อัลฟัลฟ่า
ถั่วอัลฟัลฟ่า (อัลฟัลฟา, หญ้าอัลฟัลฟ่า) ชื่อสามัญ Alfalfa, Lucerne (ลีวเซอน)
อัลฟัลฟ่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Medicago sativa L. จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1]
อัลฟัลฟ่า จัดเป็นพืชในตระกูลถั่ว เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตกและในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง จึงได้รับการขนานนามว่าคือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล” (AL-FAS-FAH-SHA)[2] หรือเป็น “บิดาของอาหารทุกชนิด” (Father of all foods)[4]
ลักษณะของอัลฟัลฟ่า
- ต้นอัลฟัลฟ่า จัดเป็นพืชตระกูลถั่วมีฝักที่มีลำต้นสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก ลำต้นมีระบบรากที่มหัศจรรย์ เพราะในบางพื้นที่รากของต้นอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้มากและบริสุทธิ์กว่าพืชอื่น ๆ อีกทั้งต้นอัลฟัลฟ่าเองก็จะไม่สะสมสารพิษอีกด้วย[1],[2]
- ใบอัลฟัลฟ่า ใบแตกออกเป็น 3 ใบย่อย[1]
- ดอกอัลฟัลฟ่า ดอกเป็นสีม่วงหรือสีน้ำเงิน[1]
- ฝักอัลฟัลฟ่า มีเมล็ดอยู่ในฝัก[1]
สรรพคุณของอัลฟัลฟ่า
- อัลฟัลฟ่ามีสารแคโรทีนและอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย จึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลาย ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง[3],[4],[5]
- สารไฟโตเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยสารที่จัดเป็นสารประเภทไฟโตรเอสโตรเจนที่มีอยู่ในอัลฟัลฟ่าได้แก่ Isoflavones, Coumestans และสาร Lignans แต่ในปัจจุบันยังไม่มีขนาดแนะนำในการรับประทาน แต่อย่างไรก็ดีการเพิ่มการบริโภคอาหารที่สารดังกล่าวจะสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งในร่างกายได้เป็นอย่างดี[3]
- สารซาโปนินมีรสขม มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร จึงช่วยทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น[5]
- สารซาโปนินที่พบในอัลฟัลฟ่า มีลักษณะเหมือนกันกับที่พบในรากโสม ซึ่งมันมีสรรพคุณช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสมและเป็นปกติ[3]
- อัลฟัลฟ่ามีเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นตัวช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย ช่วยทำให้ผิวหนังและเยื่อบุผิวหนังมีสุขภาพดี[3]
- อัลฟัลฟ่าอุดมไปด้วยธาตุฟลูออไรด์และแคลเซียม มันจึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี[3]
- ช่วยบำรุงเส้นผม ลดอาการผมร่วง ทำให้ผมหงอกกลับดำขึ้น[4]
- ช่วยทำให้ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น[4]
- ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ[4]
- ช่วยลดระดับน้ำตาลและปรับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน[4],[6]
- ในสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ใช้อัลฟัลฟ่าในการรักษาภาวะโลหิตจาง[2]
- ช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด[2]
- ช่วยกำจัดของเสีย ขับสารพิษออกจากร่างกาย ขับสารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน ลดการตกค้างของของเสียตามผิวหนัง ช่วยทำให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ผิวพรรณผ่องใสและสุขภาพที่ดีตามมา มันจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ชอบรับประทานเนื้อสัตว์[3],[4]
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเมล็ดเลือดแดง ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น[4]
- สารซาโปนินจะช่วยลดการอุดตันของเกล็ดเลือดในเส้นเลือดฝอย ช่วยลดอัตราของการเกิดความจำเสื่อม และภาวะไขมันในเลือดสูงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ[5]
- ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย[6]
- อัลฟัลฟ่ามีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาอาการของผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดและติดแอลกอฮอล์ได้[4]
- ช่วยทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้มีอาการที่ดีขึ้น[4]
- วิตามินเคจากอัลฟัลฟ่า จะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนได้[3]
- จากการศึกษาพบว่าสารซาโปนินและสารประกอบอื่นในอัลฟัลฟ่ามีความสามารถในการยึดติดในคอเลสเตอรอลกับเกลือน้ำดี ช่วยป้องกันและชะลอการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร จึงช่วยทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำ ช่วยป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด และช่วยควบคุมระดับความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ โดยในการศึกษาจากผู้ป่วยจำนวน 15 คน ที่ให้อัลฟัลฟ่าในขนาด 40 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 8 วัน พบว่าผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและไขมันเลว (LDL) ลดลงประมาณ 17-18% ในขณะที่บางส่วนสามารถลดได้ถึง 26-30%[3]
- อัลฟัลฟ่ามีไฟเบอร์จากธรรมชาติอยู่สูงมาก และยังมีประโยชน์ในการช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ ช่วยในการลำเลียงของเสียออกจากระบบได้เป็นอย่างดี จึงทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดี[3]
- ช่วยแก้อาการเบื่ออาหารและอาการดูดซึมอาหารได้ไม่ดี[2]
- แพทย์ชาวจีนได้มีการนำใบอัลฟัลฟ่าอ่อนเพื่อใช้ในการรักษาอาการย่อยไม่เป็นปกติ เช่นเดียวกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบและดอกในการรักษากระบวนการย่อยที่ทำงานได้น้อย (ใบ, ดอก)[2]
- มีแพทย์จำนวนมากที่ใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร เช่น การมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก มีอาการจุดเสียดเป็นประจำ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นโรคเบื่ออาหาร เป็นต้น และอัลฟัลฟ่ายังมีเอนไซม์ที่ช่วยทำให้การดูดซึมอาหารภายในร่างกายเป็นปกติ มีสารที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารให้มีความแข็งแรง และยังพบว่าอัลฟัลฟ่าสามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร อาการปวดท้องเนื่องจากมีแก๊สมาก รักษาแผลในกระเพาะลำไส้ได้เป็นอย่างดี[3]
- อัลฟัลฟ่ามีคุณสมบัติที่ช่วยในการขับถ่ายและการปัสสาวะให้เป็นปกติ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก บรรเทาอาการของริดสีดวงทวาร[3]
- อัลฟัลฟ่ายังถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ในกระเพาะปัสสาวะ ไต และต่อมลูกหมากที่ทำงานผิดปกติ[6]
- อัลฟัลฟ่างอกเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะการหมดประจำเดือนของสตรี (อัลฟัลฟ่างอก)[2]
- สาร Isoflavone ในอัลฟัลฟ่าถูกจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ (Phytooestrogen) ซึ่งในสตรีในช่วงใกล้หมดประจำเดือนจะมีระดับเอสโตรเจนต่ำลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและเกิดภาวะกระดูกเสื่อม และสารดังกล่าวจะเข้าไปช่วยชดเชยระดับเอสโตรเจนที่ต่ำลง อีกทั้งยังช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยลดอาการผิดปกติในช่วงมีประจำเดือน เช่น มีอาการหงุดหงิดง่าย มีอาการร้อนวูบวาบตามตัว เป็นต้น[3]
- ช่วยปรับสภาพของผู้หญิงวัยทอง ลดปัญหาอันเกิดเนื่องมาจากภาวะวัยทอง[4]
