีลีเนียมหลัก ๆ แล้วจะใช้เพื่อรักษาหรือป้องกันการขาดซีลีเนียม แม้การศึกษาจะพบประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น อาจมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะมีบุตรยาก ภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ฯลฯ แต่หลักฐานก็ยังไม่ชัดเจนและมีผลลัพธ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ ประโยชน์ส่วนใหญ่ของซีลีเนียมก็ดูเหมือนจะจำกัดอยู่เฉพาะในผู้ที่มีระดับซีลีเนียมในเลือดต่ำเท่านั้น (ซึ่งก็พบได้น้อยมาก)
- ปริมาณที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ วันละ 55 mcg ส่วนปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้คือ 400 mcg
- คนส่วนใหญ่ได้รับซีลีเนียมจากอาหารในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียมเพิ่มเติม
- การเสริมซีลีเนียมในรูปแบบอาหารเสริมในระยะยาวเกินวันละ 400 mcg อาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพหรือผลข้างเคียงร้ายแรงได้ นอกจากนี้
- แม้ซีลีเนียมในขนาดวันละ 200-300 mcg อาจมีประโยชน์ต่อการป้องกันมะเร็ง แต่การได้รับวันละ 200 mcg กลับเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและมะเร็งต่อมลูกหมาก และในขนาดวันละ 300 mcg อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ 11% ดังนั้น จึงควรชั่งน้ำหนักให้ดีถึงประโยชน์และผลเสียหากคุณจะรับประทานอาหารเสริมซีลีเนียม
งานวิจัยอ้างอิง
- National Institutes of Health (NIH). “Selenium”. (2023)
- Toxicology. “Selenium: from cancer prevention to DNA damage”. (2006)
- Nutrition Reviews. “Role of selenium in HIV infection”. (2010)
- BMC Medicine. “Trace elements in hemodialysis patients: a systematic review and meta-analysis”. (2009)
- Asia Pacific Journal of Clinical Nutrition. “An original discovery: selenium deficiency and Keshan disease (an endemic heart disease)”. (2012)
- Osteoarthritis and Cartilage. “Sodium selenite for treatment of Kashin-Beck disease in children: a systematic review of randomised controlled trials”. (2012)
- Drugs.com. “Selenium”. (2023)
- Nutrients. “Selenium Deficiency Is Associated with Mortality Risk from COVID-19”. (2020)
- Canadian Medical Association Journal. “Possible protective effect of selenium against human cancer.”. (1969)
- Cochrane Database of Systematic Reviews. “Selenium for preventing cancer”. (2014)
- U.S Food and Drug Administration. “Selenium and a Reduced Risk of Site-specific Cancers, FDA-2008-Q-0323”. (2009)
- Alimentary Pharmacology & Therapeutics. “Systematic review: primary and secondary prevention of gastrointestinal cancers with antioxidant supplements”. (2008)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Selenium and prostate cancer: systematic review and meta-analysis”. (2012)
- BJU International. “Selenium supplementation, baseline plasma selenium status and incidence of prostate cancer: an analysis of the complete treatment period of the Nutritional Prevention of Cancer Trial”. (2003)
- JAMA. “Vitamin E and the risk of prostate cancer: the Selenium and Vitamin E Cancer Prevention Trial (SELECT)”. (2011)
- Biological Trace Element Research. “The relationship between selenium levels and breast cancer: a systematic review and meta-analysis”. (2014)
- The Journal of Nutrition. “Supplemental Selenium May Decrease Ovarian Cancer Risk in African-American Women”. (2017)
- Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention. “Selenium supplementation and lung cancer incidence: an update of the nutritional prevention of cancer trial”. (2002)
- Cochrane Database of Systematic Reviews. “Selenium for preventing cancer”. (2018)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Selenium and coronary heart disease: a meta-analysis”. (2006)
- Arteriosclerosis. “Longitudinal association between toenail selenium levels and measures of subclinical atherosclerosis: the CARDIA trace element study”. (2010)
- Archives of Internal Medicine. “Serum selenium levels and all-cause, cancer, and cardiovascular mortality among US adults”. (2008)
- American Journal of Epidemiology. “Serum selenium and peripheral arterial disease: results from the national health and nutrition examination survey, 2003-2004”. (2009)
- Archives of Internal Medicine. “The SU.VI.MAX Study: a randomized, placebo-controlled trial of the health effects of antioxidant vitamins and minerals”. (2004)
- Cochrane Database of Systematic Reviews. “Selenium supplementation for the primary prevention of cardiovascular disease”. (2013)
- American Journal of Epidemiology. “Effects of selenium supplementation on cardiovascular disease incidence and mortality: secondary analyses in a randomized clinical trial”. (2006)
- International Journal of Cancer. “Incidence of cancers, ischemic cardiovascular diseases and mortality during 5-year follow-up after stopping antioxidant vitamins and minerals supplements: a postintervention follow-up in the SU.VI.MAX Study”. (2010)
- Annals of Internal Medicine. “Effect of supplementation with high-selenium yeast on plasma lipids: a randomized trial”. (2011)
- Epidemiology. “Plasma selenium over time and cognitive decline in the elderly”. (2007)
- Movement Disorders. “Plasma selenium is positively related to performance in neurological tasks assessing coordination and motor speed”. (2010)
