เบคกิ้งโซดา (Baking Soda) ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา 63 ข้อ !

เบคกิ้งโซดา (Baking Soda) ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา 63 ข้อ !

โซเดียมไบคาร์บอเนต

โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาวที่ละลายน้ำได้ดี มีความเป็นด่าง เมื่อทำปฏิกิริยากับส่วนผสมที่เป็นกรดในส่วนผสมของเหลวก็จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จนทำให้เกิดฟองก๊าซ

หลายคนที่สับสนว่าโซเดียมไบคาร์บอเนตกับโซเดียมคาร์บอเนตมันเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร มาลองทำความเข้าใจกันครับ

  • โซเดียมคาร์บอเนต (Sodium carbonate) มีสูตรโครงสร้างทางเคมี คือ Na2CO3 และมีชื่อเรียกอื่นว่า โซดาซักผ้า (Washing Soda), โซดาแอช (Soda Ash), โซดาคาร์บอเนต เป็นต้น

โซเดียมคาร์บอเนต

  • โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) มีสูตรโครงสร้างทางเคมี คือ NaHCO3 และมีชื่อเรียกอื่นว่า เบกกิ้งโซดา (Baking Soda), โซเดียมไฮโดรเจนไบคาร์บอเนต (Sodium hydrogen carbonate), โซเดียมแอซิดคาร์บอเนต, ไบคาร์บอเนตออฟโซดา เป็นต้น

โซเดียมไบคาร์บอเนต

ข้อแตกต่าง : โซเดียมคาร์บอเนตและโซเดียมไบคาร์บอเนตจะมีความเป็นด่างสูง แต่โซเดียมไบคาร์บอเนตจะมีความเป็นกรดมากกว่าโซเดียมคาร์บอเนต

เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) มีชื่อทางเคมีคือ “โซเดียมไบคาร์บอเนต” (Sodium bicarbonate) สารนี้จะสลายตัวได้เมื่อได้รับความร้อน มีค่าเป็นด่าง และมีข้อเสียคือจะมีสารตกค้าง ถ้าใช้มากเกินไปจะทำให้เกิดรสเฝื่อนได้ แต่สามารถแก้ไขได้โดยเติมกรดลงไปในสูตรขนมอาหารลงไปเพื่อทำให้สารตกค้างหมดไปได้ ตัวอย่างเช่น การเติมนมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต เป็นต้น

เบกกิ้งโซดารูปแบบนี้เราจะนิยมนำมาใช้กับขนมที่มีโกโก้หรือกาแฟเป็นส่วนผสม เพราะทั้งโกโก้และกาแฟต่างก็มีค่าเป็นด่าง และเบกกิ้งโซดาก็มีค่าเป็นด่าง จึงทำให้เข้ากันได้ดี

เบคกิ้งโซดา

Sodium bicarbonate

ผงฟู

ผงฟู หรือ เบกกิ้งพาวเดอร์ (Baking Powder) คือ สารเคมีแห้งที่ช่วยทำให้ขนมขึ้นฟู โดยมีส่วนประกอบ คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) เป็นส่วนประกอบสำคัญ + สารที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น ครีมทาร์ทาร์ (Cream of tartar) ซึ่งเป็นผลึกผงสีขาวที่ทำมาจากรดในผลองุ่น), ไดโซเดียมไพโรฟอสเฟต (Disodium pyrophosphate) หรือสารเจือปนในอาหารที่ให้ความเป็นกรด) + แป้งข้าวโพด (Corn starch) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้สารทั้งสองสัมผัสกันโดยตรง

ทั้งนี้เป็นเพราะโซเดียมไบคาร์บอเนตนั้นมีความเป็นด่างสูง จึงต้องผสมกับสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดเพื่อช่วยคงความเป็นกลางไว้ไม่ให้มันทำปฏิกิริยากัน เมื่อใส่ผงฟูในน้ำก็จะทำให้เกิดฟองก๊าซ (เพราะมีกรดที่พร้อมทำปฏิกิริยาอยู่แล้ว)

โดยผงฟูจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

  1. ผงฟูที่ให้ปฏิกิริยารวดเร็ว หรือผงฟูกำลังหนึ่ง (Single-acting) เมื่อโดนน้ำแล้วจะเกิดปฏิกิริยาทันที (ผลิตฟองก๊าซอย่างรวดเร็วในระหว่างที่ผลิตภัณฑ์รอการเข้าอบ) ดังนั้น การใช้ผงฟูชนิดนี้จึงต้องผสมส่วนผสมอย่างรวดเร็วและนำเข้าอบทันทีที่ผสมเสร็จ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการสูญเสียฟองก๊าซที่จะเกิดขึ้นและผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจะขึ้นฟูไม่ดี
  2. ผงฟูที่ใช้ปฏิกิริยาช้า หรือผงฟูกำลังสอง (Double-acting) จะประกอบไปด้วยสองส่วน คือ ส่วนที่เกิดปฏิกิริยาช้าและเร็ว (เกิดฟองก๊าซทั้งตอนผสมกับน้ำหรือของแหลว และตอนที่ได้รับความร้อนจากเตาอบ) โดยมากผู้ประกอบการจะนิยมใช้ตัวนี้ เพราะไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเหมือนแบบผงฟูที่ให้ปฏิกิริยารวดเร็ว

ผงฟูนั้นเรามักจะนำมาใช้ในการทำขนมเป็นส่วนใหญ่ เพราะผงฟูจะช่วยทำให้ขนมขึ้นฟูได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณพอควร ขนมจำพวกวาฟเฟิล มัฟฟิน และแพนเค้ก โดยทั่วไปแล้วผงฟูประมาณ 1-1 ¼ ช้อนชา สามารถทำให้ขนมขึ้นฟู โดยใช้แป้ง 1 ถ้วยตวง ของเหลว 1 ถ้วยตวง และไข่ไก่ 1 ฟอง แต่อย่างไรก็ตามการเติมผงฟูมากจนเกินไปจะทำให้ดูฟุ่มเฟือยและทำให้ขนมเสียรสชาติได้

ผงฟู

ผงฟูกับเบกกิ้งโซดาต่างกันยังไง

  • เบกกิ้งโซดา คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate)
  • ผงฟู คือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) + สารที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น Cream of tartar, Disodium pyrophosphate) + แป้งข้าวโพด (Corn starch)

สรุป ทั้งเบกกิ้งโซดา (Baking Soda) และผงฟู (Baking Powder) ต่างก็เป็นสารที่ช่วยทำให้ขนมขึ้นฟูได้ แต่โดยมากแล้วจะนำมาใช้ในโอกาศที่แตกต่างกัน โดยผงฟูนั้นสามารถนำมาใช้แทนเบกกิ้งโซดาได้ในบางกรณี* แต่เบกกิ้งโซดาเพียงเดี่ยว ๆ จะไม่สามารถนำมาใช้แทนผงฟูได้เลย เพราะต้องเพิ่มสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดและแป้งข้าวโพดเข้าไปด้วย

หมายเหตุ : ผงฟูจะมีปริมาณที่จะเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่าเบกกิ้งโซดา 4 เท่า พูดง่าย ๆ ก็คือ เบกกิ้งโซดาเพียว ๆ จะมีความเข้มข้นมากกว่าผงฟูประมาณ 4 เท่าครับ ถ้าจะใช้ผงฟูแทนเบกกิ้งโซดาก็กะใช้ในขนาดที่เหมาะสมด้วยครับ

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซดา

  1. หากมีอาการเจ็บคอ ให้ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้วคอทุก ๆ 4 ชั่วโมง ก็จะช่วยลดอาการเจ็บคอที่เกิดจากกรดได้
  2. ใช้รักษาแผลในช่องปาก ให้ใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาผสมลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้วคอทุก ๆ 4 ชั่วโมง
  3. ช่วยทำให้เรอ ด้วยการใช้ผงฟูนำมาผสมกับน้ำดื่ม จะช่วยทำให้เรอและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้
  4. โซเดียมไบคาร์บอเนตสามารถนำมารับประทานเพื่อช่วยในการลดกรดในกระเพาะอาหารได้
  5. โซเดียมไบคาร์บอเนตในรูปแบบของยาเม็ด (Sodium bicarbonate tablet) หรือ โซดามินท์ (Sodamint) จะมีสรรพคุณเป็นยาลดกรด ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ภาวะอาหารไม่ย่อย รักษาภาวะกรดจากกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic acidosis) ช่วยปรับปัสสาวะให้มีสภาวะเป็นด่าง (Urinary alkalinization) ใช้ควบคุมสภาวะความเป็นกรดในเลือดของผู้ป่วยโรคไต เป็นต้น (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ โซเดียมไบคาร์บอเนต / โซดามิ้นท์ (Sodamint) สรรพคุณ วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฯลฯ)
  1. ช่วยบรรเทาอาการของลมพิษ ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดานำมาผสมกับน้ำ 2-3 หยด (พอให้ได้เป็นแป้งเปียก) แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นผื่นเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและแก้อาการคัน
  2. หากถูกแมลงกัดต่อย ก็ให้ใช้เบกกิ้งโวดาผสมกับน้ำ แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น ก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
  3. ใช้บรรเทาอาการผิวไหม้แดด ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบ แล้วนำมาอาบก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้
  4. หากเป็นฮ่องกงฟุต (อาการคันตามง่ามเท้าเพราะติดเชื้อรา) ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำให้พอเหนียว แล้วนำมาทาที่เท้า หลังจากนั้นให้ล้างเท้าและเช็ดให้แห้ง แล้วปิดท้ายด้วยการนำแป้งข้าวโพดมาทาบริเวณที่คันอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดอาการคันและอาการแสบร้อนตามง่ามนิ้วเท้าได้
  5. ช่วยทำให้ผิวเนียนใส ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำข้าวโอ๊ต นมสด และน้ำผึ้งนำมาขัดเบา ๆ เพื่อผิวที่สะอาดใสขึ้น (จะขัดส่วนไหน ส่วนนั้นต้องเปียกน้ำก่อน ส่วนไหนบอบบางก็ให้ขัดเบา ๆ และให้ทำเป็นประจำนะครับ แต่ไม่ต้องถึงขนาดต้องทำทุกวันนะครับ))
  6. ใช้ทำสครับขัดหน้าได้ดี สูตรแรกให้ใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ, และน้ำสด 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมรวมกันใช้ขัดผิวหน้าเบา ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าเย็น ๆ จะช่วยทำให้หน้าใสได้ ส่วนสูตรที่ 2 ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน ผสมกับน้ำเปล่า 1 ส่วน โดยผสมกันให้ได้เปียก ๆ แล้วนำมาขัดผิวหน้าเบา ๆ จนสะอาด
  7. ใช้ทำสครับขัดผิว ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือ 1/2 ถ้วย, น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ, และมะนาว 1 ลูก แล้วนำมาผสมกัน ใช้ขัดผิวในระหว่างอาบน้ำ
  8. ใช้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้สดใสมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน และน้ำ 1 ส่วน นำมาผสมกันใช้เช็ดถูบริเวณที่ต้องการ แล้วค่อยล้างออก
  9. มีบางท่านใช้เบกกิ้งโซดาเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน โดยใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วเอามาขัดเบา ๆ ที่จมูกไปเรื่อย ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำให้สิวเสี้ยนจางลงได้
  10. ใช้ทำน้ำยาระงับกลิ่นปาก สูตรแรกให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วนำมาใช้บ้วนปากจะช่วยดับกลิ่นปากได้ ส่วนสูตรที่สองให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมในน้ำ 1 แก้ว จะช่วยดับกลิ่นกระเทียมได้ แต่ถ้าใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 แก้ว และผสมกับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะก็ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้เช่นกัน
