79 เคล็ดลับลดน้ำหนัก (ฉบับจอมขี้เกียจ) ไม่อดไม่ออกก็ผอมได้ !!

ลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนัก เป็นความพยายามที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็ล้มเหลวกับมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แม้บางคนจะมีความตั้งใจจริง แต่ก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ตามที่หวังเอาไว้ เพราะส่วนหนึ่งนั้นมาจากการตั้งใจที่ผิดวิธี มีความเชื่อแบบผิด ๆ และมีพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อน้ำหนักแบบที่คุณไม่รู้ตัว บทความนี้จะเผยเคล็ดลับ และทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผล โดยที่คุณไม่ต้องอดอาหารและไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเลยก็ได้

เอาล่ะ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าปัญหาเรื่องความอ้วนที่ประสบอยู่ในขณะนี้มันเป็นเรื่องที่ยากเกินจะแก้ไข หรือเกินความพยายามของคุณ ผมอยากจะบอกคุณว่า ความจริงแล้วการลดน้ำหนักนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลาย ๆ คนกังวลแต่อย่างใด เพียงแต่เราต้องรู้วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง แล้วนำมันไปปฏิบัติใช้ให้ได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ มันก็จะช่วยทำให้คุณได้พบกับรูปร่างใหม่ที่ผอมเพรียวอย่างคนมีสุขภาพดีได้ ซึ่งรับรองได้เลยว่า 79 วิธีนี้จะช่วยทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักอย่างได้ผลในระยะยาวอย่างแน่นอน (จริง ๆ มีเยอะกว่านี้มากครับ แล้วจะนำมารวบรวมเพิ่มให้ภายหลังนะครับ)

เคล็ดลับการลดน้ำหนัก

  1. ทำไมลดน้ำหนักไม่ลง ? มีคนบางประเภทที่พยายามลดความอ้วน แต่ก็ไม่สามารถลดความอ้วนได้ เพราะว่านิสัยของตัวเองนั้นเป็นเหตุ ดังนั้น หากเราต้องการจะลดความอ้วน เราก็ควรละเลิกนิสัยดังต่อไปนี้
    • เลือกกิน เฉพาะอาหารที่ตนชอบ โดยไม่ยอมกินอาหารแบบอื่นที่มีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนักเลย ดังนั้น แม้ว่าเราจะไม่ชอบกินอาหารชนิดไหน แต่ถ้ามันมีประโยชน์ก็ให้ฝืนกินไปเถอะ
    • กินไม่เลือก คุณเป็นคนที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้าหรือเปล่า ไม่ว่าอาหารนั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ดังนั้น คุณควรปรับระดับการกินมาอยู่ที่ความพอดี กินอย่างพอเพียง ไม่มากหรือน้อยเกินไป
    • ความอดทนต่ำ ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ช่วยทำให้เราประสบความสำเร็จ เราจึงต้องมีความอดทนต่อสิ่งยั่วยุต่าง ๆ อย่างเช่นอาหารที่ให้คุณค่าทางอาหารต่ำและมีปริมาณของน้ำตาลและไขมันสูงให้ได้
    • ไม่มีความพยายาม การออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งสำคัญรองลงมาจากการควบคุมอาหาร ถ้าคุณออกกำลังกายบ้างไม่ออกบ้าง ในที่สุดเราก็จะกลายเป็นไม่ออกกำลังกายไปเลย ดังนั้น เราจะต้องบังคับตัวเองให้ได้ และพยายามจัดตารางออกกำลังกายในแต่ละวัน
    • เป็นคนขี้เกียจ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ขี้เกียจมักจะอ้วนก็ไม่ผิด เพราะว่าวัน ๆ จะไม่ค่อยได้ทำอะไร นอกจากกินแล้วก็นอนดูทีวี ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากอ้วนก็ให้ลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่บ้าง เพื่อเป็นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
    • ชอบผัดวันประกันพรุ่ง การคิดว่าพรุ่งนี้จะลดความอ้วน เป็นความคิดที่แย่และผิด เพราะส่วนใหญ่ของผู้ที่คิดแบบนี้จะไม่สามารถลดความอ้วนได้ประสบความสำเร็จ เพราะมีความอดทนและความพยายามไม่พอ ดังนั้น ถ้าเราอยากลดน้ำหนักให้ได้ ก็ควรจะตั้งอกตั้งใจทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้
    • ท้อแท้ง่าย แม้ว่าคุณจะลดน้ำหนักได้ช้า ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปบ้าง แต่ก็อย่าท้อใจเด็ดขาด เพราะการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะไม่ได้ผลในทันที เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น น้ำหนักของเราที่เคยมาจากไขมันส่วนเกิน มันก็จะกลายเป็นน้ำหนักที่มาจากกล้ามเนื้อแทน
    • มักเสียดายของ ไม่ว่าจะซื้อขนมหรือว่ากินอาหารที่ไหน เมื่อมีของเหลืออยู่ก็จะพยายามกินให้หมด แม้ว่าเราจะรู้สึกเสียดายแค่ไหน แต่ถ้ารู้สึกเริ่มอิ่มหรือว่ากินอย่างพอเพียงแล้วก็ควรจะหยุดกิน เพราะถ้าเรากินอาหารมากเกินไป จะทำให้อาหารเหล่านั้นกลายเป็นของเหลือในร่างกายที่จะแปรเปลี่ยนเป็นไขมันส่วนเกิน
  2. สร้างกำลังใจและแรงผลักดัน การลดน้ำหนักจะต้องใช้แรงใจและแรงผลักดันอย่างมาก เพราะเราต้องทนกับสิ่งยั่วยุต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้เรานึกอยู่เสมอว่า สิ่งยั่วยุเหล่านั้นจะทำให้เราอ้วนและดูน่าเกลียด ซึ่งเราอาจจะมีชุดที่เราชอบมาก ๆ และคิดว่าน่าจะเหมาะกับเราถ้าเราผอมกว่านี้ ดังนั้น ให้เรานำชุดมาแขวนเอาไว้หน้ากระจกแล้วก็ท่องว่าเราจะต้องใส่ชุดนี้ให้ได้ แต่อย่าเอาชุดต่างไซส์กันจนเกินไปมาเป็นแรงผลักดันล่ะ เพราะเราอาจจะหมดกำลังใจไปก่อน