- อัลฟัลฟ่าถูกนำมาใช้ในประเทศจีนตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 6 โดยนำมาใช้เพื่อรักษาโรคไต และเพื่อบรรเทาอาการตัวบวมอันเนื่องมาจากการกักเก็บน้ำในร่างกายที่มากเกินไป[6]
- ชาวอินเดียในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้อัลฟัลฟ่าในการรักษาโรคดีซ่าน[2]
- มีการใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อช่วยบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ แก้อาการปวดข้อ ข้อแข็ง และรูมาตอยด์ เนื่องจากอัลฟัลฟ่าจะช่วยปรับสมดุลของกรดด่างในร่างกาย ช่วยป้องกันการสะสมตัวของกรดยูริกและกรดอื่น ๆ ตามข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งจากหนังสือ Feel Like a Million ของแคทเทอรีน เอลวูล ได้ระบุว่าเมื่อให้ผู้ป่วยรูมาตอยด์ใช้อัลฟัลฟ่าเพื่อรักษาอาการปวดตามข้อ พบว่าผู้ป่วยสามารถงอมือได้สะดวกยิ่งขึ้นและอาการเจ็บปวดก็หายไป[2],[3]
- ช่วยระงับอาการปวดในโรคข้ออักเสบและถุงน้ำต่าง ๆ[6]
- ช่วยลดแผลอักเสบ[4]
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย[4]
- ช่วยทำให้อาการชา บวม และเส้นเลือดขอดบรรเทาลง[4]
- อัลฟัลฟ่ามีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมของแม่ได้ดีมากขึ้น[2]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของอัลฟัลฟ่า
- สารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ของต้นอัลฟัลฟ่ามีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของเพศหญิง จึงมีการนำมาใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในหญิงที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น การนำมาใช้ในหญิงที่ได้ทำการผ่าตัดเอามดลูกออก เป็นต้น[1]
- สารในกลุ่มซาโปนินของต้นอัลฟัลฟ่ามีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลด้วยการเพิ่มการนำคอเลสเตอรอลไปใช้ในการสร้างน้ำดีในตับ และยังออกฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดอันเนื่องมาจากไขมันได้ และสารซาโปนินยังสามารถช่วยฆ่าเชื้อราจำพวกแคนดิดา โดยสารดังกล่าวจะไปจับกับเซลล์เมมเบรนของเชื้อรา และทำให้เชื้อราตาย[1]
- ธาตุแมงกานีสที่อยู่ในอัลฟัลฟ่าสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้[1]
ประโยชน์ของอัลฟัลฟ่า
- อัลฟัลฟ่างอก จัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่นิยมนำมาใส่สลัด (มีกลิ่นคล้ายกับถั่วลันเตา) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังมีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งได้[2]
- ใบตากแห้งใช้ชงเป็นชาดื่มเพื่อสุขภาพ[2]
- อัลฟัลฟ่าเป็นพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างหลากหลายและครบถ้วน มันจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ[3]
- ต้นอัลฟัลฟ่ามีสารสำคัญอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น เช่น สารในกลุ่มอโซฟลาโวนอยด์ (isoflavonoids) สารในกลุ่มซาโปนิน (Saponins) สารในกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroids) รวมไปถึงสารในองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น คาร์โบไอเดรต โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ เกลือแร่ เอนไซม์หลัก 8 ชนิด และกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้[1],[2]
- อัลฟัลฟ่าเป็นพืชที่อุดมไปด้วย Chlorophyll หากต้องการทราบว่ามันมีประโยชน์อย่างไร คุณสามารถอ่านได้ที่บทความนี้ คลอโรฟิลล์[3]
- สารไฟโตเอสโตรเจนเป็นตัวช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย การรับประทานอัลฟัลฟ่าจะช่วยทำให้ผู้ที่เป็นสิวง่าย มีปริมาณการเกิดสิวลดลง ทำให้ผิวหน้าดูสะอาดขึ้น[3]
