44 ประโยชน์ของวิตามินดี (Vitamin D) จากงานวิจัย !

วิตามินดี (Vitamin D) กับประโยชน์ทางการแพทย์

วิตามินดี

วิตามินดี (Vitamin D) หรือเรียกอีกอย่างว่า “แคลซิเฟอรอล” (Calciferol) คือ วิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งผิวหนังของเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เมื่อได้รับแสงแดด อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถได้รับวิตามินดีจากอาหารตามธรรมชาติ เช่น ในปลาที่มีไขมันมาก เห็ด รวมถึงวิตามินดีในรูปแบบของอาหารเสริม เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายมีระดับวิตามินดีในเลือดที่เพียงพอ (ประมาณ 90% ของวิตามินดีในร่างกายถูกสังเคราะห์ขึ้นจากแสงแดด และที่เหลืออีก 10% เท่านั้นที่มาจากการรับประทานอาหาร)

การเสริมวิตามินดีอาจเกี่ยวข้องกับประโยชน์หลายอย่างตั้งแต่สุขภาพกระดูกและฟัน การทำงานของภูมิคุ้มกัน ความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ที่ลดลง ไปจนถึงช่วยปรับปรุงเรื่องอารมณ์ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าประโยชน์เกือบทั้งหมดจะจำกัดอยู่ในเฉพาะที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ และการเสริมในวิตามินดีในระดับที่เพียงพอมักให้ประโยชน์มากกว่าเสริมในปริมาณมาก

แม้ประเทศไทยจะเป็นเมืองแดด แต่จากการสำรวจกลับพบว่าคนไทยส่วนใหญ่ขาดวิตามินดี โดยในเด็กและผู้สูงอายุจะมีอัตราการขาดวิตามินดีประมาณ 33%, ในผู้หญิงคือ 43% และในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจะมากที่สุดคือ 93% (ในขณะที่ผู้ชายจะมีอัตราการขาดวิตามินดีเพียง 14%)

ส่วนการขาดวิตามินดีอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ทำให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดน้อยลง เช่น การใช้ครีมกันแดด ทำงานกลางคืน อาศัยอยู่แต่ในบ้าน การทำงานในเมืองใหญ่ มีสีผิวคล้ำ ฯลฯ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการได้รับวิตามินดีจากแหล่งอื่นอย่างอาหารหรืออาหารเสริมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในสังคมสมัยใหม่ที่ผู้คนต่างมีความกังวลเรื่องผิวคล้ำเสียและกลัวการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง (1)

วิตามินดีเป็นหนึ่งในวิตามินที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะมันไม่ใช่วิตามินดีจริง ๆ แต่เป็นฮอร์โมน ซึ่งหมายความว่าร่างกายของเราจะเปลี่ยนเป็นฮอร์โมน นอกจากนี้วิตามินดียังมีสสารที่แตกต่างกันถึง 5 ชนิด แต่มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ ได้แก่ วิตามินดี3 (Cholecalciferol) และวิตามินดี2 (Ergocalciferol)

โดยสรุปแล้ววิตามินดีเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพโดยรวมที่ดี คนส่วนใหญ่อาจขาดวิตามินดีได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสมอาจมีประโยชน์มากกว่าการเสริมในปริมาณมาก

วิตามิน D2 และ D3 ต่างกันอย่างไร?

วิตามินดี2 และวิตามินดี3 เป็นสองรูปแบบที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มากที่สุด โดยวิตามินดี2 จะได้มาจากพืช (เห็ด) ส่วนวิตามินดี3 จะได้มาจากสัตว์เป็นหลัก หรือร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นเองได้เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด ทั้งวิตามินดี2 และดี3 ไม่ว่าจะได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมจำเป็นต้องมีการแปลงในตับและไตของเราก่อนที่ร่างกายจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้

  • วิตามินดี2 (Vitamin D2) หรือที่เรียกว่า เออร์โกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol) พบได้ตามธรรมชาติในเห็ดที่ได้รับแสงแดด (เห็ดไมตาเกะเป็นหนึ่งในแหล่งวิตามินดี 2 ที่ดีที่สุดที่ 786 IU ต่อถ้วย) ในกระบวนการผลิตวิตามินดี2 จะมีราคาถูกกว่าวิตามินดี3 จึงเป็นอีกรูปแบบที่พบได้บ่อยพอ ๆ กับวิตามินดี3
  • วิตามินดี3 (Vitamin D3) หรือที่เรียกว่า คอเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) สร้างขึ้นเมื่อคอเลสเตอรอลในผิวหนังของเราสัมผัสกับแสงแดด และพบได้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยจากอาหารที่มาจากสัตว์บางชนิด เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ตับ เนื้อวัว ชีส ไข่แดง สำหรับวิตามินดี3 ในรูปแบบอาหารเสริมจะทำมาจากการสกัดคอเลสเตอรอลจากลาโนลินที่ได้จากขนแกะ แล้วนำไปทำปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อให้ได้ 7-dehydrocholesterol จากนั้นจึงทำการฉายรังสีเพื่อสร้าง D3 หรือ Cholecalciferol (มีวิตามินดี3 อีกแบบที่สกัดจากไลเคน สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ)

สำหรับอาหารเสริมวิตามินดี แนะนำให้เลือกซื้ออาหารเสริมวิตามินดี3 (Cholecalciferol) เนื่องจากมีศักยภาพมากกว่าวิตามินดี2 สามารถจับกับตัวรับวิตามินดีได้ดี และยังดูดซึมได้ดีกว่าและเปลี่ยนเป็น Active D ที่ร่างกายสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรงได้ง่ายกว่า (2)

แนะนำให้เสริม วิตามินดี3 (Cholecalciferol) แทนการเสริมวิตามินดี2 (Ergocalciferol) เนื่องจากวิตามินดี3 มีแนวโน้มว่าจะช่วยเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของวิตามินดี

ต่อไปนี้คือประโยชน์ของวิตามินดีในทางแพทย์ที่อาจเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ทุกการศึกษาจะให้ผลลัพธ์สอดคล้องกัน และประโยชน์ส่วนใหญ่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพดังกล่าว

1. กระดูกแข็งแรง วิตามินดีส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้และรักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดให้เพียงพอ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างแร่ธาตุในกระดูกให้แข็งแรง (3) และการขาดวิตามินดีในระยะยาวอาจก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้ ผู้ใหญ่ทุกคนจึงควรได้รับวิตามินดีและแคลเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอและจากอาหารเสริมหากจำเป็น ส่วนผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความต้องการและความจำเป็นในการเสริมสารอาหารทั้งสองนี้ เพื่อรักษาสุขภาพกระดูกและป้องกันหรือรักษาโรคกระดูกพรุน (1)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของแคลเซียม (Calcium) จากงานวิจัย !

2. ดีต่อภูมิคุ้มกัน วิตามินดีช่วยควบคุมการดูดซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสและอำนวยความสะดวกในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันตามปกติ (1) การศึกษาในหลอดทดลองชี้ให้เห็นว่าวิตามินดีมีผลเชิงบวกต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของเซลล์มนุษย์ (16) การเสริมวิตามินดีอย่างเพียงพอจึงอาจส่งผลดีต่อทำงานของภูมิคุ้มกัน

  • วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการทำงานของภูมิคุ้มกัน การศึกษาพบความเชื่อมโยงระหว่างการขาดวิตามินดีในระยะยาวกับการเกิดโรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยง (16, 17)

3. ลดการติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคหวัด และไข้หวัดใหญ่ งานวิจัยบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าวิตามินดีอาจมีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อทางเดินหายใจในผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินดี

4. โควิด-19 (COVID-19) การศึกษาส่วนใหญ่ (แต่ไม่ทั้งหมด) เชื่อมโยงกับระดับวิตามินดีที่เพียงพอในผู้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ที่จะมีความรุนแรงของโรคที่น้อยกว่า การเข้าห้อง ICU และความต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจ และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่ลดลง หรือในผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำ (20 ng/mL หรือต่ำกว่า) การเสริมวิตามินดีในระดับปานกลางอาจช่วยลดการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่การให้ในขนาดที่สูงมากเพียงครั้งเดียวกลับไม่ได้ช่วย และดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงแทน

5. โรคมะเร็ง สำหรับมะเร็งทุกชนิด โดยทั่วไปมีข้อสรุปว่าการเสริมวิตามินดีในผู้ที่มีระดับวิตามินดีเพียงพออยู่แล้วไม่ได้ช่วยลดอุบัติการณ์โดยรวมการของการเกิดมะเร็ง แต่การเสริมวิตามินดีอาจช่วยลดการลุกลามของเนื้องอกและการเสียชีวิตได้ในบางคนที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่ และการเสริมวิตามินดีในปริมาณมากน้อยครั้ง ดูเหมือนจะไม่เกิดเป็นประโยชน์เหมือนการเสริมเป็นรายวันในปริมาณน้อยลง (34) อย่างไรก็ตาม การรักษาระดับวิตามินดีในเลือดให้อยู่ในระดับเพียงพอหรือสูงกว่า 20 ng/mL (แต่ไม่สูงมาก) อาจช่วยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้ (1)

6. โรคเบาหวาน การรักษาระดับวิตามินดีในเลือดให้เพียงพออย่างน้อย 25 ng/mL อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2, ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลที่มีวิตามินดีเพียงพอ (1)

7. โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องกับระดับวิตามินดีในเลือดที่ลดลง การให้เสริมวิตามินดีขนาดปานกลาง 600-1,000 IU ในผู้ที่ขาดวิตามินดี (ต่ำกว่า 15-20 ng/mL) แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล และความแข็งแรงของหลอดเลือดที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่การเสริมในขนาดที่สูงขึ้น เช่น 2,000 IU พบว่าให้ประโยชน์น้อยกว่าและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

8. โรคภูมิแพ้ (Allergies) ระดับวิตามินดีในเลือดที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ที่ลดลงในเด็กและวัยรุ่น โดยจากการทบทวนข้อมูลการศึกษารวมกว่า 6,000 คน พบว่าเด็กและวัยรุ่นที่มีระดับวิตามินดีในเลือดน้อยกว่า 15 ng/mL จะพบอาการแพ้จากสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้บ่อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีระดับวิตามินดีในเลือด 30 ng/mL หรือมากกว่า (77) ส่วนการศึกษาอื่น ๆ ได้แก่

9. โรคหอบหืด (Asthma) การเสริมวิตามินดีในระดับปานกลางอาจทำให้อาการของโรคหอบหืดในเด็กดีขึ้นและในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหอบหืดที่ไม่สามารถควบคุมได้ และการเสริมวิตามินดีก่อนคลอดอาจลดความเสี่ยงต่อโรคหอบหืดในเด็กได้ อย่างไรก็ตาม ประโยชน์นี้ดูเหมือนจะจำกัดเฉพาะผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำมาก (น้อยกว่า 10 ng/mL) โดยมีรายละเอียดการศึกษาดังนี้

10. ลดการอักเสบ การศึกษาในชาวอเมริกันหลายพันคนพบว่าการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดให้อยู่ในระดับไม่เกิน 21 ng/mL อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ โดยพบว่า C-reactive protein (CRP) ซึ่งเป็นโปรตีนที่บ่งชี้การอักเสบมีระดับที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ในระดับที่เกินกว่า 21 ng/mL พบว่าไม่เกิดประโยชน์ (88) สอดคล้องกับการศึกษาที่พบว่าการได้รับวิตามินดีในปริมาณ 30,000 IU ต่อเดือน และ 60,000 IU ต่อเดือน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญของตัวบ่งชี้การอักเสบ (89) และดูเหมือนว่าประโยชน์ช่วยลดการอักเสบจะมีผลชัดเจนในผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่า 8 ng/mL แต่อาจไม่มีประโยชน์ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีเพียงพออยู่แล้ว (90)

11. อาจสนับสนุนการลดน้ำหนัก การศึกษาเชิงสังเกตพบว่าน้ำหนักตัวที่มากขึ้นสัมพันธ์กับระดับวิตามินดีที่ลดลง และผู้ที่เป็นโรคอ้วนมักมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ อย่างไรก็ตาม การทดลองทางคลินิกในปัจจุบันยังไม่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยลดน้ำหนักได้ (1, 91)

12. โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) บางหลักฐานพบว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ เช่น การศึกษาในทหารผ่านศึกษาที่มีอาการปวดเรื้อรังและที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำที่พบว่าการเสริมวิตามินดีช่วยให้นอนหลับเร็วขึ้นโดยเฉลี่ย 10 นาที และเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับประมาณ 30 นาที อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ไม่ได้มีการควบคุมและไม่ทราบว่าผลการนอนหลับที่ดีขึ้นมาจากอาหารเสริมหรือเนื่องจากอาการปวดเรื้อรังที่ลดลงตามเวลา (95) ส่วนการศึกษาที่ขัดแย้งกัน เช่น งานวิจัยที่ชี้ว่าการเสริมวิตามินดีในปริมาณสูงอาจรบกวนการผลิตเมลาโทนิน การศึกษาที่พบว่าระดับวิตามินดีในเลือดที่มากกว่า 32 ng/mL อาจทำให้คุณภาพการนอนหลับแย่ลง หรือการศึกษาควบคุมด้วยยาหลอกในนอร์เวย์ในคนจำนวน 189 คนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำเฉลี่ย 14 ng/mL ที่พบว่าการเพิ่มระดับเป็น 34 ng/mL ด้วยการเสริมวิตามินดี3 ไม่ได้ช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับหรืออาการนอนหลับ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (96)

13. ภาวะซึมเศร้าและอารมณ์ ระดับวิตามินดีที่ต่ำกว่า 20 ng/mL และการบริโภควิตามินดีที่ลดลง (น้อยกว่า 100 IU) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงและความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าในบางกรณี (97, 98) อย่างไรก็ตาม การเสริมวิตามินดีไม่ได้แสดงให้เห็นว่าช่วยคนส่วนใหญ่ที่มีภาวะซึมเศร้า หรือในแม้แต่คนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำก็ตาม นอกจากนี้ การได้รับวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้อาการซึมเศร้าแย่ลงได้ โดยมีการศึกษาที่สำคัญดังนี้

14. โรคอัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และการทำงานของสมองที่ลดลง โดยสรุปแล้วการรักษาระดับวิตามินดีในเลือดไว้อย่างน้อย 20 ng/mL อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ได้ และการเสริมวิตามินดีในขนาดปานกลางดูเหมือนจะช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองในผู้สูงอายุที่ขาดวิตามินดีและมีความบกพร่องทางสติปัญญาได้เล็กน้อย แต่ในขนาดสูงไม่ได้ช่วยอะไร และการเสริมวิตามินดีก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มการทำงานของสมองในผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มีความบกพร่องทางสติปัญญา

15. โรคพาร์กินสัน การศึกษาในประเทศฟินแลนด์ชี้ให้เห็นว่าระดับวิตามินดีที่สูงขึ้นสามารถช่วยป้องกันโรคพาร์กินสันได้ โดยผู้ที่มีระดับวิตามินดีสูงหรือมากกว่า 20 ng/mL จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันต่ำกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่า 10 ng/mL ถึง 65% (119)

16. ภาวะเปราะบางในผู้สูงอายุ (Frailty) การศึกษาพบว่าระดับวิตามินดีในเลือดที่ต่ำหรือสูงนั้นสัมพันธ์กับเกิดภาวะเปราะบาง โดยการศึกษาในผู้หญิงที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีระดับวิตามินดีในเลือดระหว่าง 20-29.9 ng/mL จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น 47% ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่า 15 ng/mL, เพิ่มขึ้น 24% ในผู้ที่มีระดับต่ำกว่า 20 ng/mL และเสี่ยงเพิ่มขึ้น 32% ในผู้ที่มีระดับสูงกว่า 29.9 ng/mL (120) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Institute of Medicine ที่ระบุว่าวิตามินดีระดับ 20 ng/mL ถือเป็นระดับที่เพียงพอและระดับที่สูงกว่า 30 ng/mL อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงบางประการ (121) โปรดทราบว่าการเสริมวิตามินดีในขนาดสูงในผู้สูงอายุที่ไม่ได้ขาดวิตามินดี ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ (122)

17. โรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) ระดับวิตามินดีในเลือดที่ต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคออทิสติกสเปกตรัม โดยการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการเสริมวิตามินดีแก่เด็กที่เป็นโรคออทิสติกสเปกตรัมและร่างกายขาดวิตามินดีอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าการเสริมวิตามินดีจะมีประโยชน์ต่อเด็กที่เป็นโรคนี้แต่ร่างกายไม่ได้ขาดวิตามินดี

18. เสริมทักษะการวางแผน การวางกลยุทธ์ และการรับรู้ การศึกษาในนอร์เวย์ที่ศึกษาในวัยรุ่นที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 20 ng/mL พบว่าทำคะแนนแบบทดสอบที่ใช้ประเมินผลการทำงานของผู้บริหาร (Tower of Hanoi และ Tower of London test) ได้แย่กว่า และยังพบว่าการเสริมวิตามินดี3 วันละ 1,520 IU เป็นเวลา 3 เดือน สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่เกี่ยวกับการบริหารได้ (127) ส่วนการศึกษาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน 42 คนที่เป็นโรคอ้วนพบว่าการเสริมวิตามินดีวันละ 2,000 IU ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการมองเห็น ความจำในการทำงาน และการเรียนรู้ที่ดีขึ้น (ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับในขนาดน้อย 600 IU และกลุ่มที่ได้รับในขนาดสูง 4,000 IU และดูเหมือนกลุ่มหลังที่ได้รับในขนาดสูงจะมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่ช้าลงด้วย) (128)

19. ปวดศีรษะ/ไมเกรน ระดับวิตามินดีในเลือดที่ต่ำกว่า 20 ng/mL มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจะเกิดอาการปวดศีรษะได้บ่อยและมีอาการไมเกรนเพิ่มขึ้น โดยการศึกษาในกลุ่มชายวัยกลางคนจำนวน 2,601 คนในฟินแลนด์ พบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำที่สุด (ต่ำกว่า 12 ng/mL) มีแนวโน้มที่จะมีอาการปวดศีรษะบ่อยกว่าผู้ที่มีระดับเลือดสูงกว่าถึง 2 เท่า (129) ส่วนอีกการศึกษาในเกาหลี ในคนจำนวน 157 คนที่เป็นไมเกรน พบว่าอาการปวดหัวเกิดขึ้นได้ในคนที่ขาดวิตามินดี (ต่ำกว่า 20 ng/mL) บ่อยกว่าในคนที่ไม่ขาดถึงวิตามินดีถึง 20% (130)

20. โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (Acute otitis media) การศึกษาในเด็กอายุ 1-5 ปีที่มีประวัติการติดเชื้อที่หูซ้ำ ๆ เด็กที่มีระดับวิตามินดีในเลือดสูงจะมีความเสี่ยงลดลงที่จะเกิดโรคนี้ และการศึกษายังพบว่าการให้วิตามินดีวันละ 1,000 IU เป็นเวลา 4 เดือน ทำให้ระดับวิตามินดีเพิ่มขึ้นจาก 26 ng/mL เป็น 37 ng/mL และมีความเสี่ยงลดลงอย่างเห็นได้ชัดที่จะเกิดการติดเชื้อในหูหรือเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (131)

21. การสูญเสียการได้ยินในผู้สูงอายุ การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุจำนวน 1,123 คน (อายุเฉลี่ย 76 ปี) พบว่าระดับวิตามินดีที่ต่ำอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดประสาทหูเสื่อมตามอายุ (AHL) (132)

22. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) แม้การวิจัยจะชี้ให้เห็นว่าการขาดวิตามินดีเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ (133) แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าการเสริมวิตามินดีจะช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยการทบทวนขององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) สรุปได้ว่าในผู้ที่มีสุขภาพดีนั้น ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภควิตามินดีกับการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค MS (134)

23. โรคเหงือกอักเสบ (Periodontal disease) เนื่องจากวิตามินดีมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและภูมิคุ้มกัน จึงมีการสันนิษฐานว่าการขาดวิตามินดีอาจนำไปสู่โรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ (การติดเชื้อและการอักเสบของเหงือกและกระดูกรอบฟัน) และการรักษาการขาดวิตามินดีอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ โดยมีรายงานเกี่ยวกับผู้ที่เป็นโรคเหงือกอักเสบชนิดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาและมีระดับวิตามินดีต่ำ พบว่าการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดก่อนให้การรักษาสามารถช่วยให้ทันตแพทย์สามารถรักษาโรคนี้ได้ (142)

24. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) การศึกษาที่ควบคุมด้วยยาหลอกในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจำนวน 240 คน พบว่าการรับประทานวิตามินดี3 (ประมาณวันละ 2,000 IU) ช่วยลดอาการกำเริบในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีเพียงพออยู่แล้ว (143) สอดคล้องกับการศึกษาอื่น เช่น การศึกษาในเบลเยียมที่พบว่าการเสริมวิตามินดี (100,000 IU ทุก 4 สัปดาห์) ช่วยลดการกำเริบของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่เฉพาะในผู้ป่วยที่เริ่มมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 10 ng/mL (144) และการศึกษาในประเทศนิวซีแลนด์ในกลุ่มผู้สูงอายุจำนวน 775 คน ที่เป็นโรค COPD และโรคหอบหืด พบว่าการเสริมวิตามินดี3 ไม่ได้ช่วยลดความการกำเริบของโรค ยกเว้นในคนที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 10 ng/mL (145)

25. โรคโครห์น (Crohn’s disease) การวิจัยบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เป็นโรคโครห์นมักมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ และระดับวิตามินดีที่ต่ำอาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค (146) โดยการศึกษาขนาดเล็กในกลุ่มคนที่เป็นโรคนี้ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางและมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ พบว่าการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดจากค่าเฉลี่ย 16 เป็น 40 ng/mL ในระยะเวลา 24 สัปดาห์ ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง (ประเมินความรุนแรงโดยใช้ดัชนี CDAI ที่ลดลงจาก 230 เหลือ 118 คะแนน) (147)

26. โรคไขมันพอกตับ (NAFLD) ระดับวิตามินดีที่ต่ำสัมพันธ์กับการเกิดโรคไขมันพอกตับ ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบ แผลเป็นในเนื้อตับ และโรคตับแข็ง (148) การศึกษาเบื้องต้นในผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับจำนวน 40 คน และมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ (เฉลี่ย 11.8 ng/mL) พบว่าเมื่อให้วิตามินดี3 ปริมาณ 20,000 IU ต่อสัปดาห์ (ประมาณวันละ 2,857 IU) ไขมันที่ตับลดลงประมาณ 5% หลังจากผ่านไปเพียง 4 สัปดาห์ (149)

27. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) การศึกษาแบบสุ่มในกลุ่มสตรีที่มีน้ำหนักตัวเกิน 58 คน (อายุเฉลี่ย 24 ปี) ที่มีภาวะขาดวิตามินดีและ PCOS พบว่าการรับประทานวิตามินดี3 50,000 IU สัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีระดับฮอร์โมนพาราไธรอยด์และเทสโทสเตอโรนลดลง ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน SHBG ลดความรุนแรงของอาการขนดก มีปริมาณรังไข่เพิ่มขึ้น และทำให้รอบเดือนปกติสม่ำเสมอมากขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้อาจหมายถึงสุขภาพการเจริญพันธุ์ที่ดีขึ้น (150)

28. เนื้องอกมดลูก (Uterine fibroids) การศึกษาของผู้หญิงอายุ 35-49 ปี พบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีสูงกว่า 20 ng/mL มีโอกาสเป็นเนื้องอกในมดลูกต่ำกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำถึง 32% และในทำนองเดียวกัน ยังพบว่าผู้หญิงที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อวันจะมีโอกาสเกิดเนื้องอกน้อยกว่าผู้หญิงที่ได้รับแสงแดดน้อยกว่าถึง 40% (151)

29. ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (OAB) การศึกษาพบว่าระดับวิตามินดีที่ต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อการเกิดภาวะ OAB (152) เช่นเดียวกับการศึกษาขนาดเล็กในจอร์แดนที่พบว่าผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง (ต่ำกว่า 10 ng/mL) มีแนวโน้มที่จะมีอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกินมากกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีสูงกว่า 30 ng/mL และการให้วิตามินดีสัปดาห์ละ 50,000 IU เป็นเวลา 4-8 สัปดาห์ ช่วยให้ผู้ป่วย OAB มีอาการดีขึ้น (153) ในขณะที่การศึกษาอื่นในผู้ที่มีระดับวิตามินดีเพียงพอพบว่าการเสริมวิตามินดีช่วยลดอาการปัสสาวะเล็ด (UUI) ได้ไม่ต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (154)

30. กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) การศึกษาเล็ก ๆ ในผู้หญิงที่มีอาการปวดประจำเดือนและมีระดับวิตามินดีในเลือดเฉลี่ย 27 ng/mL พบว่าการให้วิตามินดี3 ปริมาณสูงเพียงครั้งเดียว (300,000 IU) ช่วยลดอาการปวดในช่วงสองรอบประจำเดือนถัดไปได้ 41% ส่วนอีกการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นที่ขาดวิตามินดีอย่างมาก (ต่ำกว่า 10 ng/mL) ที่มีอาการทางอารมณ์รุนแรงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการ PMS พบว่าการเสริมวิตามินดีในขนาดสูง (เริ่มต้น 200,000 IU แล้วตามด้วย 25,000 I.U. ทุก 2 สัปดาห์) เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดความรู้สึกหงุดหงิดลงจาก 130 เหลือ 70, ร้องไห้ง่าย ลดจาก 41 เหลือ 30, และความรู้สึกเศร้า ลดจาก 51 เหลือ 31 ในขณะที่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (155)

31. ดีต่อการตั้งครรภ์ การศึกษาพบว่าระดับวิตามินดีที่เพียงพอและ “พอดี” ในระหว่างตั้งครรภ์มีความสัมพันธ์กับการเติบโตของทารกที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษ และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ รวมถึงยังช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของคุณแม่ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและลดความบกพร่องของฟันในเด็ก อย่างไรก็ตาม วิตามินดีในปริมาณที่สูงขึ้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อหรือการเข้าห้องอภิบาลของทารกแรกเกิดที่เกิดภาวะวิกฤต (NICU) หรือทำให้พัฒนาการทางการเคลื่อนไหวหรือสติปัญญาของเด็กดีขึ้น โดยการศึกษาที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

32. หมดประจำเดือนเร็ว การได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอจากอาหารมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของการหมดประจำเดือนเร็วก่อนอายุ 45 ปี โดยการศึกษาในผู้หญิงมากกว่า 80,000 คน พบว่าผู้หญิงที่ได้รับวิตามินดีจากอาหารสูง (528 IU ต่อวัน) มีความเสี่ยงน้อยกว่า 17% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับวิตามินดีจากอาหารน้อย (148 IU ต่อวัน) อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินจากอาหารเสริมไม่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง (162)

33. โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย การศึกษาในกลุ่มผู้ชาย 111 คนที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศและมีระดับวิตามินดีต่ำ (เฉลี่ย 14 ng/mL) เป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่า กลุ่มที่รับประทานยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Tadalafil) ร่วมกับวิตามินดี3 4,000 IU มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศและความต้องการทางเพศมากขึ้น (163) สอดคล้องกับการศึกษาในจีนที่พบว่า การเสริมวิตามินดี3 ร่วมกับไวอากร้า ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศได้ดีกว่าที่ได้รับยาไวอากร้าเพียงอย่างเดียว (39% ต่อ 16%) (164)

34. กล้ามเนื้อและความแข็งแรง การเสริมวิตามินดีปานกลาง (วันละ 800-1,000 IU ต่อวัน) อาจช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงในผู้สูงอายุที่มีวิตามินดีในระดับต่ำ แต่ดูเหมือนจะไม่พบประโยชน์ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีเพียงพออยู่แล้ว และวิตามินดีในปริมาณที่สูงขึ้นอาจส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ ส่วนในผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อยกว่า ผลของการเสริมวิตามินดีก็อาจจะได้ผลเฉพาะในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำเท่านั้น

35. ลดอาการปวดหลัง การศึกษาในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วนในออสเตรเลียที่มีอาการปวดหลังและขาดวิตามินดี พบว่าการเสริมวิตามินดีในขนาดสูง (เริ่มต้น 100,000 IU ตามด้วย 4,000 IU ต่อวัน เป็นเวลา 16 สัปดาห์) ช่วยลดอาการปวดหลังในกลุ่มผู้ขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง (ต่ำกว่า 12 ng/mL) ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีผลในผู้ที่มีระดับวิตามินดีสูงกว่า 12 ng/mL (174)

36. ลดการหกล้มในผู้สูงอายุ การเสริมวิตามินดีในปริมาณปานกลางเพื่อแก้ไขระดับวิตามินดีในเลือดที่ไม่เพียงพอ อาจช่วยเพิ่มความสมดุลและลดความเสี่ยงของการหกล้มในผู้สูงอายุที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำได้ แต่ปริมาณที่สูงเกินอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุ

37. โรคเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า (BPPV) มีสมมติฐานว่าการขาดวิตามินดีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค BPPV เนื่องจากการศึกษาในอังกฤษพบว่าโรคนี้จะพบได้บ่อยในช่วงเดือนที่ร่างกายได้รับวิตามินดีต่ำ หรือการศึกษาในโปรตุเกสในคนที่มีประวัติเป็นโรคนี้ การเสริมวิตามินดีวันละ 5,000 IU (ในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 20 ng/mL) หรือวันละ 800 IU (ในผู้ที่มีระดับสูงกว่า 20 ng/mL) ในช่วง 12 เดือน พบว่าไม่มีใครเกิดอาการ BPPV ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินดีแต่ละคนเกิดอาการประมาณ 1-3 ครั้ง ซึ่งหลักฐานนี้บ่งชี้ว่าวิตามินดีอาจช่วงป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค BPPV ได้ (181) สอดคล้องกับอีกการศึกษาในกลุ่มทดลองที่มีขนาดใหญ่กว่าที่พบว่าการเสริมวิตามินดี 400 IU และแคลเซียมคาร์บอเนต 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 เดือน มีโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของ BPPV ต่ำกว่า 24% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (182)

38. ภาวะทนการอยู่ในท่ายืนไม่ได้ (Orthostatic intolerance) เป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะหรือเป็นลมขณะยืน โดยบางการศึกษาในผู้มีภาวะนี้และขาดวิตามินดี พบว่าการเสริมวิตามินดีวันละ 2,000-5,000 IU เป็นเวลา 2 เดือน สามารถช่วยระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะสามารถทนต่อการยืนได้ประมาณ 15 นาที อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ไม่มีกลุ่มควบคุม จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการเสริมวิตามินดีจะมีประโยชน์ต่อภาวะนี้หรือไม่ (183) และยังขัดแย้งกับอีกการศึกษาในผู้สูงอายุที่พบว่าการเสริมวิตามินดีไม่ได้ช่วยลดอาการของภาวะดังกล่าว (184)

39. โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) เป็นภาวะที่มีอาการปวดเรื้อรังตามกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่ออ่อนทั่วร่างกาย โดยการศึกษาบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แนะนำว่าการเสริมวิตามินดีอาจช่วยให้อาการของโรคนี้ดีขึ้น โดยมีการศึกษาที่พบว่าการเพิ่มระดับวิตามินในเลือดจากค่าเฉลี่ย 19 ng/mL เป็นประมาณ 50 ng/mL มีความสัมพันธ์กับอาการปวดของโรคที่ลดลงเล็กน้อย (ลดลง 20 จุดจากระดับ 100 จุด) (185) แต่ก็มีการศึกษาในกลุ่มคนที่เป็นโรคนี้แต่มีระดับวิตามินดีในเลือดปกติก็ไม่พบว่าการเสริมวิตามินดี3 สัปดาห์ละ 50,000 IU เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ไม่ได้ช่วยให้อาการต่าง ๆ ของโรคดีขึ้นแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (186)

40. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) ระดับวิตามินดีที่ต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่สูงขึ้น และอาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการลุกลามของโรคอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น และการรับประทานวิตามินดีให้พอประมาณอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้

41. โรคลมพิษ (Urticaria) การศึกษา 12 สัปดาห์ที่ควบคุมด้วยยาหลอกในกลุ่มผู้ป่วยลมพิษเรื้อรัง 120 คนในอินเดียที่ขาดวิตามินดี (เฉลี่ย 14 ng/mL) พบว่าการเสริมรับวิตามินดี3 ปริมาณ 60,000 IU ทุกสองสัปดาห์ (เฉลี่ยวันละ 4,286 IU) ช่วยลดความรุนแรงของโรคและระดับของสารไซโตไคน์ในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ (189)

42. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) การศึกษาพบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดมากกว่า 20 ng/mL จะมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่าผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ ในขณะที่ระดับที่สูงกว่า 30 ng/mL ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ (190) สอดคล้องกับการศึกษาในประเทศอียิปต์ในกลุ่มคนที่เป็นโรคนี้ชนิดรุนแรงจำนวน 86 คน พบว่าการรับประทานวิตามินดี3 วันละ 1,600 IU เป็นเวลา 3 เดือน นอกเหนือจากการทาครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับการใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนเพียงอย่างเดียว (191)

43. ผู้ใช้ยาสแตติน (Statin) ในผู้ที่ใช้ยากลุ่มสแตตินเพื่อลดคอเลสเตอรอล การรักษาระดับวิตามินดีในเลือดให้เพียงพอด้วยการเสริมวิตามินดีอาจมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น

44. ลดอัตราการเสียชีวิตโดยรวม จากการทบทวนการศึกษาได้ข้อสรุปว่า การเสริมวิตามินดี3 อาจช่วยลดอัตราการเสียชีวิตโดยรวมของผู้สูงอายุได้อย่างมีนัยสำคัญถึง 11% (ในขณะที่วิตามินดี2 ไม่มีผล) และยังพบว่าประมาณ 13% ของการเสียชีวิตทั้งหมดอาจมีสาเหตุมาจากระดับวิตามินดีที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (195) ส่วนการศึกษาอื่น ๆ ได้แก่

อาหารเสริมวิตามินดีเกี่ยวข้องกับประโยชน์หลายอย่าง แต่ดูเหมือนประโยชน์ส่วนใหญ่จะจำกัดเฉพาะในผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินดี ในคนส่วนใหญ่การเสริมวิตามินดีจากอาหารเสริมอาจไม่จำเป็น และการเสริมในขนาดที่สูงมากอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย

หมายเหตุ : 40 IU (หน่วยสากล) = 1 mcg (ไมโครกรัม) หรือ 400 IU = 10 mcg

ข้อควรรู้และคำแนะนำ

  • ต้องออกแดดกี่นาที ? : การออกแดดประมาณ 10-15 นาที หรืออย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์โดยไม่ทาครีมกันแดดก็เพียงพอที่ร่างกายจะได้รับวิตามินดีแล้ว
  • แหล่งที่มาของวิตามินดี 2 ได้แก่: เห็ด, อาหารเสริมวิตามินดี2 และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวิตามินดี2 (เช่น อาหารเช้าซีเรียลสูตรสำหรับทารก มาการีน น้ำส้ม นม)
  • แหล่งที่มาของวิตามินดี 3 ได้แก่: แสงแดด, เนย, ชีส, ไข่แดง, ตับ, ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และน้ำมันปลา, อาหารเสริมวิตามินดี3, อาหารเสริมวิตามินดี3 ที่ทำจากไลเคน (สำหรับผู้ทานมังสวิรัติ), และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวิตามินดี3 (เช่น อาหารเช้าซีเรียลสูตรสำหรับทารก มาการีน น้ำส้ม นม)
  • อาหารให้ที่ให้วิตามินดีสูง (เรียงจากมากไปน้อย) ได้แก่ น้ำมันตับปลา, ปลาเทราต์, ปลาแซลมอน, เห็ดขาวดิบ, นม, นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์, นมข้าวโอ๊ต, ซีเรียล, ปลาซาร์ดีน
  • ปริมาณที่แนะนำต่อวัน : สำหรับคนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 1-70 ปี (รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และหญิงนมบุตร) คือ วันละ 600 IU (15 mcg) และวันละ 800 IU (20 mcg) สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ส่วนการรับประทานเพื่อป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป คือ วันละ 800-1,000 IU พร้อมอาหารเสริมแคลเซียม (1)
  • รูปแบบอาหารเสริมวิตามินดี : แนะนำให้เลือกซื้อวิตามินดี3 (Cholecalciferol) แทนวิตามินดี2 (Ergocalciferol) เนื่องจากวิตามินดี3 มีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
  • ขนาดที่แนะนำ : ขนาดที่แนะนำโดยทั่วไปต่อวันสำหรับวิตามินดีในรูปแบบอาหารเสริมคือวันละ 400-600 IU สำหรับการเสริมวิตามินดี3 ที่สูงขึ้นในระดับปานกลาง คือ วันละ 1,000–2,000 IU ก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการสำหรับคนส่วนใหญ่และ ส่วนขนาดสูงสุดที่ยอมรับได้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คือ วันละ 4,000 IU ไม่ควรเกินจากนี้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
  • คำแนะนำในการรับประทาน : ควรรับประทานอาหารเสริมวิตามินดีพร้อมกับมื้ออาหารที่มีไขมันเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึม เนื่องจากวิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน
  • ผู้ที่มีแนวโน้มขาดวิตามินดี : แม้ร่างกายจะสามารถสร้างวิตามินดีเองได้ แต่บางคนก็มีแนวโน้มที่จะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดีได้มากกว่าคนอื่น ๆ ได้แก่ :
    • ขาดการได้รับแสงแดด เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่เมืองหรือพื้นที่ที่มีมลพิษสูง ผู้ที่ทำงานกลางคืน พนักงานออฟฟิศ
    • หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือใช้ครีมกันแดด เพราะกลัวเรื่องผิวเสียหรือเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
    • สีผิว เพราะเม็ดสีในผิวหนังจะเป็นลดความสามารถในการดูดซับรังสี UVB จากดวงอาทิตย์ ทำให้คนผิวคล้ำหรือผิวดำจะได้รับวิตามินดีจากแสงแดดน้อยกว่าคนผิวขาวอย่างมาก
    • ผู้สูงอายุ เพราะความสามารถของผิวหนังในการสังเคราะห์วิตามินดีจะลดลงตามอายุ ประกอบกับผู้สูงอายุมักใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่
    • ผู้ที่เป็นโรคอ้วน เพราะระดับไขมันในร่างกายที่สูงจะจำกัดความสามารถของร่างกายในการดูดซึมวิตามินดีจากผิวหนัง (วิตามินดีจำนวนมากจะถูกขังอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันมากกว่าที่จะนำไปใช้ในเลือด)
    • ศาสนาหรือวัฒนธรรม เช่น ผู้หญิงที่สวมฮิญาบในศาสนาอิสลามที่ต้องสวมผ้าคลุมศีรษะ อาจทำให้ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอที่ผิวหนังจะสร้างวิตามินดีได้
    • อื่น ๆ เช่น ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเป็นเวลานานหรือเกิดจากแม่ที่ขาดวิตามินดี, ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึมไขมัน, ผู้ที่ทำบายพาสกระเพาะอาหาร, ผู้ที่เป็นโรคคลั่งผอม, ผู้ที่เป็นโรคตับหรือโรคไตเรื้อรัง, ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการสังเคราะห์หรือการเสื่อมสลายของวิตามินดี (เช่น Carbamazepine, Efavirenz, Phenobarbital, Phenytoin, Primidone, Rifampin)
  • อาการของการขาดวิตามินดี : คนส่วนใหญ่ที่มีภาวะขาดวิตามินดีมักจะไม่มีอาการแสดง และอาการของการวิตามินดีในช่วงแรกก็มักไม่ชัดเจน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองขาดวิตามินดี จนกระทั่งไปตรวจสุขภาพหรือแพทย์สั่งให้ตรวจเลือดเพื่อหาระดับวิตามินดี สำหรับอาการที่อาจพบได้ คือ อาการเหนื่อยล้า ปวดเมื่อย ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกระตุก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกระดูก ปวดข้อหรือข้อฝืด กระดูกเปราะบางหรือเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ โรคกระดูกอ่อน หรือโรคกระดูกพรุน เกิดการติดเชื้อได้บ่อย (เช่น หวัดหรือไข้หวัดใหญ่) มีภาวะซึมเศร้า ผมร่วง สุขภาพช่องปากไม่ดี บาดแผลที่ผิวหนังใช้เวลานานในการรักษา (199)
    • นอกจากนี้ หากการขาดวิตามินดียังไม่ได้รับการแก้ไขหรือวิตามินดีในเลือดต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดโรคหรืออาการหรือภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น โรคทางระบบประสาทหรือเกิดความบกพร่องทางความจำและความคิดในผู้สูงอายุ, ภาวะเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด, ปัญหาภูมิต้านทานผิดปกติหรือเกิดการติดเชื้อ, ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์, โรคมะเร็งบางชนิด รวมทั้งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่, โรคไต, โรคหอบหืดรุนแรงในเด็ก หรือเพิ่มความเสี่ยงจากการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ เป็นต้น
  • การตรวจของแพทย์ : แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะขาดวิตามินดีได้จากการตรวจเลือด หากคุณมีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ แพทย์มักจะแนะนำให้รับประทานวิตามินดีเสริม และอาจสั่งตรวจเอกซ์เรย์เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของกระดูกร่วมด้วย

ผลเสีย/ผลข้างเคียงวิตามินดี

การเสริมวิตามินดีในรูปแบบอาหารเสริมในขนาดสูงเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดผลเสียหรือผลข้างเคียงได้ ตัวอย่างเช่น

  • การเสริมวิตามินดี 3 ขนาด 60,000 IU เดือนละครั้งเป็นเวลา 5 ปี มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุที่เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (200)
  • ระดับวิตามินดีในเลือดที่สูงเกิน (46 ng/mL) พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เมื่อเทียบกับระดับ 30 ng/mL (201)
  • ระดับวิตามินดีในเลือดที่สูงกว่า 36 ng/mL จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 13% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีระดับ 20-36 ng/mL (202)
  • วิตามินดีในปริมาณสูง (เฉลี่ยวันละ 4,370 IU) อาจลดการผลิตเมลาโทนินในร่างกาย ในขณะที่ผู้ได้รับขนาดในต่ำวันละ 800 IU ต่อวัน การผลิตเมลาโทนินไม่ได้ลดลง (203) สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่พบว่าการเสริมวิตามินดีวันละ 2,000 IU เป็นเวลา 12 เดือน ทำให้คุณภาพการนอนหลับแย่ลง (204)
  • การเสริมวิตามินดีในปริมาณสูงวันละ 2,800 IU เป็นเวลา 8 สัปดาห์ แก่ผู้ที่ร่างกายไม่ได้ขาดวิตามินดี อาจเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลรวมและระดับไตรกลีเซอไรด์ได้เล็กน้อย (205)
  • การเสริมวิตามินดีในปริมาณสูง (96,000-120,000 IU) ทุก 2 เดือน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เมื่อเทียบกับการได้รับปริมาณต่ำ (400 IU) ทุกวัน (21)
  • การเสริมวิตามินดีมากเกินไป เช่น ปริมาณ 50,000 IU ต่อสัปดาห์ขึ้นไป และ/หรือทำให้มีระดับวิตามินดีในเลือดมากกว่า 50 ng/mL อาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง และเกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เช่น ท้องผูก ปวดศีรษะ หงุดหงิด สับสน อ่อนแรง ปวดแขนขา เบื่ออาหาร (206)

สรุปเรื่องวิตามินดี

วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งผิวหนังของเราจะสังเคราะห์ขึ้นเมื่อได้รับแสงแดด และยังพบได้ในอาหารตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในปลาที่มีไขมันมากและเห็ด การเสริมวิตามินดีอาจเกี่ยวข้องกับคุณประโยชน์มากมาย เช่น สุขภาพภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น สุขภาพกระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ฯลฯ การเสริมวิตามินดี3 เป็นทางเลือกที่ดีกว่าวิตามินดี2 ขนาดวิตามินดีที่แนะนำต่อวันควรอยู่ในช่วง 400-800 IU และสูงสุดไม่เกินวันละ 4,000 IU ทั้งนี้ขนาดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และเงื่อนไขทางการแพทย์ เนื่องจากปริมาณวิตามินดีที่สูงมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมาได้

เอกสารอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