  3. ตั้งเป้าหมายอย่างสมเหตุสมผล เช่น เราหนัก 55 กิโลฯ แต่สูงเพียง 155 เซนติเมตร ซึ่งดูอวบไปนิด เราอาจตั้งเป้าหมายใหญ่ว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโลกรัม จากนั้นเราอาจจะตั้งเป้าหมายย่อยอีกว่าในเดือนนี้จะลดให้ได้ก่อนสัก 3 กิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ เมื่อครบเดือนและเราสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ เราก็จะมีกำลังใจที่จะลดน้ำหนักต่อไป (อย่าพยายามตั้งเป้าหมายที่ไกลเกินไป เพราะถ้าเราทำไม่ได้ เราจะท้อแท้และหมดกำลังใจเสียก่อน)
  4. สะกดจิตตัวเอง เมื่อเราตัดสินใจที่จะลดความอ้วนแล้ว เราคงจะไม่พอใจรูปร่างของตัวเองสักเท่าไร การหันมามองตัวเองในกระจกทุกวันก็เท่ากับเป็นการย้ำเตือนตัวเองให้ลดน้ำหนักได้แล้ว และเมื่อเราอยากกินอะไรที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ก็ให้มองกระจกดูตัวเองพร้อมกับถามตัวเองว่า หากเรากินเจ้าสิ่งนี้เข้าไป เราจะต้องรับพลังงานเข้าไปกี่กิโลแคลอรี และต้องออกกำลังกายนานแค่ไหนถึงจะเผาผลาญไปหมด หรืออาจมีแผนสำรองด้วยการเอารูปตอนที่เราอ้วนสุด ๆ ขึ้นมาดู แล้วถามตัวเองซ้ำว่า อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกครั้งหรือ ? เมื่อถามตัวเองได้อย่างนั้น ก็สรุปในใจตัวเองว่า ในเมื่อผลร้ายมันมากกว่าผลดี แล้วเรายังอยากกินมันอยู่ไหม ? ถ้าคำตอบคือไม่ ก็แสดงว่าเราสะกดจิตตัวเองสำเร็จแล้วล่ะ
  5. อย่าฝืนตัวเองจนตบะแตก เป็นกับหลาย ๆ คนที่เวลาลดความอ้วนจะพยายามอดทุกอย่าง แม้แต่ของที่ตัวเองชอบมาก ๆ แต่ยิ่งกินไม่ได้ ทำให้ในใจก็ยิ่งโหยหา พอเวลาผ่านไป วันหนึ่งเกิดตบะแตกจนกินอาหารที่ตัวเองชอบอย่างแหลกลาญ แล้วมานั่งเสียใจภายหลัง ทำให้บางคนถึงกับเลิกลดน้ำหนักไปเลย เพราะหมดกำลังใจ ซึ่งในที่นี้จะขอแนะนำว่าเราไม่ควรจะลดความอ้วนกันแบบหักดิบ แต่จะควรลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเราต้องการจะกินของโปรดก็ให้กินได้ แต่กินทีละน้อย อาจจะแค่ 2-3 คำ และก็ห้ามกินบ่อย ให้กินแค่สัปดาห์ละครั้ง จากนั้นจึงค่อย ๆ ห่างหายกันไปจนกระทั่งนาน ๆ ทีถึงจะอยากกิน
  6. จงท่องให้ขึ้นใจ หากใครยังค้นหาแรงจูงใจในการลดน้ำหนักไม่ได้หรือกำลังพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองโดยไม่ลดน้ำหนัก ก็ขอให้ท่องประโยคนี้ไว้เลยว่า “น้ำหนักที่เกินพอดีนอกจากจะมีผลด้านความสวยงามทำให้ดูไม่ดีแล้ว ทำอะไรก็ขาดความคล่องตัว เหนื่อยง่ายกว่าคนปกติ มันยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้สารพัด เช่น โรคหัวใจ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็งทรวงอก โรคไขข้อเสื่อม ฯลฯ
  7. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ถ้าหากเรามีเพื่อน เวลาที่เราเกิดตบะแตกขึ้นมา เพื่อนก็จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกและความอยากของเราไม่ให้มีมากจนเกินไปได้ เวลากินก็กินด้วยกัน ก็จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น หรือเวลาไปออกกำลังกายก็จะได้ไม่โดดเดี่ยว เพราะอย่างไรสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วล่ะ หรือจะออกกำลังกายภายในครอบครัวก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเช่นกัน ที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราอาจจะชวนลูก ชวนหลาน พี่น้อง หรือพ่อแม่มาเล่นกีฬาด้วยกันก็ได้ เช่น เดินเล่นในสวนสาธารณะ วิ่งตอนเช้า ตีแบดฯ ตอนเช้า ฯลฯ
    เคล็ดลับการลดความอ้วน
  8. ใช้ความรักให้เป็นประโยชน์ ในช่วงที่เรามีความรัก เราคงอยากจะสวยเพื่อคนรักของเรา และอยากให้คนรักมองเราว่าสวยอยู่ตลอดเวลาจริงไหม ซึ่งเราก็อาศัยหลักตรงนี้แหละเป็นแรงผลักดัน หรือจะมีคนรักคอยช่วยเป็นกำลังใจในการลดน้ำหนักของเรา และคอยเตือนเมื่อเรากำลังจะตบะแตกหรือกำลังออกนอกลู่นอกทางก็ได้
  9. กางเกงยีนส์ตัวเก่าตัวช่วยเตือนสติ หลาย ๆ คนคงจะมีช่วงที่ผอมอยู่บ้าง เมื่อเราผอมอยู่ในสัดส่วนที่น่าพอใจแล้วก็ให้คุณไปเลือกซื้อกางเกงยีนส์ตัวที่พอดีมาใส่ จากนั้นก็ให้ใส่ไปตลอด พอกางเกงเริ่มฟิตและคับนั่นก็แสดงว่าเราเริ่มที่จะอ้วน เราจะได้รู้ตัวและลดปริมาณการกินอาหารและควบคุมน้ำหนักให้ดียิ่งขึ้น
  10. ให้รางวัลตัวเอง หากเราลดน้ำหนักได้สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้ ควรจะให้รางวัลกับตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ หนังสือเล่มโปรด หรืออะไรก็ได้ที่เราอยากได้ ที่สมเหตุสมผลกับเป้าหมายที่เราทำได้ (แต่รางวัลห้ามเป็นของกินหรือขนมเด็ดขาด) เพื่อเป็นการตอกย้ำความรู้สึกว่าเราสามารถทำได้และทำได้ดีด้วย
  11. รีบลดน้ำหนักตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เราต้องยอมรับว่า เมื่อเราแก่ตัวขึ้น ผิวของเราก็จะเริ่มแก่ตัวลงด้วย ถ้าเราลดน้ำหนักเมื่อตอนอายุมาก ผิวหนังที่ยุบตัวลงไปก็จะมีสภาพเหี่ยวย่น ไม่สวยงามและเต่งตึง ดังนั้นหากยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวก็ควรรีบลดน้ำหนักกันแต่เนิ่น ๆ
  12. ไขมันส่วนเกิน หลายคนชะล่าใจว่าตัวเองไม่อ้วนจึงกินอาหารกันอย่างไม่ระมัดระวัง โปรดจำไว้ว่า คนไม่อ้วนไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีไขมันส่วนเกิน ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากอ้วนแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วล่ะก็ คุณควรจะลด ละ เลิกอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลเป็นส่วนผสม แล้วหันมากินอาหารที่มีเส้นใยสูงและไม่มีไขมัน เช่น ผัก ผลไม้ ปลา เป็นต้น