- อัลฟัลฟ่าอุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด รวมไปถึงเกลือแร่และโปรตีน จึงนิยมนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ เช่น การนำมาใช้ผสมในครีมอาบน้ำ ในผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม เป็นต้น และยังพบว่ามีอยู่ในผลิตภัณฑ์ยาเม็ดสำเร็จรูป หรือเป็นแบบต้นแห้งสำหรับชงน้ำร้อนดื่ม[1]
- ชาวอาหรับโบราณรู้จักนำอัลฟัลฟ่ามาใช้ประโยชน์มานานแล้ว โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงม้า เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วและเพิ่มความแข็งแรงให้กับม้า[2]
คุณค่าทางโภชนาการของถั่วอัลฟัลฟ่างอก ต่อ 100 กรัม
- พลังงาน 23 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 2.1 กรัม
- เส้นใยอาหาร 1.9 กรัม
- ไขมัน 0.7 กรัม
- โปรตีน 4 กรัม
- วิตามินบี 1 0.076 มิลลิกรัม 7%
- วิตามินบี 2 0.126 มิลลิกรัม 11%
- วิตามินบี 3 0.481 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี 5 0.563 มิลลิกรัม 11%
- วิตามินบี 6 0.034 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี 9 36 ไมโครกรัม 9%
- วิตามินซี 8.2 มิลลิกรัม 10%
- วิตามินเค 30.5 ไมโครกรัม 29%
- ธาตุแคลเซียม 32 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุเหล็ก 0.96 มิลลิกรัม 7%
- ธาตุแมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม 8%
- ธาตุแมงกานีส 0.188 มิลลิกรัม 9%
- ธาตุฟอสฟอรัส 70 มิลลิกรัม 10%
- ธาตุโพแทสเซียม 79 มิลลิกรัม 2%
- ธาตุโซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
- ธาตุสังกะสี 0.92 มิลลิกรัม 10%
แหล่งที่มา : % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
วิธีการรับประทานอัลฟัลฟ่า
- อัลฟัลฟ่าแบบสำเร็จรูปในปัจจุบันมีทั้งแบบเม็ด แคปซูล และแบบที่เป็นผงสำหรับใช้ชงเป็นชาดื่ม ซึ่งถ้าเป็นชาแนะนำว่าให้ใช้รับประทานในขนาด 1-2 ช้อนโต๊ะต่อถ้วย โดยนำไปต้มให้เดือดประมาณ 10-20 นาที ส่วนในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลนั้นในปัจจุบันยังไม่มีขนาดแนะนำในการใช้เป็นที่แน่นอน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรบางท่านแนะนำว่าใช้ใช้รับประทานในขนาด 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าใช้ในรูปแบบของทิงเจอร์ก็ให้ใช้วันละ 3 ครั้ง และการนำมาใช้เพื่อบำบัดภาวะคอเลสเตอรอลสูง ก็ให้ใช้ในขนาด 250-1,000 มิลลิกรัม 2-3 ครั้งต่อวัน และให้รับประทานพร้อมกับอาหารหลัก[3]
- โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากอัลฟัลฟ่าต้องมีมาตรฐานและมีข้อความว่าปลอดจากสารคานาวานิน (Canavanine) และส่วนประกอบอื่นที่เป็นอันตราย จึงจะสามารถนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมได้อย่างปลอดภัย[3]
ข้อห้ามใช้และผลข้างเคียงของอัลฟัลฟ่า
- เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอัลฟัลฟ่ามีหลายรูปแบบ มีทั้งแบบผง แบบหน่อและเมล็ด ซึ่งทั้งหมดจะมีสาร L-cavanine (สารที่อาจก่อให้เกิดเซลล์ผิดปกติ ม้ามเกิดการขยายตัว) แต่สารดังกล่าวจะหมดไปเมื่อใช้ความร้อน[3]
- ไม่ควรใช้อาหารเสริมอัลฟัลฟ่าร่วมกับอาหารเสริมที่มีวิตามินอี เนื่องจากวิตามินอีจะเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของอัลฟัลฟ่า[3]
- อัลฟัลฟ่าอาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องและท้องร่วงได้ หากคุณมีอาการดังกล่าวหลังการใช้ ให้หยุดใช้ทันที[3]
- ห้ามใช้อัลฟัลฟ่าในผู้ป่วย SLE ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของเลือด[1]
- ควรระมัดระวังในการใช้อัลฟัลฟ่าในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือในผู้ที่อยู่ในระหว่างการรักษาฮอร์โมน[1]
