18 ประโยชน์ของไลโคปีน (Lycopene) จากงานวิจัย !

ไลโคปีน (Lycopene) กับประโยชน์ทางการแพทย์

ไลโคปีน

ไลโคปีน (Lycopene) คือ สารสีแดงที่พบได้ในผักและผลไม้บางชนิด โดยเฉพาะในมะเขือเทศ แตงโม รวมถึงผลไม้หรือผลเบอร์รี่ที่มีสีแดงหรือสีชมพู แต่ส่วนใหญ่จะพบได้มากในมะเขือเทศ

ไลโคปีนจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมันและจัดเป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) การได้รับไลโคปีนสูงจากอาหาร (โดยทั่วไปคือผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งที่ลดลง ส่งผลดีสุขภาพหัวใจ ลดความดันโลหิตสูง อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และอาจช่วยปกป้องผิวพรรณจากแสงยูวี (อ้างอิง 1)

ประโยชน์ของไลโคปีน

1. ต้านอนุมูลอิสระ ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่อาจช่วยปกป้องร่างกายของเราจากภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative stress) และสารพิษในสิ่งแวดล้อม โดยภาวะเครียดออกซิเดชั่นนั้นเป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณของอนุมูลอิสระมากจนสารต้านอนุมูลในร่างกายมีไม่เพียงพอและส่งผลให้เกิดการทำลาย DNA และเซลล์จนก่อให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน อัลไซเมอร์ ฯลฯ แต่จากการศึกษาเราพบว่าไลโคปีนนั้นสามารถช่วยรักษาระดับอนุมูลอิสระให้มีความสมดุลและปกป้องร่างกายจากสภาวะเหล่านี้ได้ (อ้างอิง 2)

2. ต้านการอักเสบ การศึกษาพบว่าไลโคปีนสามารถช่วยลดระดับตัวบ่งชี้การอักเสบ C-reactive protein (CRP) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ (10) และการศึกษาในผู้ป่วยท่ีดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของมะเขือเทศแล้วพบว่ามีผลลดการผลิตของ TNF-α ซึ่งเป็นไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ (11) นอกจากนี้ การศึกษาในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหืดยังพบว่าการเสริมไลโคปีนช่วยปรับปรุงอาการอักเสบของหลอดลมให้ดีขึ้นได้ (12)

3. ลดความดันโลหิตสูง การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Heart Journal พบว่าในผู้ชายและหญิงจำนวน 31 คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 เมื่อทานอาหารเสริมไลโคปีน 15 มก. ทุกวัน เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัวลดลงเฉลี่ย 9 มม.ปรอท และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวลดลงเฉลี่ย 4 มม.ปรอท เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานยาหลอก (13)

4. ลดระดับคอเลสเตอรอล มีหลักฐานว่าการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปีนและอาหารเสริมไลโคปีนสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ได้ แม้จะไม่มีผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) (14) สอดคล้องกับการทบทวนการศึกษาทางคลินิก 12 เรื่องที่กินเวลา 2 สัปดาห์ถึง 6 เดือน พบว่าการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของมะเขือเทศ และ/หรืออาหารเสริมไลโคปีนในคนวัยกลางคนและคนวัยสูงอายุ ทุกวัน วันละ 25 มก. หรือมากกว่า ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ได้เฉลี่ยประมาณ 7 มก./ดล. และ 10 มก./ดล. ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณไลโคปีนที่ต่ำกว่าวันละ 25 มก. ไม่มีผลลดระดับคอเลสเตอรอล (15)

5. ลดความเสี่ยงมะเร็ง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของไลโคปีนอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการลุกลามของมะเร็งบางชนิดและ/หรือการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งกระเพาะอาหาร/ลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน เป็นต้น (16) อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้สรุปในปี 2550 ว่ายัง “ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอ” ที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคมะเขือเทศกับการช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่าง ๆ และหลักฐานในปัจจุบันยังมีจำกัดมาก จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไปเพื่อยืนยันถึงประโยชน์นี้ (17)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของวิตามินเอ (Vitamin A) จากงานวิจัย !

6. ป้องกันเบาหวาน ไลโคปีนอาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร, ยับยั้งภาวะเครียดออกซิเดชั่น, เพิ่มภูมิคุ้มกันโดยกําเนิด (Innate immunity) หรือระดับซีรั่มของอิมมูโนโกลบูลินเอ็ม (Immunoglobulin M (IgM)) และลดการอักเสบ (40, 41, 42) สอดคล้องกับการศึกษาการบริโภคแคโรทีนอยด์จากอาหารในผู้หญิงตั้งครรภ์จำนวน 1,978 คน ที่พบว่าการบริโภคไลโคปีนเพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 มก. มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ที่ลดลง 5% และสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารที่ลดลง 0.09 มก./ดล. (43)

7. ดีต่อสุขภาพหัวใจ ไลโคปีนอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคหัวใจและหลอดได้ โดยผ่านกลไกช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL), เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL), ลดความหนาของหลอดเลือดแดง, ลดการรวมตัวของเกล็ดเลือด, เพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือด, ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และลดการอักเสบของไซโตไคน์ (44, 14) และฤทธิ์ในการป้องกันของไลโคปีนดูเหมือนจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดต่ำหรือมีภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นสูง ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้สูบบุหรี่ ผู้ป่วยไตเทียม ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจ (45)

8. ปกป้องระบบประสาทและสมอง ไลโคปีนได้รับการศึกษาถึงฤทธิ์ในการป้องกันระบบประสาท โดยพบกลไกที่เป็นไปได้ ได้แก่ การยับยั้งภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน การอักเสบของเส้นประสาท การตายของเซลล์ประสาท และการฟื้นฟูการทำงานของไมโทคอนเดรีย (60, 61) ในการทบทวนการศึกษาหลายเรื่องพบว่าไลโคปีนเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง และการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างระดับไลโคปีนที่ต่ำกับอัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์ที่สูงขึ้น (62) หรือในอีกการศึกษาที่ระดับไลโคปีนที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และอาจใช้เพื่อชะลอการโจมตีหรือการลุกลามของโรคได้ (63) ส่วนการศึกษาอื่น ๆ พบว่าระดับความเข้มข้นของไลโคปีนและสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ในเลือดอาจช่วยป้องกันภาวะบกพร่องทางปัญญา (Cognitive impairment) ในผู้สูงอายุ (64) และในหนูทดลองที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีไขมันสูงซึ่งเชื่อมโยงกับนี้ (65), การศึกษาในหนูทดลองที่แสดงให้เห็นว่าไลโคปีนมีศักยภาพในการปกป้องระบบประสาทจากโรคลมชัก เนื่องจากอาการชักจะจำกัดออกซิเจนในสมองและมีโอกาสทำให้สมองเสียหายอย่างถาวรหากเกิดขึ้นนานเกินไป ซึ่งนักวิจัยพบว่าไลโคปีนไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอาการชักในอนาคต แต่มันยังสามารถช่วยซ่อมแซมระบบประสาทที่ถูกทำลายจากอาการชักในอดีตได้ด้วย (66)

9. อาการปวดเส้นประสาท (Neuropathic pain) การศึกษาในหนูทดลองพบว่าไลโคปีนอาจช่วยลดอาการปวดเส้นประสาทที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาททำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดแบบฉับพลัน ปวดแสบปวดร้อน ปวดแปลบ ๆ หรือปวดแบบตุ้บ ๆ ในบริเวณนั้น ๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นอาการที่รักษาได้ยากมาก และผลลัพธ์ในสัตว์ทดลองมีแนวโน้มที่ดีในการช่วยลดอาการเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ (67, 68)

10. อาจดีสุขภาพดวงตา การเสริมไลโคปีนอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการก่อตัวของโรคต้อกระจกและจอตาเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการตาบอดในผู้สูงสูงอายุ เนื่องจากไลโคปีนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ จึงช่วยชะลอหรือยับยั้งปฏิกิริยาภายในเซลล์ของดวงตาที่นำไปสู่การเสื่อมสภาพของจอประสาทตา (69)

11. สุขภาพช่องปาก เช่น การศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์การใช้ไลโคปีนร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ในการรักษาโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) (74) หรือการศึกษาทางคลินิกพบว่าไลโคปีนอาจมีประสิทธิผลในการบำบัดรักษาในขั้นแรกของการรักษาโรคซับมิวคัสไฟโบรซิสช่องปาก (Oral submucous fibrosis) (75) สอดคล้องกับการศึกษาอีกเรื่องในผู้ป่วยจำนวน 45 รายที่เป็นโรค Oral submucous fibrosis ที่พบว่าการใช้ไลโคปีนเป็นเวลา 3 เดือน ดูเหมือนจะมีแนวโน้มดีต่อการจัดการกับโรคในแง่ช่วยลดอาการแสบร้อนและการอ้าปาก เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (76)

12. โรคตับจากแอลกอฮอล์ (ALD) โรคตับจากแอลกอฮอล์ (ALD) เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานาน การศึกษาพบว่าไลโคปีนสามารถช่วยยับยั้งเอนไซม์ CYP2E1 ที่ควบคุมกระบวนการการย่อยสลายแอลกอฮอล์ในตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจช่วยลดพัฒนาการของโรค ALD ได้ (การดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มระดับเอนไซม์ CYP2E1 ในตับ ทำให้เกิดการย่อยสลายแอลกอฮอล์เป็นสารตกค้างอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสะสมของสารตกค้างและเพิ่มความเสี่ยงต่อพัฒนาการของโรคในอนาคต) (77)

13. โรคต่อมลูกหมากโต (BPH) อาหารเสริมไลโคปีนเคยถูกใช้เพื่อลดอาการของโรคต่อมลูกหมากโต แม้งานวิจัยในปัจจุบันจะให้ผลลัพธ์ที่หลากหลายและไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การศึกษาในเยอรมนีในกลุ่มผู้ชายที่เป็นโรค BPH จำนวน 40 คน พบว่าการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมากมีแนวโน้มช้าลงเมื่อรับประทานไลโคปีนเสริมวันละ 15 มก. เป็นเวลา 6 เดือน (78) เช่นเดียวกับการศึกษาในอิตาลีในกลุ่มผู้ชายที่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 31 คน (อายุเฉลี่ย 66 ปี) ที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตแต่ไม่ร้ายแรง พบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากมะเขือเทศทั้งผลขนาด 5 กรัม (ให้ไลโคปีน 23.75 มก.) วันละครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถช่วยลดอาการต่าง ๆ ของโรคได้เป็นอย่างดี เช่น ลดอาการปัสสาวะไม่ออกลง 28%, ปัสสาวะบ่อย 20%, ปัสสาวะติดขัด 25%, ปัสสาวะเร่ง 20%, ปัสสาวะเบา 35% และอาการปัสสาวะตอนกลางคืน 40% อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ไม่มีการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าอาการที่ลดลงนั้นดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกหรือไม่ (79)

14. ภาวะมีบุตรยากในเพศชาย การเสริมไลโคปีนอาจช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ได้เนื่องจากช่วยลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเจนต่อตัวอสุจิหรือสเปิร์ม ช่วยปรับปรุงคุณภาพ และเพิ่มการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม (80) โดบการทบทวนการศึกษาทางคลินิกขนาดเล็กจำนวน 6 เรื่อง พบว่าการเสริมไลโคปีนวันละ 4-8 มก. เป็นเวลา 3-12 เดือน มีประโยชน์ในการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย โดยช่วยปรับปรุงคุณภาพของสเปิร์มและเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ และการศึกษาหนึ่งรายงานว่าจำนวนสเปิร์มเพิ่มขึ้น 70% และการเคลื่อนไหวของสเปิร์มเพิ่มขึ้น 54% ในผู้ชายที่มีบุตรยากที่รับประทานไลโคปีนวันละ 8 มก. (81) หรืออีกการศึกษาที่ควบคุมด้วยยาหลอกในประเทศอังกฤษที่ศึกษาในกลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 56 คน พบว่าการเสริมไลโคปีน 7 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ไม่ได้ช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มที่เคลื่อนที่ได้ แต่ช่วยเพิ่มจำนวนสเปิร์มที่เคลื่อนที่เร็วและมีรูปร่างแข็งแรงได้เกือบ 2 เท่า (จาก 7.5% เป็น 13.5%) และช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นจาก 10.6% เป็น 14.76% (82)