  13. คอเลสเตอรอล ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของเราไม่จำเป็นต้องกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลเข้าไปเลย เพราะร่างกายสามารถผลิตคอเลสตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจำไว้เลยว่า “คอเลสเตอรอลทุกมิลลิกรัมที่เรากินเข้าไปเป็นคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการทั้งสิ้น” (หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าคอเลสเตอรอลกับไขมัน คือสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้วมันเป็นคนละตัวและมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ซึ่งคอเลสเตอรอลจะอยู่ในเนื้อสัตว์ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์จากเนื้อ นม ไข่ โดยจะแตกต่างกับไขมันตรงที่คอเลสเตอรอลนั้นไม่มีแคลอรี หรือพลังงานเลยแม้แต่น้อย เมื่อร่างกายรับเข้ามามันจะเข้าไปเกาะตามผนังเลือดและเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ)
  14. อย่าล้วงคอ เมื่อกินอาหารเข้าไปเพื่อสนองความอยากของตัวเอง แล้วจึงใช้นิ้วล้วงเข้าไปในคอ เพื่อทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนเอาหารออกมา แม้วิธีนี้มันจะทำให้เราลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็เป็นการทำลายสุขภาพของเราอย่างมากเลยล่ะ เช่น ทำให้ร่างกายขาดแคลเซียม ระบบย่อยอาหารรวนจนทำให้เรามีปัญหากับลำไส้ และการที่เราไม่ได้รับอาหารยังอาจทำให้หัวใจมีปัญหา ทำให้เกิดโรคที่บริเวณเนื้อเยื่อหัวใจและบริเวณไตได้
  15. ลดน้ำหนักแค่ไหนกำลังดี ? มีหลายคนใจร้อนและอยากลดน้ำหนักของตัวเองให้ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วการลดน้ำหนักนั้นไม่ควรหักโหมลดทีละมาก ๆ ใน 1 สัปดาห์เราควรจะลดน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น เพื่อไม่ให้ตัวของเราเองดูโทรมหรือว่าแย่จนเกินไป แต่สำหรับสาวทำงานที่ต้องใช้พลังงานในการทำงานทั้งวันอยู่แล้ว โปรแกรมการลดน้ำหนักควรเป็นไปอย่างยืดหยุ่นและกินอาหารให้ครบทุกมื้อและครบทั้งห้าหมู่ ให้ลดและงดอาหารประเภทที่ทำให้เราอ้วนได้แทน
  16. เราควรจะออกกำลังกายหนักแค่ไหน ? การออกกำลังกายนั้น เราควรจะดูที่สภาพร่างกายของเราเป็นหลัก ถ้าไม่เคยออกกำลังกายเลย ก็ควรจะเริ่มจากการออกกำลังกายเบา ๆ ก่อน เพราะถ้าเราหักโหมมากเกินไป ร่างกายจะรับไม่ไหว และถึงขั้นล้มป่วยได้เลย แต่ถ้าถามว่าออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะพอดี คำตอบก็คือ เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยหอบจนทนไม่ไหว เมื่อเวลาผ่านไปเราจะออกกำลังกายได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เอง
  17. ต้องกินเท่าไรถึงจะเรียกว่าเป็นการลดน้ำหนัก ? หากเราไม่ได้ซีเรียสในการลดน้ำหนักมากนัก หรือแค่ต้องการให้น้ำหนักค่อย ๆ ลดลงไปอย่างพอดีและไม่ลำบากจนเกินไปนัก ในช่วงแรก ๆ ก็ให้พยายามลดปริมาณอาหาร จากที่เคยกิน 4 ส่วนก็ให้ลดเหลือ 3 ส่วน พอครบ 1 เดือนก็ให้พยายามลดปริมาณลงไปเรื่อย ๆ แบบที่กินแล้วเรารู้สึกอิ่มพอดี ไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ถ้าเราต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเราก็ต้องมานั่งคำนวณปริมาณแคลอรีที่เราต้องกิน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ควรจะกินวันละ 1,000 แคลอรี ส่วนผู้ชายก็ให้กินประมาณ 1,500 แคลอรีพอ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานของแต่ละบุคคลด้วย ถ้าทำงานที่ต้องใช้พลังงานมากก็ควรจะกินมากขึ้นหน่อย
  18. การควบคุมน้ำหนักไม่ใช่การทรมานตัวเอง ความจริงแล้วการควบคุมน้ำหนักอย่างพอดีนั้นเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีต่างหาก แต่การกินอะไรตามใจปากจนปล่อยให้ตัวเองอ้วนต่างหากที่เป็นการทรมานร่างกายบนความสุขของตัวเอง
  19. ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ในความเป็นจริงแล้ว สรีระ โครงสร้าง และส่วนประกอบของผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกัน ผู้หญิงจะมีไขมันมากกว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงไม่มีพื้นที่สำหรับกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ เหมือนพวกผู้ชาย ดังนั้นการออกกำลังกายของผู้หญิงจึงไม่เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ แต่จะเป็นการกระชับสัดส่วนให้ดูดีมากกว่า
  20. เหงื่อกับการลดน้ำหนัก การที่ร่างกายขับเหงื่อออกมา เป็นเพราะร่างกายของเรากำลังเผาผลาญพลังงาน และเหงื่อก็คือน้ำที่อยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ไขมันที่ซึมออกมา การที่เหงื่อออกมาก ๆ จึงไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักเราจะลดน้อยลงไป หรือถ้าเราออกกำลังกายแล้วเหงื่อออกเยอะ ๆ แล้วไปชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่าน้ำหนักลดลง ก็ไม่ได้หมายความว่าไขมันที่พุงจะหายไป แต่มันเป็นปริมาณน้ำในร่างกายต่างหากที่เสียไป เมื่อเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักของเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
  21. อ่านฉลากก่อนซื้อ ตามกฎหมายแล้วอาหารทุกชนิดที่ผ่าน อย. จะต้องมีฉลากบอกโภชนาการ โดยฉลากนี้จะบอกว่าอาหารชนิดนี้มีไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และคิดรวมกันแล้วให้พลังงานกี่แคลอรี ซึ่งจะสะดวกสำหรับการคำนวณของเรา เพื่อจะได้รู้ได้ทันทีว่าอาหารชนิดใดไม่ควรรับประทาน
