สาเหตุของฟันเหลือง
โดยปกติแล้วสีฟันของคนเราจะเป็นสีขาวมันวาว แต่บางคนจะมีฟันเหลือง คล้ำ หรือดำ ดูไม่สวยงาม ซึ่งอาจจะเป็นฟันเพียงบางซี่หรือเป็นทุก ๆ ซี่ก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันไม่ขาวก็มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน คือ
- การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีเป็นประจำ เช่น ชา กาแฟ เบียร์ ไวน์แดง โซดา น้ำผลไม้ ลูกอม ฯลฯ ร่วมกับการที่เราแปรงฟันไม่สะอาดพอ จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อยจนเห็นเป็นสีเหลือง เหลืองเข้ม สีน้ำตาล หรือสีดำติดตามซอกฟัน โปรดจำไว้ว่า “น้ำอะไรก็ตามที่ทำให้พรมของคุณเปื้อนเป็นคราบได้ มันก็สามารถทำให้ฟันของคุณเป็นคราบได้เช่นกัน”
- สีสันของอาหาร เป็นที่ทราบดีว่าเชอร์รี่เพียง 1 กำมือ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันกลับทำลายสุขภาพฟันของคุณได้ เพราะสีย้อมจำนวนมากที่ผสมในผลไม้อย่างเช่น เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ รวมไปถึงซอสถั่วเหลือง จะทิ้งคราบหลงเหลือไว้ที่ฟันได้
- การสูบบุหรี่เป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันไม่ขาวได้เช่นกัน
- เกิดจากฟันผุ ซึ่งมักจะทำให้ฟันมีสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำตาล โดยเฉพาะฟันด้านหน้าที่เรามองเห็นได้ชัดเจน
- เกิดจากฟันตาย ซึ่งหมายถึง อาการของฟันผุที่ผุมาก ๆ และทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน จนทำให้ฟันที่ผุนั้นลุกลามถึงโพรงประสาท (อาจเกิดขึ้นกับฟันที่ได้รับอุบัติเหตุหรือถูกกระแทกอย่างแรงจนเกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงฟันก็ได้) ส่งผลทำให้ไม่มีเลือดและประสาทฟันมาหล่อเลี้ยง ทำให้ฟันมีสีทึบไม่โปร่งเหมือนฟันปกติ
- กรรมพันธุ์และวัยของคุณ เนื้อฟันตามธรรมชาติของคุณจะขาวหรือเหลืองน้อยหรือมากก็ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วย เช่น คนผิวดำฟันจะขาว คนมีสีฟันที่ผิดปกติมาแต่กำเนิด รวมไปถึงคนที่มีอายุมากขึ้น โอกาสที่ฟันจะยังคงความขาวก็ยิ่งมีน้อยลง เนื่องจากเคลือบฟันบางลง ทำให้สีเหลืองของชั้นเนื้อฟันที่อยู่ข้างในปรากฏออกมาให้เห็นชัดมากขึ้น เป็นต้น
- โรคบางชนิดก็สามารถทำให้สีของฟันเปลี่ยนไปได้ รวมไปถึงการตั้งครรภ์ของคุณแม่ก็เป็นสาเหตุทำให้ฟันเหลืองได้เช่นกัน
- การได้รับยารักษาโรคหรือยาปฏิชีวนะบางชนิดมากเกินไปก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สีฟันเปลี่ยนได้ เช่น การรับประทานยาเตตราซัยคลิน โดยการรับประทานยาชนิดนี้จะส่งผลต่อสีของฟัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการก่อตัวหรือสร้างฟัน (ช่วงฟันน้ำนมของเด็กอายุ 3-9 เดือน และช่วงฟันแท้ของเด็กอายุ 3-12 ปี) ทำให้ฟันมีสีค่อนข้างเหลืองหรือเป็นสีเทาดำแทบทุกซี่ หรืออาจเกิดจากยาแก้แพ้บางชนิดที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสี เกิดจากการได้รับสารฟลูออไรด์มากจนเกินไป ซึ่งจะทำให้มีจุดสีน้ำตาลบนฟันที่เรียกว่า “ฟันตกกระ” เป็นต้น ดังนั้นเวลาคุณไปพบทันตแพทย์ คุณควรนำใบสั่งยาหรือยาที่คุณรับประทานอยู่ไปพบแพทย์เพื่อสอบถามด้วยว่า ยาชนิดนี้มีผลต่อสีฟันของคุณหรือไม่
- แปรงสีฟันที่ไม่มีคุณภาพ จะทำให้ประสิทธิภาพในการขจัดคราบสกปรกมีน้อยลง ส่งผลให้เกิดคราบตกค้างที่ผิวฟันและนำไปสู่การเกิดฟันเหลือง
