เปล้าใหญ่
เปล้าใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton persimilis Müll.Arg. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Croton oblongifolius Roxb., Croton roxburghii N.P.Balakr., Oxydectes oblongifolia Kuntze, Oxydectes persimilis (Müll.Arg.) Kuntze)[1],[2],[3],[4],[5],[8] จัดอยู่ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE)[1]
สมุนไพรเปล้าใหญ่ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เปาะ (กำแพงเพชร), ควะวู (กาญจนบุรี), เปล้าหลวง (ภาคเหนือ), เซ่งเค่คัง สะกาวา สกาวา ส่ากูวะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ห้าเยิ่ง (ชาน-แม่ฮ่องสอน), คัวะวู, เปวะ เป็นต้น[1],[6],[8] โดยมีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย เนปาล ภูฎาน บังคลาเทศ ภูมิภาคอินโดจีน พม่า และในประเทศไทย โดยสามารถพบได้ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ มักขึ้นในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าเต็งรัง[9]
ลักษณะของเปล้าใหญ่
- ต้นเปล้าใหญ่ หรือ ต้นเปล้าหลวง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เป็นไม้ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 8 เมตร เปลือกของลำต้นเรียบ เป็นสีน้ำตาล มีรอยแตกบ้างเล็กน้อย ที่กิ่งก้านค่อนข้างใหญ่ ตามใบอ่อน ยอดอ่อน และช่อดอก จะมีเกล็ดสีเทาเป็นแผ่นเล็ก ๆ ปกคลุมอยู่ทั่วไป โดยมักพบได้ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง[1] ป่าผลัดใบ ที่มีความสูงไม่เกิน 950 เมตร[2]
- ใบเปล้าใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน รูปวงรีแกมขอบขนาน หรือเป็นรูปใบหอก ใบรียาว มีความกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-30 เซนติเมตร โคนใบและปลายใบแหลมหรือมน ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟันไม่สม่ำเสมอ ลักษณะของใบจะลู่ลง ใบอ่อนจะเป็นสีน้ำตาล ส่วนใบแก่ค่อนข้างเกลี้ยง หลังใบเรียบมีสีเขียวเข้ม ท้องใบมีขนไม่มาก ใบเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มก่อนร่วงหล่นลงมา ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1.3-6 เซนติเมตร และฐานใบมีต่อม 2 ต่อม[1]
- ดอกเปล้าใหญ่ ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกมีหลายช่อ ช่อดอกมีความยาวประมาณ 12-22 เซนติเมตร ลักษณะตั้งตรง ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกันหรือแยกต้น ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกมีสีเหลืองแกมสีเขียว ดอกจะทยอยบานจากโคนช่อไปหาปลายช่อ โดยดอกตัวผู้เป็นสีขาวใส มีกลีบดอกสั้นจำนวน 5 กลีบ ที่โคนกลีบดอกจะติดกัน มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปขอบขนานกว้าง ๆ 5 กลีบ หลังกลีบเลี้ยงมีเกล็ดสีน้ำตาล โดยกลีบดอกยาวเท่ากับกลีบเลี้ยง มีขนอยู่หนาแน่น ที่ฐานดอกมีต่อมลักษณะกลม ๆ 5 ต่อม มีเกสรตัวผู้ 12 อัน เกลี้ยง ส่วนดอกตัวเมียเป็นสีเหลืองแกมเขียว มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบเล็ก ลักษณะเป็นรูปยาวแคบ ขอบกลีบจะมีขน ที่โคนกลีบดอกจะติดกัน ปลายกลีบดอกแหลม กลีบเลี้ยงมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน และรังไข่เป็นรูปขอบขนาน มีเกล็ด[1] โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[2],[3]
- ผลเปล้าใหญ่ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่ผลจะแห้งแตก ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมแบน มีพู 3 พู มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ผิวเรียบ ด้านบนแบน มีเกล็ดเล็กห่างกัน ในผลมีเมล็ดลักษณะแบนรี ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตร[1],[9] โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[2],[3]
สรรพคุณของเปล้าใหญ่
- เปล้าใหญ่ช่วยบำรุงโลหิต (เปลือกต้นและใบ)[1],[5]
- ใบใช้เป็นยาบำรุงกำลัง (ใบ)[1]