  22. แปรงฟัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อการแปรงฟันจะช่วยลดความอยากอาหารได้ ดังนั้น หลังจากกินอาหารมื้อเย็นแล้ว ก็ให้เราแปรงฟันของเราให้สะอาด วิธีนี้มันจะช่วยลดความอยากอาหารลงได้ เพราะรสชาติของยาสีฟันที่เราแปรงเข้าไป มันช่วยไม่ให้เราต้องมานั่งกินจุบจิบ และยังเป็นเครื่องเตือนใจเราอีกด้วยว่าถึงเวลาที่เราควรจะหยุดกินอะไรได้แล้ว เพราะว่าเราแปรงฟันแล้วนั่นเอง
  23. นอนหลับก็ช่วยลดน้ำหนักได้นะ หลาย ๆ คนอาจจะงงว่ามันลดได้ยังไง นั่นเป็นเพราะการนอนหลับอย่างเต็มที่จะทำให้ร่างกายของเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการเผาผลาญได้มากกว่าปกติถึง 40%
  24. เครียร์ตู้เย็นซะ ด้วยการโละเอาของที่กินแล้วอ้วนในตู้เย็นออกให้หมด ไม่ว่าจะเป็นเนย แยม ขนมปัง ครีม หรืออะไรก็แล้วแต่ หากมันทำให้อ้วนก็ให้เอามันออกจากตู้เย็นให้หมด จากนั้นก็ให้ไปซื้อผลไม้ต่าง ๆ ที่กินแล้วไม่อ้วนติดตู้เย็นไว้แทนยามเราหิว
    เคล็ดลับลดความอ้วน
  25. ลดขนาดจานให้เล็กลง หากเราเป็นคนหนึ่งที่เคยชอบกินข้าวจานใหญ่ ๆ ให้ลองเปลี่ยนใช้จานที่มีขนาดเล็ก แล้วกินแบบเบิ้ล 3 จานแทน เฮ้ยยย…ไม่ใช่ล่ะ ! เพราะถ้าเรากินข้าวจานเล็ก ๆ ปริมาณข้าวก็จะน้อยลง เพราะขนาดของจานที่เล็กลงจะทำให้เรารู้สึกว่าเราได้กินข้าวไปมากพอแล้ว (เป็นหลักจิตวิทยาเล็ก ๆ น้อย ๆ)
  26. ซื้อของเข้าบ้าน ก่อนออกจากบ้านไปซื้อของทุกครั้ง เราควรจดรายการที่ต้องการจะซื้อหรือจำเป็นต้องซื้อลงในกระดาษ เพื่อให้เราแน่ใจว่าอาหารดังกล่าวนั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อการควบคุมน้ำหนัก เมื่อมาถึงร้านแล้ว ไม่ว่าจะเจอของยั่วตายั่วใจแค่ไหนก็ให้ยั้งใจและซื้อของตามรายการที่จดมาเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเตือนสติของเราไม่ให้ซื้อของอ้วน ๆ มาใส่ในตู้เย็นได้
  27. ฝึกให้กระเพาะเล็กลง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเราสามารถฝึกให้กระเพาะของเราเล็กลงได้ด้วยการกินอาหารให้น้อยและ “เป็นประจำ” แล้วกระเพาะของเราจะบีบตัวลงเพื่อให้พอดีกับปริมาณที่เคยเข้ามาเอง หากทำครบสัปดาห์ จากที่เคยกินข้าวเป็นกะละมัง ก็จะกลายเป็นจานเล็ก ๆ ได้โดยที่เราไม่ต้องฝืนใจอะไรเลย
  28. หมากฝรั่งปลอดน้ำตาล ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ปากว่าไม่ได้ ก็ให้พกหมากฝรั่งปลอดน้ำตาลเอาไว้ เวลาอยากกินนู่นนี่ ก็ให้แกะหมากฝรั่งมาเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความอยากอาหารลงไปได้ในระดับหนึ่ง
  1. ห้ามเด็ดขาดกับยาลดความอ้วน ยาลดความอ้วนที่เราเห็นในปัจจุบัน มันไม่ใช่ยาวิเศษที่ทำให้น้ำหนักลดได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่เป็นยาพิษที่ทำลายสุขภาพของเรามากกว่า เพราะยาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะทำให้เราเบื่ออาหาร ร่างกายหมดเรี่ยวแรง นอกจากนั้นยังมีผลต่อจิตใจอีกด้วย อีกอย่างยาลดความอ้วนก็ยังเป็นยาที่มีผลเพียงระยะสั้น เพราะถ้าคุณเลิกกิน เราก็จะมีความอยากอาหารมากขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้ผู้ที่กินยานั้นจะกลับมาอ้วนยิ่งกว่าเดิม
  2. ดื่มชากาแฟอย่างไรไม่ให้อ้วน ความจริงแล้วตัวน้ำชาและกาแฟนั้นไม่มีอะไรที่ทำให้เราอ้วนได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้เราอ้วนนั้นก็คือน้ำตาล ครีมเทียม หรือว่านมที่ใส่ลงไปต่างหาก ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ตัวเองอ้วนฉุเพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ ก็ควรงดการใส่น้ำตาล ครีมเทียม และนมโดยด่วน
  3. เมื่อเครียดอย่ากิน หลายคนเมื่อเครียดมาก ๆ จะชอบกินของหวานเพื่อคลายความเครียด แม้จะเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างได้ผลและเราก็ทำได้ก็ตาม แต่เราก็ต้องกินในปริมาณที่น้อย หรือถ้าจะให้ดีก็ไปหากิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดทำแทนจะดีกว่า เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ต อ่านหนังสือ นอนหลับพักผ่อน เป็นต้น
  4. รับมือกับวันนั้นของเดือน ในช่วงมีประจำเดือน หลายคนนอกจากจะหงุดหงิดแล้ว ยังมีอาการอยากกินนู่นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่เราสามารถรับมือกับความอยากนั้นได้ด้วยการเอาของที่ทำให้อ้วนออกจากตู้เย็นให้หมด ใส่ผลไม้ไว้เยอะ ๆ แทน เน้นกินผลไม้รสเปรี้ยวเพื่อช่วยลดความอยาก พยายามควบคุมอารมณ์ จิตใจ และความอยาก หรือหาอะไรทำเพื่อให้ลืม ถ้าทนไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้กินสักคำสองคำก็พอ
  5. อย่าอดอาหาร การอดอาหารไม่ใช่ทางออกที่ดีของการลดความอ้วนในระยะยาว เพราะการอดอาหารมื้อหนึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างระบบป้องกันขึ้นมา โดยกักเก็บไขมันเอาไว้ แล้วทำการเผาผลาญอาหารให้น้อยลง เมื่อเราหยุดอดอาหาร ร่างกายก็จะเผาผลาญอาหารได้น้อยและทำให้อ้วนได้ง่ายยิ่งขึ้น
  6. อาหารเช้าห้ามอด ไม่ว่าเราจะลดน้ำหนักแบบเอาเป็นเอาตายแค่ไหน แต่อาหารเช้าก็ยังเป็นอาหารที่สำคัญที่สุด เพราะอาหารเช้าที่เรากินเข้าไปจะนำไปถูกแปรเป็นพลังงานให้เราตั้งแต่เริ่มวันใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้ออื่น ๆ