15. อาจช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของไลโคปีนอาจช่วยลดภาวะเครียดออกซิเดชั่นในกระดูกที่ทำให้โครงสร้างกระดูกเปราะและอ่อนแอ ช่วยชะลอการตายของเซลล์ (Apoptosis) ที่ทำให้กระดูกอ่อนแอลง และช่วยเสริมสร้างโครงสร้างเซลล์ของกระดูก ทำให้กระดูกมีสุขภาพดีและแข็งแรงขึ้น (83) นอกจากนี้ ในการศึกษาของ European Prospective Investigation into Cancer and Nutrition (EPIC)-Norfolk cohort ยังพบว่าการบริโภคไลโคปีนจากอาหารมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความหนาแน่นของแร่ธาตุกระดูกส้นเท้าในผู้หญิง (84)

16. ปกป้องผิวจากรังสียูวี มีข้อมูลว่าแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้าแคโรทีน แอสตาแซนธิน และไลโคปีนจากอาหารและอาหารเสริมอาจช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และ/หรือรังสียูวี (UV) จากแสงแดดได้ (85, 86) มีการศึกษาเล็ก ๆ ในผู้หญิงที่ประเทศอังกฤษที่ผู้เข้าร่วมได้รับรังสียูวีก่อนและหลังการบริโภคซอสมะเขือเทศ 55 กรัม (ให้ไลโคปีน 16 มก.) ทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน สามารถช่วยลดความเสียหายของเนื้อเยื่อและรอยแดงจากการสัมผัสรังสียูวีได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ (87) หรือการศึกษาการบริโภคไลโคปีนจากอาหารหรืออาหารเสริมวันละ 8-16 มก. เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดความเข้มข้นของรอยแดงบนผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้ 40-50% (88) สอดคล้องกับการศึกษาอื่น ๆ ที่พบว่าไลโคปีนหรือผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศมีผลป้องกันอันตรายจากแสงแดดและรอยแดงที่เกิดจากรังสียูวี (Ultraviolet light–induced erythema) (89, 90) อย่างไรก็ตาม แม้ไลโคปีนจะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดและความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวีได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้ไลโคปีนเพื่อทดแทนการใช้ครีมกันแดดได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) จากงานวิจัย !

17. ลดริ้วรอย/ความหยาบกร้านของผิวหนัง ระดับความเข้มข้นของไลโคปีนในผิวหนังที่สูงขึ้นมีความสัมพันธกับความหยาบกร้านของผิวหนัง (Skin roughness) ที่ลดลงเมื่อศึกษาในอาสาสมัคร 20 คนที่มีอายุระหว่าง 40-50 ปี (อ้างอิง 3) หรือการศึกษาในผู้หญิง 60 คน (อายุเฉลี่ย 48 ปี) ที่พบว่าผู้ที่รับประทานสารสกัดมะเขือเทศ 1 แคปซูลร่วมกับสารสกัดโรสแมรี่ที่ให้กรดคาร์โนซิก 2 มก. วันละ 2 ครั้ง พร้อมอาหาร (ให้ไลโคปีนรวม 15 มก.) เป็นเวลา 4 เดือน พบว่าริ้วรอยและความชุ่มชื้นของผิวหนังดีขึ้นเล็กน้อย (ริ้วรอยรอยรอบดวงตาหรือรอยตีนกาลดลงโดยเฉลี่ย 5.6% เมื่อวิเคราะห์จากภาพถ่าย และ 90.3% รายงานผิวมีความชุ่มขื้นดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอกริ้วรอยไม่ได้ดีขึ้น และมีเพียง 58.6% ที่รายงานว่าผิวมีความชุ่มชื้นดีขึ้น) (91)