- ใบมีรสร้อน เมาเอียน ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (ใบ)[1],[5]
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ราก)[1]
- ช่วยแก้อาการวิงเวียน ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ด้วยการใช้ใบเปล้าใหญ่เข้ายากับใบหนาด ตะไคร้หอม และเครือส้มลม ใช้ต้มกับน้ำดื่มและอาบ (ใบ)[1]
- ช่วยแก้เลือดร้อน (เปลือกต้นและกระพี้)[1]
- น้ำต้มเปลือกต้นใช้กินเป็นยาแก้ไข้ (เปลือกต้น)[1]
- ช่วยแก้กระหาย (ใบ)[1]
- ช่วยแก้อาการร้อนใน (ราก)[1]
- ช่วยแก้เสมหะ (ใบ)[1]
- ช่วยแก้ลมอันผูกเป็นก้อนให้กระจาย (แก่น)[1]
- ช่วยขับลม กระจายลม (ราก)[1]
- ใบใช้เข้าเครื่องยาแก้อาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ[3] ช่วยแก้ลมจุกเสียด (ใบ)[1]
- ช่วยแก้อาการท้องเสีย (เปลือกต้นและใบ)[1],[5]
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้อาการปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด (ราก)[1]
- เปลือกต้นและกระพี้มีรสร้อน เมาเย็น ใช้เป็นยาช่วยในการย่อยอาหาร (เปลือกต้นและกระพี้)[1],[5]
- เมล็ดใช้กินเป็นยาถ่าย (เมล็ด)[1]
- ดอกมีรสร้อนใช้เป็นยาขับพยาธิ (ดอก)[1],[5] ส่วนแก่นใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน (แก่น)[1]
- เนื้อไม้เปล้าใหญ่ช่วยแก้ริดสีดวงลำไส้และริดสีดวงทวารหนัก (เนื้อไม้)[1]
- น้ำต้มเปลือกต้นใช้กินเป็นยาแก้ตับอักเสบ (เปลือกต้น)[1]
- ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ (ราก)[1]
- แก่นมีรสร้อน เมาเย็น ช่วยขับเลือด (แก่น)[1]
- ผลมีรสร้อน เมาเอียน ใช้ดองกับสุราดื่มเป็นยาขับเลือดหลังคลอด ช่วยขับน้ำคาวปลา (ผล)[1],[5]
- น้ำต้มใบใช้ชำระล้างบาดแผล (ใบ)[1]
- รากใช้แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้น้ำเหลืองเสีย รักษาโรคเรื้อน มะเร็ง คุดทะราด ทำให้น้ำเหลืองแห้ง (ราก)[1]
- ใบใช้ต้มน้ำอาบ ช่วยแก้ผดผื่นคัน แก้อาการคันตามตัว (ใบ)[1]
- ช่วยขับหนองให้ตก (แก่น)[1]
- ใบนำมาย่างไฟรองนอนสำหรับคนที่รถล้ม จะช่วยแก้อาการฟกช้ำ (ใบ)[3]
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มกินแก้โรคเหน็บชา (ราก)[1]
- รากใช้ต้มกินแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือจะใช้ต้นเปล้าใหญ่ผสมกับรากส้มลม ต้นมะดูก ต้นเล็บแมว ต้นตับเต่าโคก ต้นมะเดื่ออุทุมพร ต้นกำแพงเจ็ดชั้น ต้นกำจาย และต้นกะเจียน ใช้ต้มเป็นน้ำดื่มก็ได้ (ต้น, ราก)[1],[4]
- น้ำต้มเปลือกต้นใช้กินเป็นยาแก้อาการปวดข้อและอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ (เปลือกต้น)[1]
- ใบใช้ต้มกับน้ำอาบสำหรับสตรีหลังคลอด (ใบ)[2] หรือใช้กิ่ง ใบ และลำต้น นำมาต้มกับน้ำอาบสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร จะช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น (กิ่ง, ใบ, ต้น)[4]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของเปล้าใหญ่
- สารสกัดของลำต้นเปล้าใหญ่ด้วยแอลกอฮอล์ 50% พบว่ามีสารองค์ประกอบอยู่ในกลุ่มแทนนินส์ ทั้งที่เป็น Condensed tannins และ Hydrolysable tannins ในปริมาณไม่สูงมากนัก มีสารฟลาโวนอยด์ประเภท Anthocyanidin, Catechin, Dihydroflavonol, Flavonol, Hydroflavonoids และ Leucoanthocyanidin[3]
- และสารสกัดจากลำต้นยังมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง (EC50 = 36.05มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก (ที่ความเข้มข้น 8 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus ที่ทำให้เกิดโรคแผลฝีหนองและเชื้อ V. cholerae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอหิวาตกโรค (ที่ความเข้มข้น 3.125 มก./มล.) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans ที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก (ที่ความเข้มข้น 0.39 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย Shigella ที่ทำให้เกิดโรคบิด (ที่ความเข้มข้น 12.5 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1 (IC50 = 40.06 มก./มล.) มีฤทธิ์กระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดทีเซลล์และบีเซลล์ (ที่ความเข้มข้น 3.13-200 มก./มล.) มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งตับปานกลาง (IC50 = 378.4±18.7 มก./มล.) โดยพบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติบ้าง แต่ไม่พบว่าจะสามารถเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตับตายแบบอะพอพโทซิสเมื่อเซลล์ได้รับสารสกัดนาน 1 วัน[3]