  7. อาหารเช้าต้องมีประโยชน์ อาหารเช้าที่ทำให้เราหิวเร็วได้แก่ อาหารจำพวกแป้งอย่างขนมปัง ซึ่งมันจะทำให้เราหิวเพิ่มขึ้นในเวลาไม่นาน ดังนั้น อาหารเช้าที่ดีควรมีไขมันและโปรตีนเป็นส่วนประกอบ แต่ก็อย่ากินในปริมาณที่มากเกินไปล่ะ เชื่อเถอะว่าสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก กาแฟ 1 แก้วกับขนมปัง 1 แผ่น ยังไงก็ไม่เวิร์กเท่ากับอาหารเหล่านี้
  8. งดอาหารระหว่างมื้อหรืออาหารว่าง เพราะนอกจากจะเป็นอาหารมื้อที่ไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นพลังงานส่วนเกินของร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เราจะกินอาหารเหล่านี้ก็เพียงเพราะความอยาก ถ้าเราอยากกินจริง ๆ ก็ให้กินพวกผักผลไม้แทนจะดีกว่า
  9. งดอาหารยามค่ำคืน ในยามกลางคืน ไม่ว่าเราจะกินอะไรก็ตามก็ล้วนแต่ทำให้อ้วนได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือขนม เพราะระบบการย่อยอาหารของเราจะทำงานได้ไม่เต็มที่ช่วงนี้ ดังนั้น หากหลัง 5 โมงเย็นไปแล้ว เราก็ไม่ควรจะกินอะไรอีกเลย ถ้าหากต้องการที่จะลดน้ำหนักจริง ๆ หรือแม้แต่ไม่ต้องการให้เพิ่มขึ้นก็ตาม T-T
  10. กินอาหารให้ครบห้าหมู่ สัดส่วนของอาหารที่ต้องการในแต่ละวัน คือ โปรตีน 20%, ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ 20%, ผักและผลไม้ต่าง ๆ 50% เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใดก็ตาม ร่างกายของเราจะทำการย่อยจนเป็นสารอาหารชนิดต่าง ๆ แล้วนำไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน ดังนั้น อาหารที่กินเข้าไปจึงมีความสำคัญต่อร่างกาย ถ้าอดอาหารก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สบาย ไม่มีพลังงาน และไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ถ้าหันมารับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เราก็ไม่อ้วนแล้วล่ะ
  11. เวลาและปริมาณการกิน ในมื้อเช้าเราควรจะกินก่อนเวลา 8 โมงเช้า โดยควรเป็นอาหารที่ค่อนข้างให้พลังงานสูง อาจจะเป็นเนื้อสัตว์ ข้าวเล็กน้อย ผักผลไม้บ้าง ซึ่งมื้อเช้านี้เราควรกินแต่พออิ่ม ไม่ต้องเสียดายแม้ว่าอาหารจะเหลือก็ตาม ส่วนมื้อเที่ยงควรกินก่อนเที่ยงครึ่ง การกินมื้อนี้เรายังสามารถกินได้ตามแต่ที่เราอิ่มหรือมากกว่ามื้อเช้าเล็กน้อย แต่อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะในช่วงบ่ายร่างกายก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานในการทำงานอยู่ ส่วนมื้อเย็นนั้นคุณควรกินก่อน 6 โมงเย็น หรือว่ายิ่งเร็วยิ่งดี หรืองดกินไปเลยแล้วไปกินผลไม้แทนก็ทำได้ ซึ่งมื้อเย็นนี้เราควรกินให้น้อยกว่ามื้ออื่น ๆ เพราะหลังจากนี้เราก็ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานอะไรแล้ว อีกสักพักก็ต้องเข้านอน แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีเวลาทำงานไม่เหมือนคนอื่น อย่างเช่นทำงานกลางคืน คุณสามารถจัดเวลาการกินอาหารของในแต่ละมื้อได้โดยดูจากความเหมาะสมเป็นหลัก กะเวลาระหว่างมื้อให้พอดี เพื่อไม่ให้เราหิวโหยอาหารมากเกินไป แต่ที่สำคัญก็คือ “เราต้องกินอาหารให้ตรงช่วงเวลาที่เรากำหนดเอาไว้ทุกวัน
  12. งดอาหารทอดและไขมันจากสัตว์ ไขมันจากสัตว์เป็นไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งเป็นไขมันที่เราไม่ควรที่จะกินเข้าไปมากที่สุด และให้เปลี่ยนมาใช้ไขมันจากพืชแทน เพราะจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า ส่วนอาหารทอดนั้นเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง หรือกินให้น้อยที่สุด เพราะถ้ากินในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและมีไขมันไปกระจุกตัวอยู่บริเวณต่าง ๆ
  13. งดหนังสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนังไก่ หนังเป็ด ชั้นไขมันของหมู ของวัว ขอแนะนำให้งดและเลิกไปเลยจะดีกว่า เพราะมันมีไขมันเยอะมาก ซึ่งจะทำให้เราอ้วนฉุได้แบบงง ๆ เลยล่ะ
  14. งดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มีรสเผ็ดจัด เค็มจัด หรือเปรี้ยวจัด เพราะอาหารที่มีรสจัดนอกจากจะไม่ดีต่อการทำงานของลำไส้แล้ว มันยังเป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากอาหารมากขึ้นอีกด้วย
  15. งดอาหารเค็มจัด การกินอาหารเค็มนั้นเป็นผลเสียต่อการที่เรากำลังลดความอ้วน เพราะอาหารรสเค็มจะทำให้เราอยากและเจริญอาหารมากยิ่งขึ้น
  16. ห้ามกินของร้อน ของร้อนในที่นี้หมายถึงอาหารที่เรากินเข้าไปแล้วจะทำให้ร่างกายของเราร้อน อย่างเนื้อสัตว์ ไขมัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ เพราะร่างกายจะไม่เผาผลาญพลังงานเมื่อเราเพิ่มความร้อนให้กับร่างกาย
  17. ลดคาร์โบไฮเดรต นอกจากเหตุผลที่ว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่เปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลได้แล้ว การลดคาร์โบไฮเดรตยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญไขมันในร่างกายอีกด้วย หากเรากินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งให้น้อยลง ร่างกายจะไปเผาผลาญไขมันที่เรากินเข้าไป หากเรากินไขมันเข้าไปน้อย ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันที่เราสะสมเอาไว้ จึงทำให้ไขมันที่มีอยู่ในร่างกายของเราหดหายไป
  18. กินผักผลไม้แทนอาหารมื้อเย็น อย่างที่รู้ ๆ กันว่า อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด แต่ก็กลายเป็นมื้อที่คนละเลยกันมากที่สุด ในทางกลับกันอาหารเย็นควรจะเป็นมื้อที่ละเลย แต่เป็นมื้อที่คนใส่ใจกันมากที่สุด 55555+ คิดผิดคิดใหม่ซะนะ ตอนเย็นถ้างดได้ก็งดเลย ถ้าหิวก็กินผลไม้ต่าง ๆ เข้าไปแทน