- การจัดฟันอีกหนึ่งสาเหตุที่คาดไม่ถึง เนื่องจากจะมีอุปกรณ์ที่ยึดติดฟัน เช่น แร่เงิน มัลกัม ฯลฯ ซึ่งวัสดุเหล่านี้จะทำให้สีของฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้
วิธีทำให้ฟันขาว
- ดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด โดยคุณควรแปรงฟันอย่างถูกวิธี แปรงฟันหลังรับประทานอาหารทุกมื้อหรืออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) ครั้งละ 2 นาที หรืออาจเปลี่ยนจากแปรงสีฟันธรรมดาไปเป็นการใช้แปรงสีฟันไฟฟ้าเพื่อความสะอาดที่มากกว่า เพราะแปรงสีฟันไฟฟ้าจะทำความสะอาดได้ดีกว่า ใช้งานง่าย ออกแรงน้อยแต่ได้ลัพธ์ที่มากกว่า ทั้งในเรื่องของความสะอาดและการช่วยขจัดคราบพลัคซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดหินปูน และถ้าจะให้ดีที่สุดคุณอาจเลือกใช้เป็นแปรงสีฟันไฟฟ้าสำหรับฟันขาวอย่างแปรงสีฟันไฟฟ้า Oral-B รุ่น Vitality 3D White เพราะแปรงรุ่นนี้จะมาพร้อมกับหัวแปรง Whitening ที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากหัวแปรงจะมี Polishing Cup ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยขจัดคราบชากาแฟที่เกาะตามผิวฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ความรู้สึกสะอาดเหมือนกับไปพบหมอฟัน ซึ่งหากใครสนใจสามารถหาซื้อได้ตาม Boots และห้างสรรพสินค้าทั่วไป
- ใน 1 เซ็ทประกอบด้วย ด้ามแปรง, แท่นชาร์จ และหัวแปรง 3D White 1 หัว
- ใน 1 เซ็ทประกอบด้วย ด้ามแปรง, แท่นชาร์จ และหัวแปรง 3D White 1 หัว
- เลือกใช้ยาสีฟันสูตรทำให้ฟันขาวหรือยาสีฟันฟอกฟันขาว ยาสีฟันชนิดนี้จะมีราคาแพงกว่ายาสีฟันทั่วไป เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยทำให้ฟันขาวขึ้นได้ และยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ตกข้างได้ดีกว่ายี่ห้อทั่วไปอีกด้วย ยาสีฟันฟันขาว มีหลายยี่ห้อ เช่น ยาสีฟัน Glister ของแอมเวย์, Sparkle white, Close up white now, Colgate optic white ฯลฯ ยังไงก็ลองเลือกใช้ดูนะครับ
- ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรฟันขาว สำหรับคนที่ใช้น้ำยาบ้วนปากกันเป็นประจำอยู่แล้ว คุณอาจเปลี่ยนมาลองใช้น้ำยาบ้วนปากสูตร Whitening ที่ช่วยให้ฟันขาวยิ่งขึ้นได้ เช่น ออรัล-บี ทวีดี ไวท์ (Oral-B 3D WHITE) น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยขจัดคราบบนผิวฟันอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดคราบใหม่ โดยที่ไม่ทำลายเคลือบฟัน เนื่องจากไม่มีสาร Peroxide ช่วยเผยฟันขาวอย่างเป็นธรรมชาติได้ภายใน 7 วัน* มีรสชาติอ่อนโยน ใช้แล้วไม่แสบปาก เพราะไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ดื่มชา-กาแฟเป็นประจำ (ผลทดสอบทางคลินิคในผู้ทดสอบ 40 คน โดยบริษัท All Sum Research ประเทศแคนาดา เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2559)
- หาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป ได้แก่ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11, Tesco, Big-C, Tops, Boots, Watson หรือช่องทางออนไลน์ที่ Lazada และ Shopee ได้ง่าย ๆ
- หาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป ได้แก่ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11, Tesco, Big-C, Tops, Boots, Watson หรือช่องทางออนไลน์ที่ Lazada และ Shopee ได้ง่าย ๆ
- งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันเหลือง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ขนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ขาว ไวน์แดง โซดา ผงแกงกะหรี่ อาหารรสจัด รวมถึงอาหารที่มีรสหวานเกินไป เพราะน้ำตาลจะเปลี่ยนเป็นกรดจนทำให้เกิดฟันผุได้ และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ลดการรับประทานอาหารจุกจิก เพราะทุกครั้งที่รับประทานอาหารจะเกิดกรดขึ้นในช่องปากจนทำให้ฟันผุได้เช่นกัน แต่หากต้องรับประทานอาหารจำพวกนี้ เมื่อรับประทานเสร็จก็ให้รีบแปรงฟันโดยเร็วเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้เกิดคราบแน่นที่ฟัน
- หมั่นไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละครั้งสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาในช่องปาก (ส่วนผู้ที่มีปัญหาในช่องปากอาจจะพบบ่อยขึ้น) ถ้าฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย ในฟันหน้า ทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ ส่วนที่มีสีดำหรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เพียงเท่านี้ฟันของคุณก็จะกลับมาขาวสะอาดได้เหมือนเดิม
- ขูดหินปูน ทุก ๆ 6 เดือน การขูดหินปูนนอกจากจะช่วยขจัดหินปูนที่ติดอยู่บนชั้นเคลือบฟันแล้วยังช่วยขจัดคราบอาหารหรือเม็ดสีเข้มที่มาเกาะบนฟันได้ด้วย วิธีนี้อาจจะไม่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นมากนัก แต่ก็ช่วยให้ฟันขาวได้ในระดับหนึ่ง หรือขาวได้เท่าสีของเนื้อฟันธรรมชาติของเรา
- การขัดฟัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยขจัดคราบต่าง ๆ ที่เกาะอยู่บนฟันหลังจากการขูดหินปูน ฟันเหลืองที่เกิดจากคราบ เมื่อขัดแล้วคราบก็จะหายไป ทำให้ฟันดูขาวขึ้นเหมือนเดิม อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวฟันเรียบ ส่งผลให้คราบต่าง ๆ มาเกาะจับฟันได้ยากขึ้นอีกด้วย (การขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลงอย่างที่หลายคนเข้าใจ)
- การฟอกสีฟัน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไป โดยการฟอกสีฟันในปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ การฟอกสีฟันที่ทำโดยคลินิกหรือทันตแพทย์ (ใช้ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้ง ครั้งละประมาณ 30-60 นาที) และการฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถนำสารฟอกสีกลับมาทำเองได้ที่บ้าน (ฟอกฟันขาวด้วยตัวเอง) แต่การฟอกสีฟันนี้จะทำให้สารบางตัวที่มีอยู่ในเนื้อฟันถูกดึงออกมา เช่น แคลเซียมและแร่ธาตุบางตัว ทำให้สีธรรมชาติของฟันที่เป็นตัวเคลือบเนื้อฟันเพื่อป้องกันฟันผุและการเสียวฟันหายไป ยิ่งถ้าฟอกบ่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสฟันสึกหรือมีอาการเสียวฟันเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดฟันกร่อนได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย สำหรับวิธีนี้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าเพิ่งไปทำครับ เพราะมันไม่ได้ทำให้สีฟันของเรานั้นขาวถาวร เนื่องจากสีฟันจะกลับมาเป็นสีเดิมตามธรรมชาติภายใน 2 ปี และอาจเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ
- เลเซอร์ฟันขาว ราคาต่อครั้งค่อนข้างจะแพงอยู่นะครับ (คงเกือบหมื่นบาท) ทำแค่ครั้งเดียวประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เสร็จ วิธีนี้จะทำให้ฟันขาวขึ้นได้แน่นอนครับ แต่ไม่ได้ขาวขึ้นแบบขาวจั๊วะ (ขึ้นอยู่กับเนื้อฟันเดิมของเราด้วย) ถ้าอยากขาวขึ้นอีกก็ต้องทำซ้ำ
- เจลฟอกฟันขาว วิธีนี้ก็จะเห็นผลหลังจากใช้ไปแล้วประมาณ 1 อาทิตย์ ฟันจะค่อย ๆ ขาวขึ้น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจครับ สำหรับวิธีการใช้และรีวิวดูได้ในคลิปด้านล่างเลยครับ
- แผ่นฟอกฟันขาว หรือ แผ่นแปะฟันขาว ยี่ห้อ Crest Whitestrips (แบบเก่า) หรือ Crest 3D White Whitestrips (แบบใหม่) ใช้แค่ 2 กล่องก็ขาวแล้ว ในกล่องหนึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายซอง เมื่อฉีกซองออกมาก็จะได้แผ่นพลาสติกใส ๆ ที่มีแผ่นเจล 2 ชิ้นติดกัน แผ่นยาวสำหรับแปะฟันบน ส่วนแผ่นสั้นสำหรับแปะฟันล่าง
หรือจะลองดูวิธีใช้ในคลิปเลยก็ได้ครับ - น้ำยาบ้วนปากฟอกฟันขาว หรือ hydrogen peroxide (H2O2) สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มีอยู่ 2 ความเข้มข้นด้วยกัน คือ ความเข้มข้น 3% (ใช้บ้วนปากได้เลย) และความเข้มข้น 6% (ใช้ผสมกับน้ำบ้วนปากในอัตราส่วน 1 ต่อ 1) ให้ใช้ก่อนการแปรงฟัน ในช่วงแรก ๆ อาจจะไม่ค่อยเห็นผล หากใช้ไปประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะทำให้ฟันขาวขึ้นได้บ้าง อีกทั้งยังช่วยขจัดคราบหินปูนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่วิธีนี้ผมเองยังไม่ขอแนะนำนะครับ เพราะมันอาจเกิดอันตรายได้ และควรทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญครับ
- การเคลือบฟัน หรือ การทำเคลือบผิวฟันเทียม หรือ การทำฉาบฟัน (Veneer) วิธีนี้จะเหมาะกับฟันที่มีสีค่อนข้างเข้มคล้ำ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในกรณีที่ฟอกสีฟันแล้วไม่ได้ผล แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มักนอนกัดฟันหรือชอบใช้ฟันหน้ากัดอาหารแข็ง หลักการของวิธีนี้ก็คือการใช้วัสดุเฉพาะที่มีสีเหมือนฟันมายึดติดหรือปิดทับถาวรที่ผิวฟัน (สามารถเลือกโทนสีขาวได้ตามต้องการ) โดยทันตแพทย์จะกรอผิวเนื้อฟันบริเวณด้านหน้าออกพอสมควรประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตร เพื่อทำการปิดทับด้วยวัสดุข้างต้น ซึ่งวัสดุที่ใช้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบใช้วัสดุคอมโพสิตเรซิน (Composite resin) ที่นำมาเคลือบผิวฟัน ทำเสร็จภายในครั้งเดียว มีราคาถูกกว่า แต่ไม่ค่อยสวยงามและแข็งแรงนัก และแบบใช้วัสดุชนิดเซรามิก (Ceramic) ที่ทำจากแล็บ ซึ่งจะมีความแข็งแรงกว่า ให้สีที่สวยใกล้เคียงกับสีเนื้อฟันจริงมากกว่า แต่มีราคาที่สูงกว่าแบบแรก โดยวิธีนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขสีฟันได้แล้ว ยังช่วยแก้ไขรูปร่างของฟันและแก้ฟันห่างได้ในคราวเดียวกันอีกด้วย
- การครอบฟัน (Dental Crowns) วิธีนี้ทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันออกทั้งซี่ให้เหลือเป็นแกน แล้วทำฟันปลอมมาครอบทับลงไปติดแน่นโดยใช้ซีเมนต์ทันตกรรม จึงทำให้ฟันที่ดำหรือแตกบิ่น สามารถทำครอบที่มีสีและรูปร่างให้สวยงามได้ จึงถือเป็นการเปลี่ยนสีฟันได้อย่างถาวร แต่ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการฟอกสีฟันและการทำเคลือบฟัน
- มะนาวผสมเบกกิ้งโซดา (หรือจะใช้เลมอนแทนมะนาวก็ได้ครับ) โดยให้ใช้ เบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาเทลงในจานกระเบื้องหรือจานพลาสติก แล้วบีบมะนาวลงไปครึ่งลูก ใช้แปรงสีฟันกวนส่วนผสมให้เข้ากันจนเกิดฟองและได้เป็นเนื้อเดียวกัน (ความหนืดประมาณโยเกิร์ต) แล้วนำมาใช้แปรงฟันประมาณ 2-3 นาที เสร็จแล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด หรือจะดูวิธีใช้ในคลิปด้านล่างก็ได้ครับ สำหรับการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำมะนาวแล้วนำมาขัดฟันเพื่อให้ฟันขาวนั้น แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยทำให้ฟันขาวขึ้นทันทีหลังการใช้ แต่ก็เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้ เนื่องจากน้ำมะนาวนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด จะกัดกร่อนฟัน ทำให้เคลือบฟันบาง นำมาซึ่งปัญหาการเสียวฟันและทำให้ฟันผุได้ง่ายขึ้น อีกทั้งความเป็นกรดของมะนาว ยังทำให้เกิดอาการระคายเคืองเหงือกได้อีกด้วย ส่วนเบกกิ้งโซดาหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตนั้นจะมีฤทธิ์เป็นด่าง แม้ว่าจะช่วยขจัดคราบบนผิวฟันได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลกับสีฟันที่ผิดปกติที่อยู่ในเนื้อฟันได้ และเมื่อนำมาผสมกับน้ำมะนาวก็จะมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนเนื้อฟันและผิวฟันมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากใช้โดยไม่ระมัดระวังหรือไม่มีการควบคุมปริมาณให้เหมาะสมแล้วก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อความแข็งแรงของฟัน หรืออาจทำให้เซลล์บริเวณนั้นมีการต่อต้านจนเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ และอาจมีโอกาสเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นเซลล์ตั้งต้นของเซลล์มะเร็งได้ (ผู้มีปัญหาเหงือกอักเสบหรือมีอาการเสียวฟันไม่ควรใช้) (ข้อมูลจากทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย)
- สตรอว์เบอร์รี่ผสมเบกกิ้งโซดา รู้หรือไม่ว่าสตรอว์เบอร์รี่นั้นมีสารที่ช่วยเสริมฟันขาวโดยธรรมชาติได้ วิธีนี้ให้นำสตรอว์เบอร์รี่บด 1 ผล นำมาผสมกับเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาใช้แทนยาสีฟันใช้แปรงฟันจนเสร็จ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นบ้วนน้ำออก เพียงเท่านี้ฟันของคุณก็ดูขาวขึ้นแบบธรรมชาติ (แต่วิธีนี้ไม่ควรทำเกินอาทิตย์ละครั้ง เพราะในสตรอว์เบอร์รี่นั้นมีกรด Malic ที่อาจไปทำลายเคลือบฟันได้)
- ใช้เบกกิ้งโซดาหรือผงฟูเพียว ๆ ก็ได้นะ เพียงแค่คุณนำแปรงสีฟันมาแตะกับเบกกิ้งโซดาแล้วค่อยบีบยาสีฟันตามลงไป หรือใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับยาสีฟันให้เข้ากันตามภาพ ใช้แปรงฟันตามปกติแล้วล้างออก หรืออีกวิธีให้นำเบกกิ้งโซดามาผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้แปรงฟันประมาณ 2-3 นาที แล้วบ้วนออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ฟันขาวขึ้นได้เช่นกัน แต่การใช้เบกกิ้งโซดาเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ฟันกร่อนได้ อีกทั้งยังทำให้วัสดุยึดอุปกรณ์ดัดฟันเกิดการอ่อนตัวและอาจทำให้เหล็กดัดฟันหลุดได้
- ผลไม้เหล่านี้ก็ช่วยฟอกฟันให้ขาวได้นะเออ ! ผลไม้ชนิดแรก คือ มะนาว ให้คุณเลือกใช้น้ำมะนาวหรือเปลือกมะนาวนำมาถูฟัน (หากใช้น้ำมะนาวให้นำมาผสมกับน้ำเปล่าในสัดส่วนที่เท่ากันก่อนนำมาใช้) แต่ก็อย่าทำเกินอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพราะมันอาจทำให้ฟันของคุณผุได้, แคร์รอต ให้นำแคร์รอตดิบ ๆ มาถูฟัน หรือนำมารับประทานเลยก็ได้, สตรอว์เบอร์รี่ ให้ใช้สตรอว์เบอร์รี่ประมาณ 1-2 ลูก นำมาบดแล้วนำมาทาฟันทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วให้บ้วนปากหรือแปรงทิ้ง เป็นอันเสร็จ, เปลือกกล้วย เพียงแค่คุณนำเปลือกกล้วยมาถูฟันเป็นประจำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 2 นาที ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วแปรงฟันตามปกติ
- เคี้ยวแอปเปิ้ลหรือแคร์รอตก็เวิร์กนะ เพราะเมื่อเรานำมาเคี้ยวรับประทาน ความกรอบของผักผลไม้เหล่านี้ก็จะทำหน้าที่เหมือนการแปรงฟันแบบธรรมชาติ อีกทั้งแอปเปิ้ลและแคร์รอตยังช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งเป็นเหมือนน้ำยาทำความสะอาด จึงช่วยขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่บนเคลือบฟันเป็นเวลานานได้ เมื่อรับประทานเสร็จแล้วก็อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไป เพื่อเป็นการลดคราบน้ำตาลที่มีผลต่อสุขภาพฟันด้วย
- แปรงฟันหลังการว่ายน้ำ คุณรู้หรือไม่ว่าคลอรีนในน้ำนั้นเป็นตัวกัดกร่อนสารเคลือบฟัน หากคุณจะว่ายน้ำนอกจากจะต้องเตรียมผ้าเช็ดตัวแล้วก็ควรพกแปรงสีฟันไปด้วย และให้แปรงฟันหลังจากว่ายน้ำ และใช้ฟลูออไรด์บ้วนปากทันทีหลังจากว่ายน้ำเป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง
- เลือกเคี้ยวหมากฝรั่ง ก็ช่วยเพิ่มความขาวให้กับฟันได้ เพราะในขณะที่คุณเคี้ยวหมากฝรั่ง ร่างกายก็จะผลิตน้ำลายมาช่วยในการย่อยมากขึ้น ซึ่งกรดจากน้ำลายนั้นก็จะมาช่วยทำความสะอาดฟันของคุณไปในตัว อีกทั้งยังช่วยต่อสู้กับแบคทีเรียในช่องปากได้อีกด้วย
- เลือกใช้หลอดดูดเครื่องดื่มที่มีสี เช่น ชา กาแฟ หรือไวน์ เพื่อให้ผ่านฟันน้อยที่สุด เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะเป็นตัวการทำให้สีฟันของคุณหม่นหมองได้ แล้วให้บ้วนปากตามหลายครั้ง ๆ หรือแปรงฟันได้ยิ่งดี ก็จะทำให้คราบสีเหลืองไม่มาสะสมบนผิวฟันแล้ว
- ลิปสติกสีแดงสด เมคอัพของคุณผู้หญิงที่จะช่วยทำให้ฟันดูขาวสว่างขึ้นเพียงไม่ถึงนาที ! โดยให้เลือกใช้ลิปสติกสีแดงสด สีแดงเชอร์รี่ หรือสีแดงไวน์ และให้หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกสีเนื้อเพราะจะทำให้สีฟันของคุณดูหมองลงกว่าเดิม และหลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกสีโทนส้ม เหลือง หรือน้ำตาล เพราะจะยิ่งทำให้สีฟันที่เหลืองอยู่แล้วกลับมาเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
- การจูบแบบดูดดื่มและใช้ลิ้นร่วมรัวก็ช่วยได้ ! เพราะการจูบจะเป็นการเพิ่มจำนวนน้ำลายที่อยู่ในปาก ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดฟัน ลดการเกิดแบคทีเรียหรือคราบพลัคที่ผิวฟัน จึงช่วยทำให้ฟันสะอาดขึ้น ป้องกันฟันผุ และยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเหงือกอักเสบได้อีกด้วย
- ชีสช่วยได้ การรับประทานชีสชิ้นเล็ก ๆ หลังอาหารสามารถช่วยป้องกันฟันผุและเสริมแร่ธาตุให้เคลือบฟันได้ เพราะชั้นเคลือบฟันเป็นส่วนที่ทำให้ฟันขาว
- สมุนไพรบางชนิดก็สามารถช่วยทำให้ฟันขาวได้เช่นกัน เช่น ผลหมาก (Areca catechu L.), ใบแจง (Maerua siamensis Pax) เป็นต้น
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)