- สารสกัดจากเปล้าใหญ่นี้ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ทั้งในภาวะที่มีและไม่มีเอนไซม์ แต่สามารถลดฤทธิ์ในการก่อกลายพันธุ์ของสารมาตรฐานที่ทดสอบได้เป็นอย่างดี เมื่อมีการทำงานของเอนไซม์ในตับร่วมด้วย โดยมีค่า IC50 = 5.78 และ 4.04 มก./plate[3]
ประโยชน์ของเปล้าใหญ่
- ผลแก่ใช้รับประทานได้[1]
- ผลอ่อนใช้ย้อมผ้า[1]
- ไม้เปล้าใหญ่ สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนต้นใช้เลี้ยงครั่ง[8]
- น้ำยางจากใบใช้ทาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากในช่วงฤดูหนาว[4]
- ใช้เข้ายาอบสมุนไพร ซึ่งเป็นตำรับยาอบสมุนไพรสูตรบำรุงผิวพรรณให้มีน้ำมีนวล ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย แก้อาการปวดเมื่อย แก้ผดผื่นคัน ขับพิษออกทางผิวหนัง โดยมีใบเปล้าใหญ่เป็นส่วนประกอบ และมีสมุนไพรอื่น ๆ อีก คือ กระชาย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ไพล ใบมะกรูด ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบหนาด และว่านน้ำ แต่ไม่ควรใช้ตำรับยานี้กับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง สตรีตั้งครรภ์ เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ผู้ที่ไม่สบาย ร่างกายอ่อนเพลีย อดนอน อดอาหาร เป็นไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และผู้ที่เป็นโรคไต[7]
เอกสารอ้างอิง
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เปล้าใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [14 ธ.ค. 2013].
- ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “เปล้าใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org. [14 ธ.ค. 2013].
- โครงการจัดทำฐานข้อมูลพืชสมุนไพรที่สำรวจและวิจัยภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. สำนักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. “เปล้าใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: orip.kku.ac.th/thaiherbs/. [14 ธ.ค. 2013].
- โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “Croton roxburghii N.P. Balakr.“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [14 ธ.ค. 2013].
- อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “เปล้าใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri. [14 ธ.ค. 2013].
- ฐานข้อมูลสมุนไพร ในฐานสมุนไพรแม่โจ้ (ชีวกโกมารภัจจ์) ในสวนพฤกษศาสตร์กล้วยไม้ร้อยปีสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่โจ้. “รายงานแสดงลักษณะของพืชสมุนไพร มหาวิทยาลัยแม่โจ้“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.mmp.mju.ac.th . [14 ธ.ค. 2013].
- มูลนิธิสุขภาพไทย. “อบสมุนไพรบำรุงผิวพรรณ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaihof.org. [14 ธ.ค. 2013].
- ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “เปล้าใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: biodiversity.forest.go.th. [14 ธ.ค. 2013].
- สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “เปล้าหลวง“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/. [14 ธ.ค. 2013].
ภาพประกอบ : www.thaicrudedrug.com (by Sudarat Homhual), www.phargarden.com (by Sudarat Homhual), www.qsbg.org
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)