    เคล็ดลับการลดน้ําหนัก
  19. กินให้พอหายอยาก เช่น เราเคยชอบบัวลอยไข่หวานมาก แต่เมื่อต้องลดความอ้วน ซึ่งอาหารจำพวกบัวลอยไข่หวานเป็นอาหารที่ควรงดเป็นอย่างยิ่งเพราะมีทั้งน้ำตาล กะทิ และไข่ เราก็อาจจะแบ่งกับเพื่อนกินก็ได้ โดยกินแค่ 2-3 คำ เพื่อให้หายอยากก็เพียงพอ แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็ควรจะห้ามใจและซื้อกินแต่น้อย หรือเมื่อกินพอหายอยากแล้วก็ให้ทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องเสียดายด้วยการเก็บไว้กินอีก T-T
  20. เรียงลำดับการกิน ปกติแล้วคนเราจะเริ่มกินอาหารที่อยากกินมากก่อนไปจนถึงที่อยากกินน้อยที่สุด ซึ่งวิธีนี้เราจะไม่ได้เรียงแบบนั้น แต่ให้เรียงลำดับจากการกินอาหารที่มีประโยชน์และปราศจากไขมันและคอเลสเตอรอลเข้าไปก่อน ส่วนอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลเยอะ ๆ ก็ให้อยู่ท้าย วิธีนี้จะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่ม เมื่อถึงคราวที่กินอาหารมัน ๆ เราจะรู้สึกเอียนโดยอัตโนมัติและกินได้น้อยลง
  21. กินอาหารก่อนออกจากบ้าน เพราะอาหารตามรายทางส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เราไม่สามารถจะเลือกได้ว่ามีคุณค่าทางอาหารมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจจะเป็นอาหารที่มีคุณค่าน้อย มีไขมันสูง ซึ่งจะทำให้การควบคุมอาหารของคุณที่ทำมานั้นไร้ประโยชน์ เพราะในภาวะที่เรากำลังหิวจนหน้ามืดนั้น เราคงไม่สนใจอะไรแล้ว และพร้อมที่จะกินอะไรก็ได้โดยไม่ยั้งคิด
  22. กินนอกบ้านอย่างระมัดระวัง บางครั้งเราก็ต้องออกไปกินอาหารนอกบ้านกันบ้างล่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงหรือไปกินกับเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแต่ง งานบวช หรืองานที่เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ก็ให้พยายามเลือกกินแต่อาหารที่มีไขมันต่ำ เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เน้นกินอาหารจำพวกผักผลไม้ และใช้เวลากับมันให้นาน แล้วเดินไปคุยกับคนนู้นคนนี้มากกว่าจะกิน แต่ถ้าเป็นแบบโต๊ะจีนที่ให้เรากินอาหารแต่ละอย่างทีละน้อย ก็ให้เลือกตักเฉพาะอาหารที่มีไขมันต่ำ เป็นต้น
  23. มีสมาธิกับการกิน เพื่อให้เราทราบว่าเรากำลังกินอะไรอยู่ มีไขมันเท่าไร มีคอเลสเตอรอลเท่าไร แล้วเราต้องการอาหารในปริมาณเท่าไรถึงจะพอดี ถ้าเรามีสมาธิอยู่กับการกิน เราก็จะรู้สึกและมีสติในการควบคุมตัวเองไม่ให้กินอาหารมากจนเกินพอดี
  24. เคี้ยวลดน้ำหนัก การเคี้ยวอาหารช้า ๆ สามารถทำให้เราอิ่มอาหารได้ไวขึ้น ต่างจากการเคี้ยวกลืนอย่างรวดเร็วที่จะทำให้เราได้กินอาหารในปริมาณที่มากกว่า
  1. อายุยิ่งมากยิ่งต้องควบคุมอาหาร หลายคนสงสัยว่าทำไมเมื่อมีอายุมากขึ้นเราถึงอ้วนขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เราก็กินอาหารแบบเดิมในปริมาณเท่าเดิม ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำมากในช่วงวัยรุ่นก็ลดลงหรือเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เพราะเวลาและโอกาสไม่เอื้ออำนวย
  2. กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญ โดยการกินอาหารของเรานี้ ไม่จำเป็นต้องอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพียงแต่ซอยอาหารของเราเป็นมื้อย่อย ๆ วันหนึ่งก็กินสักประมาณ 3-4 มื้อ หรือซอยเป็น 4-6 มื้อ โดยในแต่ละมื้อให้คุณกินในปริมาณน้อย ๆ หรือที่เรียกว่ากินให้น้อยแต่กินบ่อยนั่นแหละ (พยายามควบคุมปริมาณอาหารให้เป็นไปตามที่เรากำหนดให้ได้) ซึ่งมันจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดความอยากอาหารของเราได้ด้วยแหละ
  3. ควบคุมอาหารพร้อมกับออกกำลังกาย อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า หากเรากินอาหารมากเกินความต้องการ เราก็จะอ้วน ดังนั้น เราจึงควรควบคุมอาหารการกินให้ดี กินอาหารจำพวกไขมัน แป้ง น้ำตาล เนื้อสัตว์ แต่น้อย เช่น การเลือกกินกับมากกว่าข้าว โดยอาจจะตักแค่ 1 ทัพพีในแต่ละมื้อ หากไม่อิ่มก็ให้กินแกงจืดแทนข้าว เป็นต้น เพราะร่างกายไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้มากมายนัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงาน เพื่อที่จะให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลอย่างรวดเร็ว
  4. งดอาหารไม่มีประโยชน์ อย่างอาหารประเภทฟาสต์ฟูดและจังก์ฟู้ดที่ให้พลังงานและทำให้อ้วนได้ง่ายมาก ๆ เช่น มันฝรั่งทอด ไก่ทอด ไอศกรีม ฯลฯ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดดื่มเช่นกัน เพราะแอลกอฮอล์นั้นมีฤทธิ์กดความสามารถในการเผาผลาญไขมันของร่างกาย และเมื่อเข้าไปร่างกายแล้วมันยังเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอีกด้วย
  5. อาหารที่กินเท่าไรก็ไม่อ้วน ที่คุณควรรู้ไว้ก็คือ ผักใบเขียวต่าง ๆ เครื่องเทศทุกชนิด ซีอิ๊วหรือซอสถั่วเหลือง เกลือ น้ำส้มสายชู กระเทียม ขิง มะนาว และน้ำเปล่า
  6. ดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนัก การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้น้ำหนักของเราลดลงได้ เพราะการดื่มน้ำจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย และช่วยลดความอยากอาหาร เพราะการจิบน้ำสะอาดจะช่วยลดความอยากอาหารได้ดีทีเดียว !