  11. ช่วยทำให้ฟันขาว ขจัดคราบชาหรือกาแฟ ลดหินปูนbaking soda ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชาผสมกับน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา แล้วใช้แปรงสีฟันจุ่มลงไป นำมาใช้ขัดฟันเบา ๆ แล้วบ้วนน้ำเปล่าจนสะอาด จะช่วยกำจัดคราบชาหรือกาแฟได้ครับ แต่ห้ามทำเวลาป่วยนะครับ เนื่องจากมะนาวมีความเป็นกรดสูงอาจไปทำลายเคลือบฟันได้
  12. ใช้ทำสปาเท้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์, และน้ำอุ่นใส่ในกะละมังสำหรับแช่เท้า เมื่อแช่เท้าแล้วจะทำให้รู้สึกสบายเท้า ช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า และความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้อีกด้วย
  13. ช่วยทำให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาประมาณหนึ่งหยิบมือผสมลงในชามน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ในนั้นประมาณสองสามนาที ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด จะช่วยให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้นได้
  14. ใช้ทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการผสมเบกกิ้งโซดาหนึ่งช้อนชาเข้ากับแชมพูสระผมตามที่คุณใช้ปกติ เพื่อช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม (วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษกับผมเส้นเล็ก)
  15. ลองเปลี่ยนจากแชมพูมาใช้เบกกิ้งโซดาแทนดูสักครั้ง รับรองเลยว่าจะช่วยทำให้รังแคของคุณน้อลงอย่างทันตาเห็น
  16. ใช้หมักเนื้อหมูให้นุ่ม ให้ใส่เบกกิ้งโซดาเพียงเล็กน้อย (ใส่มากเกินไปจะมีกลิ่นของสารเคมี) แล้วหมักหมูก็จะทำให้เนื้อนุ่มได้
  17. ถ้าอยากได้ไข่เจียวฟูหอมอร่อยน่ารับประทาน ก็ให้ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปครึ่งช้อนต่อไข่ 3 ฟอง ก็จะได้ไข่เจียวที่ฟูน่ารับประทาน
  18. การทำขนมปังให้ฟูน่ารับประทาน จะนิยมใช้ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตมาใช้ในการทำขนมปังแทนการใช้ยีสต์ เพราะเมื่อผงฟูผสมกับน้ำก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่นเดียวกับการใช้ยีสต์ แต่ผลเสียของผงฟูก็คือ หากใส่มากเกินไปก็จะทำให้มีรสเฝื่อนขม และการฟูของขนมปังก็จะหยาบกว่าการใช้ยีสต์ แต่มีข่อดีก็คือ ใช้ได้ง่ายกว่าและเก็บรักษาไว้ได้นานกว่า
  19. เค้กกล้วยหอมถ้าจะทำให้ฟูนุ่มน่ารับประทาน ก็ต้องใช้เบกกิ้งโซดาเป็นส่วนผสม
  20. ใช้ดับไฟในกระทะ ในกรณีที่มีน้ำมันกระเด็นติดไฟในขณะทำอาหาร หรือว่าไฟติดกระทะ หากเราใช้น้ำเทลงไปบนน้ำมันที่ร้อน ๆ จะทำให้ไฟลุกมากยิ่งขึ้น (เนื่องจากน้ำมันกระจาย) แต่ถ้าเราใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปตรง ๆ เบกกิ้งโซดาเมื่อถูกความร้อนก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงช่วยทำให้ไฟลดน้อยลงได้
  21. ใช้ทำความสะอาดผักและผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย (รอให้ส่วนผสมเย็น) แล้วนำมาใช้ล้างผักผลไม้ โดยนำมาแช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ผักผลไม้ดูสะอาดน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
  22. ใช้ทำเป็นน้ำยาล้างสารพิษจากผักผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 10 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีก 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษตกค้างจากผักได้ถึง 90% (หากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากจนเกินไปก็อาจทะให้ท้องเสียได้)
  23. ใช้ทำเป็นน้ำยาขจัดคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ ด้วยการเติมน้ำลงในกาน้ำชา แล้วเติมเบกกิ้งโซดาตามลงไป 2 ช้อนโต๊ะ และให้บีบน้ำมะนาวลงไปอีกครึ่งลูก แล้วนำไปต้มประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วนำมาขัดและล้างให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง
  24. ใช้ล้างจานก็ได้ เพราะผงฟูสามารถขจัดกลิ่นและคราบมันได้ดี ด้วยการใช้ผงฟูเทแล้วใช้ฟองน้ำขัดล้าง หรือจะผสมผงฟูกับน้ำแล้วเอาฟองน้ำจุ่มล้างจานก็ได้
  25. ใช้ทำน้ำยาทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่นอีก 1 ลิตร แล้วนำมาผ้ามาชุบแล้วเช็ดทำความสะอาดภายในเตาไมโครเวฟ คราบสกปรกก็จะเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย
  26. ช่วยขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่อของอ่างล้างจาน (หากปล่อยไว้นานจะทำให้ท่ออุดตันได้) ก็ให้ใช้เกลือแกงใส่ลงไปในท่อประมาณ 2-3 ช้อน จากนั้นให้นำเบกกิ้งโซดาไปต้มกับน้ำให้เดือดแล้วเทลงไปในท่อ ไขมันที่อุดตันอยู่ก็จะหลุดออกมาหมด
  27. ใช้ทำความสะอาดเขียง ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วนำมาใช้ทำความสะอาดเขียง วิธีนี้จะช่วยขัดกลิ่นคาวบนเขียงได้
  28. ใช้ขจัดรอยไหม้ตามกระทะหรือหม้อ ด้วยการเอาเครื่องครัวเหล่านั้นนั้นมาแช่ด้วยน้ำอุ่นที่ผสมเบกกิ้งโซดาประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออก วิธีนี้จะช่วยทำให้รอยไหม้จางลงได้
  1. ใช้แก้ปัญหาท่ออุดตันด้วยคราบไขมันในอ่างล้างจาน ด้วยการใช้เกลือนำมาโรยรอบ ๆ ขอบท่อ จากนั้นให้นำน้ำยาเบกกิ้งโซดา 10 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำร้อน 1 ขวดลิตร แล้วค่อย ๆ ลงไป เกลือและน้ำยาจะช่วยทำให้คราบไขมันหลุดออกได้โดยง่าย และให้ทำซ้ำอีกประมาณ 2-3 รอบ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งหนึ่ง
  2. ใช้ทำเป็นครีมลบรอยขูดขีดบนเครื่องครัว ด้วยการละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ลิตร แล้วทำความสะอาดเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส โครเมียม พลาสติก ฟอร์ไมก้า (ยกเว้นอะลูมิเนียม) จะทำให้ริ้วรอยเลือนหายไป
  3. ใช้เช็ดทำความสะอาดเตารีด ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาแล้วบิดให้พอหมาด หลังจากนั้นนำไปเช็ดใต้เตารีดหรือเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส หรือโครเมียม จะช่วยทำความสะอาดได้หมดจดและไม่เกิดไม่เกิดรอยขูดขีด
  4. ใช้ทำความสะอาดเครื่องปิ้งขนมปัง ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดาโรยบนผ้าเปียก แล้วเอามาเช็ดตรงตะแกรง ก็จะช่วยทำให้เครื่องปิ้งขนมปังของคุณกลีบมาสะอาดได้เหมือนเดิม
  5. ผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงนำมาใช้ในการขัดถูได้ดี อีกทั้งยังช่วยดูดกลิ่นเหม็น ความชื้น ฆ่าเชื้อโรค ปรับค่าความเป็นกรดด่าง และไม่กัดกร่อนผิวภาชนะ จึงสามารถนำมาใช้ทำบ้านเรือนได้อย่างดี เช่น ใช้ทำ
  6. ความสะอาดหน้าต่างก็ให้ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่างด้วยฟองน้ำเปียก ๆ ก่อนแล้วโรยด้วยผงฟูเล็กน้อย แล้วล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดให้แห้ง ถ้าใช้ล้างหน้าต่างบานเกล็ดก็ให้ใช้น้ำอุ่นที่ผสมกับผงฟู 3/4 ถ้วยตวง ราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วใช้แปรงขัดออก ถ้าใช้ล้างหน้าต่างอลูมิเนียม ก็ให้ใช้แปรงเปียก ๆ จิ้มลงในผงฟูแล้วเอามาขัดออก และใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม ๆ ล้างให้สะอาด หรือถ้าใช้ทำความสะอาดงานไม้ ฝาหนัง หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ก็ได้เช่นกัน (ใช้ผงฟูผสมกับน้ำส้มสายชูและน้ำอุ่น) ถ้ามีรอยด่างเป็นวงหรือรอยจุกบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมกับยาสีฟันและผงฟูอย่างละเท่ากัน แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ดออกอย่างเบา ๆ และยังใช้ในผลิตภัณฑ์ขัดเงาได้อีกด้วยหากจำเป็น นอกจากนี้ยังใช้ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้ได้อีกด้วย ด้วยการใช้ผงฟูกับผ้าขี้ริ้วหมาด ๆ แล้วเช็ดออก แต่จงจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก
  7. ใช้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีคราบสกปรก (สำหรับพื้นผิวแข็ง ๆ เช่น พื้นครัว พื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ) ให้ละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาด แล้วค่อยล้างออกอีกครั้งหนึ่ง
  8. ในกรณีที่มีคราบสกปรกที่ทำความสะอาดได้ยาก ก็ให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากันจนข้นเป็นแป้ง แล้วนำมาพอกทิ้งไว้บริเวณที่คราบสกปรกประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วค่อยเช็ดออก หรือจะใช้ฟองน้ำเปียก ๆ เช็ดผงฟูเพื่อใช้เช็ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนัง ดินสอ ปากกามาร์คเกอร์ รวมทั้งคราบน้ำมันได้ด้วย โดยให้เช็ดถูเบา ๆ แต่ถ้าเป็นคราบน้ำหมักที่ติดบนเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูข้น ๆ ป้ายบริเวณรอยหมึกทิ้งไว้จนแห้งสักครู่ก่อนจะเช็ดออก แล้วใช้ผงฟูใหม่ ๆ ขัดออกอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าใช้เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูผสมกับน้ำเปียก ๆ ข้น ๆ แล้วนำมาเช็ดถูบริเวณที่เป็นรอย
  9. ใช้ทำความสะอาดคราบที่เกิดจากกรด (กรดจากแบตเตอรี่ ปัสสาวะ หรือคาบอาเจียน) อย่างแรกให้ทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำเย็นซะออกแรง ๆ โดยทันทีถ้าเป็นไปได้ จากนั้นจึงทำให้เกิดสภาพความเป็นกลางโดยใช้ผงฟู
  10. หากใช้ผงฟูสัก 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยคงสภาพความเป็นกรดและด่างได้ เพราะสภาพความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมจะช่วยทำให้แบคทีเรียแตกตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการตกค้างและการอุดตันได้
  11. ใช้ทำความสะอาดผนังที่มีคราบเขม่าควันดำ (ใช้เศษผ้าชื้น ๆ และผงฟูละลายเข้มข้น นำมาเช็ดถู) หรือใช้ทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่าง ๆ
  12. ใช้ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยการใช้แปรงสีฟันขนอ่อน ๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ช้อนโต๊ะที่ละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นให้ใช้กระดาษชำระเช็ดออก
  13. การใช้ผงฟูอย่างสม่ำเสมอยังช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุกร่อนได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะในบริเวณของฝาแทงค์ที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ผุกร่อนได้ง่าย
  14. เราสามารถใช้ผงฟูผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยให้เปียกข้น แล้วนำมาใช้อุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราวได้ เพราะถ้ามันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้าไปกับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว
  15. ใช้ทำน้ำยาดับกลิ่นพรม ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย นำมาผสมกับแป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปประมาณ 15 หยด จากนั้นนำมาใส่ขวดสเปรย์ใช้ก่อนนำมาใช้ฉีดบนพื้นพรมก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้า จะช่วยทำให้กลิ่นพรมสะอาดสดชื่นขึ้น หรืออีกวิธีให้โรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยดูดออกด้วยเครื่องดูดฝุ่น
  16. ใช้ทำความสะอาดพรม ด้วยการใช้ผงฟูผสมกับน้ำอุ่น 1 แกลลอน หรือจะนำมาซักในถุงน้ำก็ได้ แต่ถ้าจะทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มีคราบสกปรกโดยการแปรงด้วยมือ ก็ให้โรยผงฟูเล็กน้อยลงบนคราบ ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะเช็ดออกด้วยฟองน้ำหรือผ้าโดยเฉพาะ
  17. หากพรมเปื้อนคราบน้ำมัน ให้เทน้ำที่ผสมกับเบกกิ้งโซดาลงไปตรงบริเวณที่เป็นคราบ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง คราบก็จะจางลง หลังจากนั้นให้ใช้น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาเช็ดทำความสะอาดซ้ำอีกครึ่งหนึ่ง หรือถ้าใช้ขจัดคราบไวน์หรือคราบสกปรกมันบนพรม ก็ให้ใช้ผงฟูโรยบาง ๆ ทันทีที่มีรอยเปื้อน ทำซ้ำหรือค่อย ๆ เติมผงฟูใหม่อีกครั้งถ้าจำเป็น แล้วทิ้งไว้สักพักจนกว่าผงฟูจะดูดซับคราบสกปรก แล้วค่อยใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้หมด
  18. ใช้ทำเป็นน้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ ด้วยการเทเบกกิ้งโซดา 1/2 กล่อง ลงในถังน้ำหลังชักโครกทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงค่อยกดชักโครก จะช่วยทำให้ถังและชักโครกสะอาดและปราศจากกลิ่นได้
  19. หากรองเท้ามีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากการหมักหมมมานาน ให้นำเบกกิ้งโซดามาโรยในรองเท้า แล้วนำรองเท้าคู่นั้นมาใส่ในถุงพลาสติดรัดให้แน่น แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นประมาณ 1-2 คืน (-_-“) แล้วค่อยนำรองเท้าออกมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หลังจากนั้นนำรองเท้าไปสลัดผงเบกกิ้งโซดาออกให้หมดแล้วนำมาสวมใส่ได้เลย แต่ถ้ายังไม่นำมาสวมใส่ทันทีก็ให้ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อนจนกว่าจะนำมาสวมใส่ หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ขยำเป็นก้อน ๆ มาใส่ไว้ในรองเท้าอีกก็ได้ (หมึกของกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดกลิ่นและยังทำให้รองเท้าอยู่ทรงอีกด้วย)
  20. ช่วยแก้ปัญหากลิ่นในรถ และกลิ่นบุหรี่ในรถ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาโรยลงไปที่ก้นที่ใช้เขี่ยบุหรี่ในรถ เบกกิ้งโซดาจะช่วยดับกลิ่นได้ แต่ก็ต้องนำมันออกมาทำความสะอาดด้วยการเทขี้เถ้าทิ้ง แล้วให้โรยผงเบกกิ้งโซดาไว้ที่ถาดเสมอ ๆ
  21. ใช้ดับกลิ่นท่อและแก้ปัญหาท่อตัน ด้วยการเทเบกกิ้งโซดาลงไปในท่อประมาณ 1 ถ้วยก่อนแล้วให้ใส่เกลือแกงประมาณ 1/4 ถ้วยลงไป แล้วตามด้วยน้ำร้อน จะทำให้ท่อไม่ตันและปราศจากกลิ่น
  22. ใช้ดับกลิ่นอับในตู้เย็น ตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ หรือใช้ในโรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี กลิ่นสารระหาย กลิ่นน้ำยาต่าง ๆ ฯลฯ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาเปิดฝากล่องด้านบนออกให้หมดหรือเทใส่ถ้วย แล้วนำมาทิ้งไว้ด้านในสุดของตู้เย็น (เปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน) เบกกิ้งโซดาจะช่วยดูดกลิ่นอับในตู้เย็นได้ แต่ถ้าเป็นตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ ฯลฯ ก็ให้เทใส่จานหรือถาดหรือนำไปโปรยในบริเวณที่มีกลิ่นเหม็นอับ (ปิดห้อง ปิดตู้ให้สนิทด้วยละครับ) แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้มันดูดกลิ่นประมาณ 1-2 วัน
  23. ใช้กำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นหรือไม้กวาด ด้วยการนำไม้ถูพื้นมาแช่ในน้ำ 1 ถัง ที่ละลายกับผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกไปแล้ว หลังแช่เสร็จให้นำมาตากให้แห้ง
  24. ใช้ดับกลิ่นแมว ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปใน Litter box หรือห้องน้ำของแมว ก่อนที่จะใส่ Litter หลังจากนั้นทุกครั้งที่จะทำความสะอาด Litter box พอตักอึแมวไปแล้วก็ให้เอาเบกกิ้งโซดาโรยนิด ๆ ที่บ้านเพื่อเป็นการกลบกลิ่น
  25. ใช้ดับกลิ่นอับของเสื้อผ้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วยหรือประมาณ 8 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับผงซักฟอกชนิดน้ำในปริมาณที่จะใช้ แทนที่เราจะใช้สารฟอกขาวชนิดคลอไรด์ 1 ถ้วยเต็ม ๆ แต่เราสามารถใช้เบกกิ้งโซดาเพียงครึ่งถ้วยเพื่อใช้แทนได้ แต่ถึงเบกกิ้งโซดาจะใช้ซักเสื้อได้ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับผงซักฟอก เบกกิ้งโซดาจึงเป็นเพียงส่วนเสรมที่นำมาใช้ทำให้ผ้าสะอาดมากขึ้นเท่านั้น
  26. นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ภาชนะหรือกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่นเหม็นอับชื้นจากเชื้อรา ด้วยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่างมิดชิด หรือจะใช้โรยลงในโถส้วม อ่างล้างจาน อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ หรือโรยบนฝักบัวทิ้งไว้หากเราจะหยุดใช้ชั่วคราวในกรณีที่ไปพักร้อน หรือจะใช้ขจัดกลิ่นเหม็นอับของผ้าห่ม ผ้านวม หลังจากที่เก็บไว้นาน ๆ ก็ให้โรยผงฟูลงบนผ้านั้นแล้วม้วนเก็บทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยสะบัดออก หรือจะนำมาใช้ขจัดกลิ่นตกค้างบนผ้าปูโต๊ะด้วยการนำมาผ้าปูโต๊ะมาแช่ในน้ำนะลายผงฟูก็ได้
  27. ใช้ทำเป็นน้ำยาซักผ้าขาว สูตรแรกให้ใส่ผงเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงในเครื่องซักผ้าพร้อมกับน้ำยาซักผ้า วิธีนี้จะช่วยทำให้ผ้าขาวและสีสดขึ้นได้ ส่วนสูตรที่สองให้ใช้ตอนซักผ้า โดยให้ใส่เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงไปในน้ำสุดท้ายที่กำลังจะล้างฟองออก ก็จะช่วยทำให้ผ้ามีกลิ่นสะอาดยิ่งขึ้น
  28. ใช้ล้างแปรงและหวี ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำอุ่นในชามอ่างเล็ก ๆ แล้วนำแปรงหรือหวีมาแช่ทิ้งไว้ แล้วนำมาล้างอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยทำให้คราบต่าง ๆ ที่ติดอยู่ตามซอกหลุดออกมาได้โดยง่าย
  29. ใช้ทำความสะอาดที่ดัดฟัน (Retainers) ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยแล้วนำที่ดัดฟันมาแช่ทิ้งไว้สักพัก แล้วค่อยเอาแปรงขัดคราบออกอีกครั้งหนึ่ง
  30. ใช้ปรับสภาพของสระว่ายน้ำหรือตู้ปลาให้มีความเป็นกลาง เนื่องจากการเติมคลอรีนมากเกินไปและทำให้สระว่ายน้ำมีความเป็นกรดมากเกินไป

หมายเหตุ : เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) กับผงฟู (Baking Powder) แม้ว่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายกัน แต่บางครั้งมันก็เอามาใช้แทนกันไม่ได้นะครับ อันนี้ก็ต้องดูให้ดี ๆ ก่อนครับ

เบกกิ้งโซดา ซื้อที่ไหน?

ตอบ หาซื้อได้ตาม Supermarket ทั่วไปครับ (เดอะมอลล์, ฟู๊ดแลนด์, แม็คโคร, บิ๊กซี, โลตัส, ท๊อปส์, ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่) ที่แผนกเบเกอรี่ บริเวณชั้นที่ขายพวกแป้งทำขนม สีผสมอาหาร ถ้าเป็นยี่ห้อ McGarrett ขนาด 300 กรัม ก็ราคาประมาณ 11-16 บาทครับ แต่ล่าสุดที่ผมไปซื้อมาที่ฟู๊ดแลนด์ ยี่ห้อแม็กกาแรต ขนาด 300 กรัม ราคาอยู่ที่ 14.50 บาทครับ (30/08/57) แต่ระวังจะซื้อมาผิดนะครับ ให้เลือกเอาที่เขียนว่า Baking Soda ไม่ใช่ Baking Powder

ภาพประกอบ : pantip.com (by แม่หนูคริสตี้)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด