แอปเปิ้ลไซเดอร์
แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือ น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ (อ่านว่า เวเนการ์ หรือ เวนิการ์ ก็ได้) (Apple Cider Vinegar หรือ ACV) คือ น้ำส้มสายชูที่เกิดจากหมักแอปเปิ้ลสด (น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล) ด้วยการนำมาบดและปล่อยให้เกิดการหมักตัวในถังไม้ โดยไม่ผ่านกระบวนการความร้อนและการคัดกรอง จึงยังคงเอนไซม์และแร่ธาตุจากธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน มีคุณสมบัติเป็นกรดสูง มีรสเปรี้ยวจัด มีสีเหลืองคล้ายน้ำชา มีเส้นใยบาง ๆ ลอยอยู่ มีความเป็นกรดประมาณ 5% (Acetic Acid) มีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซียมสูง
การเลือกซื้อและการเก็บรักษาแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา : ควรเลือกซื้อน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ที่บรรจุในขวดแก้ว มีฉลากระบุแหล่งที่ผลิตอย่างชัดเจน มีเครื่องหมาย อย. หรือ เครื่องหมายรับรองคุณภาพ มอก. ดูวันหมดอายุร่วมด้วย ยิ่งใหม่ยิ่งคงคุณค่า หลังจากเปิดใช้แล้วให้ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องในที่แห้งและมืด เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและป้องกันการระเหย
วิธีกินแอปเปิ้ลไซเดอร์เวนิกา : ให้เขย่าขวดก่อนเพื่อให้เส้นใยฟุ้งขึ้นมา หลังจากนั้นให้เทน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้งอีก 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นเต็มแก้ว แล้วคนให้เข้ากัน ดื่มหลังตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็นประมาณ 30 นาที สำหรับมือใหม่ที่ทดลองดื่มในช่วงแรกอาจจะรู้สึกว่ามันดื่มยากเพราะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว (โดยเฉพาะตอนเรอ) แต่ถ้าทนได้ ดื่มไปเรื่อย ๆ ก็จะชินเอง (คนข้าง ๆ อาจไม่ชินก็ได้ ! )
ประโยชน์ของแอปเปิ้ลไซเดอร์
- โพแทสเซียมช่วยในการแบ่งเซลล์ หากขาดแร่ธาตุนี้จะมีผลทำให้ร่างกายมีอาการผิดปกติ เช่น ผมร่วง ผมหงอก ร่างกายเติบโตช้า และแก่เกินวัย เป็นต้น
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์และหลอดเลือดแดง (โพแทสเซียม)
- ช่วยชะลอความแก่ คงความหนุ่มสาว
- ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายหลังออกกำลังกาย
- ช่วยทำให้ระบบหายใจทำงานดีขึ้น
- ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น
- ประโยชน์แอปเปิ้ลไซเดอร์ช่วยลดความดันโลหิตและโรคหัวใจ
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูทดลองได้ แต่สำหรับคนยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ
- มีงานวิจัยชี้ว่าน้ำส้มสายชูอาจช่วยกำจัดหรือชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังพบว่าช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร แต่มีอีกผลงานวิจัยกลับพบว่ามันอาจจะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะแทน
- มีส่วนช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ และช่วยลดการติดเชื้อ ลดพิษจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
- ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
- ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้และหอบหืด
- ช่วยแก้หวัด แก้เสมหะ และแก้ไซนัส ด้วยการผสมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 ถ้วยในกระทะ แล้วต้มให้เดือดจนเริ่มมีไอระเหยแล้วค่อยปิดไฟ หลังจากนั้นให้นำผ้ามาคลุมศีรษะแล้วก้มหน้าลงใกล้ ๆ กระทะเพื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ
- ช่วยแก้อาการเจ็บคอ คันคอ ด้วยการใช้น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 แก้ว แล้วนำมากลั้วคอบ่อย ๆ ทุก ๆ 1 ชั่วโมง
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร ด้วยสูตรส่วนผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1/3 ช้อนชาผสมกับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนอาหาร 5-10 นาที (อมไว้ในปากประมาณ 5 วินาทีก่อนกลืน)
- ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ช่วยบรรเทาอาการอาหารเป็นพิษ ด้วยการใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชาในน้ำ 1 แก้ว จิบดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก ๆ 5 นาที
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วและการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
- ช่วยบรรเทา ลดอาการปวดของโรคข้อต่าง ๆ โดยใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ส่วน แอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ส่วนผสมกัน แล้วนำมานวดบริเวณที่ปวดวันละครั้งหรือสองวันครั้ง
- ช่วยแก้โรคคัน รักษาโรคผิวหนัง
- ช่วยปรับระดับความเป็นกรด-ด่างในร่างกายให้สมดุล
- ในต่างประเทศถือว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ช่วยล้างพิษในร่างกายได้
- ใช้แช่ผักที่มีสารพิษตกค้างได้ ด้วยการผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ 3 ช้อนโต๊ะในอ่างแล้วนำผักลงแช่
- ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ส่วน แอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ส่วนผสมกัน แล้วนำมานวดบริเวณที่ปวดวันละ 1-2 ครั้ง
- แอปเปิ้ลไซเดอร์ลดความอ้วน ด้วยสูตรแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนก่อนรับประทานอาหารมื้อแรก จะช่วยเรื่องระบบการย่อยให้สมบูรณ์ เผาผลาญอาหารได้มากขึ้น
- ช่วยลดน้ำหนักตัว เพราะลดความอยากอาหารและทำให้อิ่มเร็วมากขึ้น ด้วยสูตรแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำ 2 แก้ว ดื่มก่อนอาหารประมาณ 30 นาที
- ช่วยรักษาสภาพผิว ด้วยการใช้น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์และน้ำอย่างละเท่า ๆ กัน นำมาผสมแช่ในตู้เย็น แล้วนำมาเช็ดหน้าและแปะไว้บนหน้า
- มาส์กหน้าด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์ ช่วยทำให้รูขุมขนดูกระชับ ด้วยการใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ 5 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำเปล่าครึ่งแก้ว แล้วนำสำลีมาชุบแปะทิ้งไว้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 10 แล้วล้างออก (อาจจะรู้สึกคันยิบ ๆ)
- ใช้ทำเป็นโทนเนอร์ ด้วยการใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ส่วนผสมกับน้ำเปล่า 3 ส่วน นำไปแช่ในตู้เย็น แล้วน้ำมาเช็ดหน้าแล้วล้างออก (อาจจะรู้สึกคันยิบ ๆ บ้าง)
- ช่วยป้องกันผมแห้ง ผมร่วง ผมแตกปลาย ศีรษะมัน มีรังแค ด้วยการผสมน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1/3 ถ้วยกับน้ำ 1 ถ้วยแล้วนำมาล้างผมหลังสระ
(หมายเหตุ : ประโยชน์ข้างต้นยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุอย่างชัดเจน ควรใช้วิจารณญาณ)
โทษของแอปเปิ้ลไซเดอร์
- การรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมคือวันละ 2 ช้อนชาหรือน้อยกว่า ด้วยการผสมกับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ แต่หากรับประทานชนิดเม็ด ขนาดที่แนะนำคือ 285 มิลลิกรัมต่อวันหรือไม่เกิน
- เนื่องจากน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มีฤทธิ์เป็นกรด การรับประทานไม่ถูกขนาดหรือมากเกินไปอาจจะก่อให้เกิดอาหารปวดแสบปวดร้อนในกระเพาะได้ สำหรับผู้ที่เริ่มรับประทานใหม่ ๆ ควรรับประทานแต่น้อย ประมาณ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำประมาณ 8 ออนซ์ เพื่อดูว่าร่างกายจะตอบสนองต่อแอปเปิ้ลไซเดอร์อย่างไร
- ไม่ควรดื่มโดยไม่ผสมอะไรเลยเพราะอาจจะทำลายเนื้อเยื่อปากและลำคอได้
- การรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์ควรระวังเรื่องเคลือบฟันจะกร่อนและเสียเอาได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ดื่มน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ ควรบ้วนปากด้วยทุกครั้ง
- การรับประทานในปริมาณเล็กน้อยกว่าปริมาณที่แนะนำ การรับประทานไม่บ่อยมากอาจจะไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกาย แนะนำว่าไม่ควรรับประทานในปริมาณมากและติดต่อกันนานจนเกินไป หยุดพักบ้างก็จะดี
- การรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ระดับของธาตุโพแทสเซียมต่ำลงและกระดูกบาง ถ้ารับประทานไปแล้วพบว่ามีปัญหา ควรปรึกษาแพทย์
- ปริมาณของกรดในแอปเปิ้ลไซเดอร์แต่ละยี่ห้อจะไม่เท่ากัน หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ก็ควรเริ่มรับประทานแต่น้อยก่อน เพื่อดูการตอบสนอง
- ปัจจุบันยังไม่มีผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์จะได้ผลดีจริงตามที่ผู้ผลิตกล่าวอ้าง
- ว่ากันว่าส่วนประกอบของแอปเปิ้ลไม่ได้มีวิตามินอะไรมากมาย มีแค่เพียงธาตุเหล็ก โพแทสเซียม โซเดียม และแคลเซียมในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์ ไม่ควรดื่มน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ก่อนและหลังกินยารักษาไทรอยด์
- น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์อาจมีปฏิกิริยากับยาขับปัสสาวะ ยาระบาย ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากมีโครเมียมที่อาจเปลี่ยนแปลงระดับอินซูลินได้
บ่อยครั้งที่ผู้ผลิตอาหารเสริมต่าง ๆ มักจะนำเอาผลวิจัยต่าง ๆ มาอ้าง เช่น ผลการทดลองในหลอดทดลองหรือในสัตว์ ว่ามีประโยชน์สารพัด สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่คุณต้องเข้าใจนะครับว่าร่างกายมนุษย์กับสัตว์ทดลองมันไม่เหมือนกัน หากได้ผลในสัตว์หรือหลอดทดลอง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้ผลกับมนุษย์เสมอไป ซึ่งบริษัทผู้ผลิตอาหารเสริมส่วนใหญ่ (เกือบทุกราย) ก็มักจะเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ที่เป็นเฉพาะด้านดีมานำเสนอ แต่ไม่เคยนำผลเสียมาบอกให้คุณรู้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือมีหลายงานวิจัยที่ให้ผลขัดแย้งกันเองหรือตรงข้ามกัน
การที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ ได้ผ่านการรับรองจาก อย. และมีการบ่งบอกว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มันไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย 100% แต่อาหารเสริมที่ผ่าน อย. นั้นแค่หมายถึงการรับรองว่าไม่มีสารที่เป็นอันตรายตกค้างอยู่ต่างหาก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
ความจริงแล้วอาหารเสริมสามารถผ่านอย. ได้ง่ายมากครับ แค่พิสูจน์ว่าไม่มีสารพิษก็ผ่านแล้ว หลาย ๆ คนต่างก็คิดว่าแอปเปิ้ลไซเดอร์มันไม่มีอันตราย แม้แต่ อย.เองก็ตาม เพราะเคยมีกรณีที่หลอดอาหารทะลุเนื่องจากการรับประทานแอปเปิ้ลไซเดอร์มาแล้ว เพราะมีกรดอะซิติกที่ค่อนข้างสูงและรุนแรง แต่ อย.ก็ต้องปล่อยให้ผ่านไปเนื่องจากมันไม่ใช่สารพิษ
อาหารเสริมที่ผ่าน อย.ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลดีหรือบอกถึงประสิทธิภาพในการช่วยลดน้ำหนักแต่อย่างใด เพราะ อย. มีหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบความปลอดภัยของผู้บริโภคเท่านั้น และไม่มีหน้าที่ที่จะรู้ว่ามันจะได้ผลหรือมีประสิทธิภาพอย่างไร เพราะอาหารเสริมไม่ใช่ยา แม้แต่ยาที่ขึ้นชื่อว่าปลอดภัยก็ยังมีคำเตือน แต่สำหรับอาหารเสริมนั้นจะไม่มีคำเตือนหรือผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคได้
แหล่งอ้างอิง : cheewajit.com, แพทย์หญิง จูดี้ โกลด์สโตน (Judi Goldstone) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักและชะลอวัย สมาชิกสมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน, นายแพทย์ แอนดรูว์ ไวล์ (Andrew Weil), วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)