- Journal of the American Geriatrics Society. “Cognitive decline is associated with systemic oxidative stress: the EVA study. Etude du Vieillissement Artériel”. (2000)
- American Journal of Epidemiology. “Selenium level and cognitive function in rural elderly Chinese”. (2007)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “French adults’ cognitive performance after daily supplementation with antioxidant vitamins and minerals at nutritional doses: a post hoc analysis of the Supplementation in Vitamins and Mineral Antioxidants (SU.VI.MAX) trial”. (2011)
- American Journal of Epidemiology. “Association of antioxidants with memory in a multiethnic elderly sample using the Third National Health and Nutrition Examination Survey”. (1999)
- Biological Trace Element Research. “The Effect of Selenium Therapy on Semen Parameters, Antioxidant Capacity, and Sperm DNA Fragmentation in Men with Idiopathic Oligoasthenoteratospermia”. (2023)
- Biological Trace Element Research. “Selenium and Preeclampsia: a Systematic Review and Meta-analysis”. (2016)
- Taiwanese Journal of Obstetrics and Gynecology. “Selenium supplementation and the incidence of preeclampsia in pregnant Iranian women: a randomized, double-blind, placebo-controlled pilot trial”. (2010)
- British Journal of Nutrition. “Effect of selenium on markers of risk of pre-eclampsia in UK pregnant women: a randomised, controlled pilot trial”. (2014)
- Journal of Trace Elements in Medicine and Biology. “The association between serum selenium and gestational diabetes mellitus: a systematic review and meta-analysis”. (2015)
- European Journal of Endocrinology. “Selenium status, thyroid volume, and multiple nodule formation in an area with mild iodine deficiency”. (2011)
- European Journal of Endocrinology. “Association of selenium with thyroid volume and echostructure in 35- to 60-year-old French adults”. (2003)
- The New England Journal of Medicine. “Selenium and the course of mild Graves’ orbitopathy”. (2011)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Randomized controlled trial of the effect of selenium supplementation on thyroid function in the elderly in the United Kingdom”. (2008)
- The Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism. “The influence of selenium supplementation on postpartum thyroid status in pregnant women with thyroid peroxidase autoantibodies”. (2007)
- Journal of Endocrinological Investigation. “The association between dietary selenium intake and Hashimoto’s thyroiditis among US adults: National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES), 2007-2012”. (2023)
- Journal of Clinical & Experimental Dermatology Research. “Effects of Oral Antioxidants on Lesion Counts Associated with Oxidative Stress and Inflammation in Patients with Papulopustular Acne”. (2012)
- HIV and AIDS Clinical Trials. “Impact of a selenium chemoprevention clinical trial on hospital admissions of HIV-infected participants”. (2002)
- Archives of Internal Medicine. “Suppression of human immunodeficiency virus type 1 viral load with selenium supplementation: a randomized controlled trial”. (2007)
- The American Journal of Clinical Nutrition. “Randomized, double-blind, placebo-controlled trial of selenium supplements among HIV-infected pregnant women in Tanzania: effects on maternal and child outcomes”. (2008)
- Nutrition. “Selenium, iodine, and the relation with Kashin-Beck disease”. (2011)
- Zeitschrift fur die Gesamte Innere Medizin und Ihre Grenzgebiete. “[Diabetes mellitus–a free radical-associated disease. Results of adjuvant antioxidant supplementation]”. (1993)
- The Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism. “Bone turnover and bone mineral density are independently related to selenium status in healthy euthyroid postmenopausal women”. (2012)
- Biological Trace Element Research. “The protective role of selenium on the toxicity of cisplatin-contained chemotherapy regimen in cancer patients”. (1997)
- Cochrane Database of Systematic Reviews. “Selenium for alleviating the side effects of chemotherapy, radiotherapy and surgery in cancer patients”. (2006)
- The National Academies Press (US). “Dietary Reference Intakes for Vitamin C, Vitamin E, Selenium, and Carotenoids”. (2000)
- Free Radical Biology and Medicine. “Effect of long-term selenium supplementation on mortality: Results from a multiple-dose, randomised controlled trial”. (2018)
- Annals of Internal Medicine. “Effects of long-term selenium supplementation on the incidence of type 2 diabetes: a randomized trial”. (2007)
- Nutrition, Metabolism and Cardiovascular Diseases. “Dietary selenium intake and risk of hospitalization for type 2 diabetes in the Moli-sani study cohort”. (2021)
- Journal of the National Cancer Institute. “Baseline Selenium Status and Effects of Selenium and Vitamin E Supplementation on Prostate Cancer Risk”. (2014)
- Journal of the National Cancer Institute. “Selenium Supplementation and Prostate Cancer Mortality”. (2014)
ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 04 ส.ค. 2023