- ห้ามใช้อัลฟัลฟ่าในปริมาณที่มากเกินกว่าการได้รับอัลฟัลฟ่าประจำวันจากอาหารปกติ[1]
- สมุนไพรอัลฟัลฟ่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนในกรณีของเด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรนำมาใช้[3]
- ไม่แนะนำให้ใช้อัลฟัลฟ่าในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร โดยเฉพาะในส่วนของเมล็ดอัลฟัลฟ่านั้นไม่ควรจะใช้กับสตรีเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง[1]
- การใช้อัลฟัลฟ่าควรระมัดระวังในเรื่องของผลของการลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน[1]
- แม่ว่าอัลฟัลฟ่าจะเป็นพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและเกลือแร่ แต่ก็ควรจะระมัดระวังพิษจากสารประกอบต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะในส่วนของเมล็ดอัลฟัลฟ่านั้นจะไม่แนะนำให้รับประทาน[1]
- จากการทดสอบให้ลิงเพศเมียที่ให้กินต้นและเมล็ดอัลฟัลฟ่าจะเกิดอาการคล้ายกับโรคซิสเต็มมิค ลูปุส อิริเธรีมาโตซูส (Systemic Lupus Erythrematosus หรือ SLE-like Syndrome) (อาการของโรค SLE คือ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะเกิดความผิดปกติขึ้นเอง ซึ่งลักษณะของอาการดังกล่าวทำให้ข้อต่ออักเสบ เกิดความเสี่ยงที่ไตและอวัยวะอื่น ๆ ที่จะสูญหาย) เนื่องจากสารคานาวานิน (Canavanine) ที่อยู่ในอัลฟัลฟ่านั้นมีความคล้ายคลึงกับกรดอาร์จินิน (Arginine) ดังนั้นสารคานาวานิน (Canavanine) จึงเป็นพิษกับสัตว์ทุกชนิด ซึ่งสารดังกล่าวจะพบได้มากในเมล็ด แต่จะเพียงเล็กน้อยในส่วนของลำต้นและใบของต้นอัลฟัลฟ่า[1],[3]
- มีรายงานความเป็นพิษของหน่ออัลฟัลฟ่าสดที่ติดเชื้อแบคทีเรียจากเมล็ดก่อนจะแตกหน่อ โดยในหน่อที่ยังสดอาจมีแบคทีเรียอาศัยอยู่ จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยในผู้ที่ได้รับประทานเข้าไป จึงมีคำแนะนำว่าเด็กเล็ก รวมถึงผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานหน่อของต้นอัลฟัลฟ่า[3]
- นอกจากนี้ยังพบว่าอัลฟัลฟ่าไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเชื้อสาย Salmonella TA98 and TA100[1]
เอกสารอ้างอิง
- เครือข่ายความร่วมมือบริการเภสัชสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. “อัลฟัลฟ่า”. (วราลักษณ์ รวยสูงเนิน). อ้างอิงใน: www.pharm.su.ac.th. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: drug.pharmacy.psu.ac.th. [19 ม.ค. 2014].
- สำนักงานเกษตรอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี. “อัลฟาลฟา บิดาแห่งอาหารทั้งปวง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: khaokhitchakut.chanthaburi.doae.go.th. [19 ม.ค. 2014].
- สุขภาพดีดีดอทคอม. “Alfalfa คืออะไร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.healthdd.com. [19 ม.ค. 2014].
- ครูบ้านนอก. “อัลฟัลฟา หญ้ามหัศจรรย์”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.kroobannok.com. [19 ม.ค. 2014].
- บ้านสมุนไพร. “อัลฟัลฟา (Alfalfa) กับบทบาทอาหารเสริม”. อ้างอิงใน: นพ.จรัสพล รินทระ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bansamonprai.com. [19 ม.ค. 2014].
- “อัลฟัลฟ่า คืออะไร”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.ffcnulife.com. [19 ม.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Valter Jacinto | Portugal, myrique baumier, Paolo’s, RahelSharon, Spidra Webster, smir_001 catching up slowly, Cheryl Moorehead, greatandlittle, C-79, Macleay Grass Man)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)