18. สุขภาพผิวในด้านอื่น ๆ การศึกษาที่เก่าแล้วพบผลลัพธ์เชิงบวกของเบต้าแคโรทีนซึ่งรวมถึงไลโคปีนในการรักษาความผิดปกติของผิวหนังรวมถึงมะเร็ง (อ้างอิง 1) ความไม่สมดุลของเม็ดสีในโรงด่างขาว (Acral vitiligo) (อ้างอิง 92), โรคแพ้แสงแดด (Photodermatoses) (93) และภาวะไลเคนพลานัสในช่องปาก (Oral lichen planus) ซึ่งการศึกษาควบคุมด้วยยาหลอกพบว่าไลโคปีนสามารถช่วยรักษาภาวะไลเคนพลานัสในช่องปากซึ่งเป็นภาวะอักเสบเรื้อรังที่ส่งผลต่อเยื่อเมือกบุผิวภายในปาก (อาจมีลักษณะเป็นรอยฝ้าขาว เนื่อเยื่อบวมแดง หรือแผลเปิด) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (94)

ไลโคปีน (Lycopene) อาจมีประโยชน์หลายอย่าง ตั้งแต่การมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล ปกป้องระบบประสาทและสมอง ป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ปกป้องผิวและดวงตา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่จะแนะนำให้ใช้สำหรับข้อบ่งใช้ใด ๆ อย่างชัดเจน และยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

ข้อควรรู้และคำแนะนำ

  • อาหารที่มีไลโคปีนสูง : มะเขือเทศเป็นแหล่งไลโคปีนจากอาหารที่มีมากที่สุด (ในอเมริกาเหนือ เกือบ 85% ของไลโคปีนในอาหารจะได้มาจากมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ) และยิ่งมะเขือเทศสุกมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีไลโคปีนมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้มะเขือเทศที่ผ่านการปรุงสุกหรือผ่านการแปรรูป (เช่น ซอสมะเขือเทศ) ยังให้ปริมาณไลโคปีนที่มากกว่ามะเขือเทศสด ๆ อีกด้วย โดยใน 100 กรัม ในมะเขือเทศอบแห้งจะมีไลโคปีน 45.9 มก., น้ำซอสมะเขือเทศ (Tomato purée) มี 21.8 มก. ในขณะที่มะเขือเทศสดจะให้ไลโคปีนเพียง 3.0 มก.
  • อาหารอื่นที่มีไลโคปีน : อาหารตามธรรมชาติทั้งหมดที่มีสีชมพูถึงสีแดงเข้มจะมีไลโคปีนอยู่บ้าง (แต่ไม่มากเท่ามะเขือเทศ) และนี่คือตัวอย่างอาหารที่มีไลโคปีนมากที่สุดต่อ 100 กรัม (เรียงจากมากไปน้อย) ได้แก่ ฝรั่งสีชมพู (5.2 มก.), แตงโม (4.5 มก.), มะละกอ (1.8 มก.), ส้มโอสีชมพู (1.1 มก.), พริกแดงหวานปรุงสุก (0.5 มก.) และอื่น ๆ เช่น เกรปฟรุตสีชมพู, แอปริคอต, แครนเบอร์รี่, องุ่น, ฟักทอง, มันเทศ, ลูกพีช ฯลฯ ทั้งนี้ ผักและผลไม้เหล่าเมื่อสุกก็จะยิ่งมีปริมาณไลโคปีนที่มากขึ้นด้วย
  • วิธีการรับประทานไลโคปีน : ไลโคปีนสามารถละลายได้ในไขมัน นั่นหมายความว่าไลโคปีนทั้งจากอาหารและอาหารเสริมจะถูกดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อคุณ “รับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมันหรือน้ำมัน” โดยเฉพาะไขมันที่ดีอย่างน้ำมันมะกอก อะโวคาโด ไขมันจากถั่ว ไข่ หรือปลาที่มีไขมันในปริมาณเหมาะสม ที่น่าสนใจคือชนิดของไขมันก็มีผลต่อการดูดซึมของไลโคปีน เพราะในการศึกษาเราพบว่าการรับประทานร่วมกับน้ำมันมะกอก ร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าน้ำมันมะพร้าวถึง 45.8% (24% เทียบกับ 14.9% ตามลำดับ) (95)
  • การดูดซึมของไลโคปีน : ร่างกายสามารถดูดซึมไลโคปีนจากมะเขือเทศปรุงสุกหรือมะเขือเทศแปรรูป (เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ) ได้มากกว่ามะเขือเทศสด ส่วนไลโคปีนในรูปแบบอาหารเสริมนั้นดูเหมือนว่าจะมีดูดซึมได้ใกล้เคียงกับไลโคปีนในอาหารที่ปรุงสุกและน้ำมะเขือเทศ อย่างไรก็ตาม มีบางรายงานที่ระบุว่า ไลโคปีนที่ได้จากอาหารนั้นดูเหมือนจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าไลโคปีนจากอาหารเสริมในเรื่องการช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (96)
  • ปริมาณไลโคปีนที่แนะนำ : ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดปริมาณไลโคที่เหมาะสม แต่จากการศึกษาส่วนใหญ่ที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ต่าง ๆ นั้นเกิดจากการบริโภคไลโคปีนในขนาดตั้งแต่ 4-25 มก./วัน หรือหากคุณคิดว่าได้รับไลโคปีนจากอาหารไม่เพียงพอก็อาจพิจารณารับประทานไลโคปีนในรูปแบบอาหารเสริมในขนาด 5-10 มก. ก็ได้ (บางข้อมูลในบ้านเราระบุว่าคนไทยควรได้รับไลโคปีนอย่างน้อยวันละ 20-30 มก. ซึ่งควรรวมถึงปริมาณที่ได้รับจากอาหารทั้งหมดด้วย)
    • มีการสำรวจที่พบว่าผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ได้รับไลโคปีนจากอาหารโดยเฉลี่ยวันละ 5-10 มก., ในยุโรป 7.4 มก., ในอังกฤษ 1.1 มก. (97) แต่ในไทยน่าจะยังไม่มีเคยมีการสำรวจ
  • ขนาดไลโคปีนที่ปลอดภัย : การได้รับไลโคปีนตั้งแต่วันละ 2-75 มก. เป็นเวลา 1-6 เดือน ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความปลอดภัย แต่ก็ไม่ควรรับประทานเกินจากปริมาณที่เราแนะนำหรือเกินจากที่ใช้ในงานวิจัย
  • อาหารเสริมไลโคปีน : มักมีปริมาณไลโคปีนตั้งแต่ 5-30 มก./เม็ด แบ่งเป็น อาหารเสริมไลโคปีนธรรมชาติกับไลโคปีนสังเคราะห์ จากการศึกษาพบว่าทั้ง 2 แบบสามารถดูดซึมได้ดีพอ ๆ กัน เพียงแต่แบบสังเคราะห์อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้มะเขือเทศ ส่วนคนทั่วไปจะเลือกแบบใดก็ได้เพราะให้ประโยชน์เหมือนกัน
  • ความปลอดภัย/ผลข้างเคียงของไลโคปีน : ไลโคปีนจากอาหารและอาหารเสริมนั้นโดยทั่วไปถือว่ามีความปลอดภัย แต่ในบางคนก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดอาการทางระบบทางเดินอาหารได้เล็กน้อย เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย และอาเจียน (98) และมีที่พบได้น้อยมากที่เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังหรือเกิดผื่น แม้ว่ารายงานการแพ้มะเขือเทศจะพบได้ยากมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นในผู้ที่แพ้ง่าย (อาการแพ้ เช่น ผื่น ลมพิษ คอบวม เกิดภูมิแพ้) (99) นอกจากนี้ การได้รับไลโคปีนมากเกินไปทั้งจากอาหารและอาหารเสริม อาจทำให้เกิดภาวะไลโคปีนในเลือดสูง (Lycopenemia) ได้ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังเปลี่ยนสี เป็นสีออกสีส้มหรือสีแดง แต่ก็ไม่เป็นอันตรายอย่างใดและจะหายไปเมื่อลดการบริโภคไลโคปีน โดยพบรายงานอาการนี้ในผู้หญิงที่บริโภคมะเขือเทศราชินีวันละ 20-30 ลูก (ให้ไลโคปีน 8.7-13 มก.), ดื่มน้ำมะเขือเทศทุกวัน (ให้ไลโคปีน 17 มก.) และรับประทานผักไม้ เช่น ฟักทอง แครอท บลูเบอร์รี่ และน้ำผักใบเขียว ทุกวันเป็นเวลา 2 เดือนก่อนผิวจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง (100)
  • ข้อห้ามในการใช้ไลโคปีน : ควรหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมไลโคปีน (ไม่รวมไลโคปีนจากอาหารปกติ) ในบุคคลต่อไปนี้
    • หญิงตั้งครรภ์/หญิงให้นมบุตร : เพราะยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในคนกลุ่มนี้ แม้บางการศึกษาจะพบว่ามีประโยชน์ต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ (101) แต่ก็มีบางรายงานที่แสดงให้เห็นถึงอันตราย อย่างการศึกษาขนาดเล็กที่พบว่าการเสริมไลโคปีนวันละ 2 มก. ในระหว่างการตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดหรือทารกมีน้ำหนักแรกเกิดต่ำ (102) อย่างไรก็ตาม ไลโคปีนจากอาหารถือว่ามีความปลอดภัยและให้ประโยชน์ เพราะการบริโภคมะเขือเทศจะช่วยเพิ่มความเข้มข้นของไลโคปีนในน้ำนมและในพลาสมาของผู้หญิงที่ให้นมบุตร (103)
    • ผู้ที่แพ้ไลโคปีน : ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมไลโคปีนและอาหารที่เป็นแหล่งของไลโคปีน โดยเฉพาะมะเขือเทศ
    • ผู้ที่ต้องเข้ารับการทำศัลยกรรม : เนื่องจากไลโคปีนอาจยับยั้งการแข็งตัวของเลือด เพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกระหว่างและหลังการผ่าตัด ในคนกลุ่มนี้จึงควรหยุดการเสริมไลโคปีนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
  • ปฏิกิริยากับยาอื่นของไลโคปีน :
    • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด : เช่น ยาแอสไพริน ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) และอื่น ๆ รวมถึงสมุนไพรและอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น กระเทียม ขิง แปะก๊วย นัตโตะไคเนส (Nattokinase) โสมเกาหลี (Panax ginseng) เนื่องจากไลโคปีนมีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดและเพิ่มฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยา (14, 104)
    • ผลิตภัณฑ์ที่มีแคลเซียม: เนื่องจากไลโคปีนจะลดการดูดซึมของแคลเซียมลง 84% ในการศึกษาหนึ่ง (80)

สรุปเรื่องไลโคปีน

  • ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ตั้งแต่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดความดันโลหิตสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน อาจดีต่อระบบประสาทและสมอง ดวงตา ช่องปาก และกระดูก นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิว และเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ในผู้ชายที่มีภาวะมีบุตรยาก
  • มะเขือเทศเป็นแหล่งที่ให้ไลโคปีนมากที่สุด
  • ทั้งอาหารและอาหารเสริมควรบริโภคร่วมกับอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึม
  • ประโยชน์ที่เกิดจากการบริโภคไลโคปีนในงานวิจัยส่วนใหญ่คือขนาด 4-25 มก./วัน
  • ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมไลโคปีน
งานวิจัยอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 01 ส.ค. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