  7. น้ำเย็นมีส่วนช่วยลดน้ำหนัก เมื่อเราดื่มน้ำเย็นเข้าไปร่างกายของเราจะมีอุณหภูมิต่ำลง ทำให้ร่างกายพยายามที่จะเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายของเรามีอุณหภูมิเหมือนปกติ ทำให้ร่างกายของเราไปเผาผลาญไขมันส่วนที่เกาะติดอยู่ในร่างกาย ดังนั้น การดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็งก็เป็นทางหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก
  8. น้ำผักผลไม้ปั่นลดความอ้วน คุณควรทำน้ำผลไม้ติดบ้านเอาไว้บ้าง เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว มันยังช่วยบำรุงผิวของเราไม่ให้เราดูโทรมในช่วงที่เราลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วได้ดี แต่ให้พยายามหลีกเลี่ยงผลไม้ที่ให้ความหวานมาก เพราะมันจะทำให้เราอ้วนได้ เช่น มังคุด น้อยหน่า มะม่วงสุก ทุเรียนสุก และผลไม้ที่สุกงอมทั้งหลายควรเลือกเป็นผลไม้ที่มีรสออกไปทางเปรี้ยวหรือมันมากกว่า หรือเป็นผลไม้ที่ยังไม่สุก (ถ้าจะป้องกันความหวานจากผลไม้ เราควรเน้นผักเป็นหลัก) และการมีน้ำผักหรือน้ำผลไม้ที่ปราศจากน้ำตาลติดอยู่ในตู้เย็น ก็ยังช่วยในเรื่องของความหิวอันเนื่องมาจากการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะในช่วงการลดน้ำหนัก ร่างกายเราจะต้องการกินอาหารมาก เพราะอาหารที่กินเข้าไปนั้นจะน้อยลงกว่าปกติ ดังนั้นการดื่มน้ำผักผลไม้จึงช่วยลดความอยากอาหารได้พอสมควรเลยล่ะ
  9. เลือกกินน้ำสลัด น้ำสลัดแบบครีมหรือแบบข้นที่มีส่วนผสมของนมและไข่ นอกจากจะไม่ช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว มันยังสามารถเพิ่มน้ำหนักให้เราได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี น้ำสลัดนั้นก็มีอยู่หลายชนิดที่ไม่มีสวนผสมที่ทำให้อ้วน อย่างน้ำสลัดใส ซึ่งจะทำให้สลัดของเรานั้นเป็นอาหารลดน้ำหนักอย่างแท้จริง
  10. แกงจืด การกินแกงจืดเต้าหู้เปล่า ๆ แทนข้าว 1 มื้อ นอกจากจะช่วยลดความหิวได้แล้ว แกงจืดยังเป็นอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
  11. ผักสดและผักต้ม ในช่วงที่เรากำลังควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน การกินผักสดและผักต้ม แทนที่จะนำไปทอดกับน้ำมัน ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยในเรื่องของน้ำหนักแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณให้ดูมีน้ำมีนวลและเปล่งปลั่งอีกด้วย
  12. ข้าวกล้อง จะมีประโยชน์ในแง่ของการให้กากใย จึงช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหาร และไม่ทำให้อ้วนมากด้วย ข้าวกล้องจึงเป็นข้าวที่เหมาะกับสาว ๆ ที่กำลังลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก
  13. ถั่วเหลือง การกินถั่วเหลืองและงาพร้อมกัน จะให้โปรตีนเท่ากับเนื้อสัตว์ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์ที่เสี่ยงทำให้เรามีไขมันส่วนเกิน นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังมีฮอร์โมนบางชนิดที่สามารถช่วยทำให้คอเลสเตอรอลในร่างกายลดลง และช่วยป้องกันโรคกระดูก โรคมะเร็ง ฯลฯ ได้อีกด้วย ถั่วเหลืองจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างมาก
  14. ของกินเล่นยามลดน้ำหนัก ให้เรานำแคร์รอตมาหั่นเป็นชิ้นยาว ๆ แล้วนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น พอเวลาที่เราเกิดอยากเคี้ยวอะไรขึ้นมา ก็ให้นำแคร์รอตออกมาเคี้ยวและกินเล่น ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่ไม่มีน้ำตาลและไม่ทำให้เราอ้วนก็ได้
  15. ไข่กินได้ การกินไข่ไม่ใช่เรื่องเสียหายในระหว่างการลดความอ้วน เพราะถ้าเรากินในปริมาณพอดี ให้เพียงพอกับความต้องการ ร่างกายก็จะนำสารอาหารจากไข่ไปใช้จนหมด โดยปริมาณที่เหมาะสมและขอแนะนำก็คือ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์
  16. โฮลวีตกับโยเกิร์ต เป็นเมนูที่แนะนำสำหรับคนหิวง่ายหรือไม่ต้องการจะกินมื้อใหญ่หรือกินอะไรเยอะแยะ เพราะการกินขนมปังโฮลวีตกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติชนิดไขมันต่ำ จะช่วยหยุดความหิวของเราได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นอาหารที่ช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร ไม่ทำให้อ้วนได้เหมือนขนมปังสีขาวธรรมดา ๆ อีกด้วย
  17. แตงโมช่วยลดความอ้วน แตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำมากซึ่งจะช่วยทำให้เราปัสสาวะบ่อย เป็นการช่วยนำส่วนเกินในร่างกายออกมา นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เรากินอาหารอื่น ๆ ได้น้อยลงอีกด้วย เนื่องจากปริมาณน้ำในแตงโมที่เรากินเข้าไปจะเข้าไปยึดพื้นที่ในกระเพาะอาหารของเรา ทำให้เราอิ่มท้องได้ในระดับหนึ่ง จึงทำให้เรากินอาหารอื่น ๆ ได้น้อยลง
  18. มะละกอ อย่างที่ทราบกันดีว่า มะละกอเป็นผลไม้ที่ช่วยในเรื่องของการระบาย ทำให้เราขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติ แต่คุณรู้ไหมว่ามะละกอยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายตั้งแต่บริเวณกระเพาะอาหารลงไป และมีคุณสมบัติในการกำจัดของเสียต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดี สดใสและเปล่งปลั่งอยู่เสมอ
  19. แอปเปิ้ลเขียว พระเอกในการช่วยลดน้ำหนัก เราสามารถกินแอปเปิ้ลเขียวแทนอาหารหลักในแต่ละมื้อได้โดยที่นอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังช่วยทำให้เราได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน แต่อย่างไรก็ดี เราไม่ควรจะกินแทนข้าวทุกมื้อ แต่ให้กินแทนอาหารหลักวันละ 1 มื้อก็พอ
  20. น้ำชา การดื่มน้ำชาแก่ ๆ สักแก้วจะช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารและลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำชาจะช่วยลดพื้นที่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เราสามารถกินอาหารได้น้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำชาแม้จะมีประโยชน์ต่อการย่อยอาหารจริง และช่วยทำให้ท้องของเราย่อยอาหารได้เร็วขึ้น แต่เมื่อย่อยอาหารได้เร็วเราก็จะหิวเร็ว ถ้าเราไม่มีความอดทนพอ เราอาจจะกินอาหารว่างระหว่างมื้อเพิ่มเติมก็ได้
  21. เครื่องชั่งน้ำหนัก หากต้องการจะลดน้ำหนัก เราควรจะหาเครื่องชั่งน้ำหนักมาไว้ในบ้านสักเครื่องเพื่อเป็นขวัญ เป็นกำลังใจ และเป็นเครื่องเตือนใจตัวเอง เพราะมันจะช่วยทำให้เราทราบถึงความเคลื่อนไหวของน้ำหนักของเรา โดยการชั่งน้ำหนักที่ถูกต้องนั้น คุณจะต้องชั่งน้ำหนักเวลาเดียวกันทุกครั้ง เพราะจะทำให้เรารู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักได้มากกว่าการชั่งต่างช่วงเวลากัน และควรทิ้งระยะเวลาในการชั่งน้ำหนักให้อยู่ที่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้เห็นถึงเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าชั่งทุกวันคุณอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจนทำให้หมดกำลังใจไปก่อน
    เคล็ดลับในการลดน้ำหนัก
  22. การจดบันทึก เราควรจดบันทึกน้ำหนักตัวของเราที่เปลี่ยนแปลง จดบันทึกพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง หรือการทำงาน เพราะมันจะช่วยทำให้เราทราบว่า น้ำหนักของเรามากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร และยังเป็นเครื่องเตือนใจอีกด้วยว่าหากเรามีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความอ้วน น้ำหนักของเราก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าทำไปเรื่อย ๆ จนติดเป็นนิสัยแล้ว เราก็จะทราบได้ว่าสิ่งใดที่ทำให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้น
  23. ทำกิจกรรมระหว่างวัน หลาย ๆ คนอาจไม่มีเวลามากพอที่จะไปออกกำลังกายในช่วงเย็นหรือเช้า แต่วิธีที่สามารถช่วยแก้ขัดได้บ้างนั่นก็คือ การออกกำลังกายระหว่างวันที่เราสามารถทำได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เช่น การเดินหรือลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง, เดินออกไปกินข้าวนอกสำนักงาน, ไปถ่ายเอกสารหรือส่งแฟกซ์เอง, ใช้บันไดแทนลิฟต์, ใช้วิธีเดินติดต่องานแทนการคุยผ่านโทรศัพท์, ถ้าต้องนั่งอยู่กับโต๊ะก็ให้เราขยับแข้งขาบ้างหรือเอี้ยวตัวบิดไปมา, ลงก่อนถึงป้ายที่ทำงานหรือบ้าน 1 ป้ายรถเมล์, เดินเข้าห้องน้ำที่อยู่อีกชั้น, ไปซื้อของด้วยการเดินหรือปั่นจักรยานแทนการขับรถ, ปั่นจักรยานไปทำงาน, เดินไปคุยโทรศัพท์ไป, ถ้าต้องทำงานอยู่กับที่ ใน 1 ชั่วโมง ควรจะไปพักทำอะไรหรือยืดเส้นยืดสายบ้างสัก 5 นาที ฯลฯ
    เคล็ดลับการลดน้ำหนัก
  24. ทำงานบ้านช่วยได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดบ้าน, ถูบ้าน, ซักผ้า, ขัดห้องน้ำ, ล้างรถ, เล่นกับสัตว์เลี้ยง, เล่นกับลูก, พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น, ทำสวนเอง, ดูทีวีไปออกกำลังกายไปด้วยการยกเวททั้งสองข้าง ฯลฯ หรือจะออกกำลังกายด้วยการใช้แรงคนแทนเครื่องจักรก็ได้ เช่น ใช้กรรไกรตัดหญ้าแทนเครื่องตัดหญ้า ล้างรถเองแทนไปเข้าร้าน เดินไปกดเปลี่ยนโทรทัศน์เองแทนการใช้รีโมต ซักผ้าบางชนิดด้วยตัวเองแทนการใช้เครื่องซักผ้า เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จะสามารถช่วยทำให้ร่างกายของเราเผาผลาญพลังงานไปได้มากเลยทีเดียว เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยทำให้ร่างกายของเราได้ใช้พลังงานที่เก็บสะสมเอาไว้และช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินของเราได้เป็นอย่างดี
  25. ออกกำลังกายแบบง่าย ๆ เช่น การเต้นแอโรบิก เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานและช่วยกระชับร่างกายทุกสัดส่วน, การวิ่ง โดยวิ่งอย่างเป็นจังหวะและสม่ำเสมอ พร้อมกับแกว่งแขนตามจังหวะการก้าวของเท้า ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อตึงกระชับ และมีน้ำหนักตัวลดลง, การว่ายน้ำ อีกหนึ่งการออกกำลังที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งที่ช่วยกระชับสัดส่วนได้อย่างดี, การเต้นให้สุดเหวี่ยง เต้นมันให้หลุดโลกไปเลย วิธีนี้นอกจากจะสนุกแล้ว ยังทำให้เราได้เหงื่อ ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดของเราไปได้อีกทางด้วย, การกระโดดเชือกลดความอ้วน ที่สามารถช่วยบริหารร่างกายและลดไขมันส่วนเกินได้แทบจะทุกสัดส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นต้นขา สะโพก และเอว, การเดินลดต้นขา หากเราเป็นคนหนึ่งที่มีต้นขาใหญ่ การเดินอย่างสม่ำเสมอและเป็นจังหวะวันละ 40 นาที จะช่วยทำให้ต้นขาของเราเล็กและเพรียวลง เป็นต้น
  26. เลือกเสื้อผ้าในการออกกำลังกาย ชุดออกกำลังกายควรจะเป็นเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าโปร่งสบาย มีการระบายความร้อนได้ดี เพราะนอกจากจะทำให้เรารู้สึกสบายแล้ว ยังทำให้เราคล่องตัวและออกกำลังกายได้นานมากขึ้นอีกด้วย
  27. การรักษาน้ำหนัก เมื่อเราลดน้ำหนักจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจเป็นอันขาด เพราะหากเราเผลอไปกินตามใจปากอีกครั้งก็จะทำให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น เราจึงมีกฎอยู่ 2 ข้อในการรักษาน้ำหนักของเราไม่ให้เพิ่มขึ้นและคงที่ คือ ไม่กินอาหารที่มีแคลอรีและไขมันอิ่มตัวสูงมาก คือไม่กินตามใจปากนั่นเอง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด