หูอื้อ
หูอื้อ, มีเสียงในหู, เสียงดังในหู หรือ เสียงรบกวนในหู (Tinnitus) เป็นอาการหรือภาวะที่พบได้ทั่วไป ทั้งนี้ในสหรัฐอเมริกามีคนป่วยเป็นโรคนี้ถึง 40 ล้านคน แต่มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่รู้สึกว่าหูอื้อนี้เป็นปัญหาสำคัญ
ในด้านของความหมาย “อาการหูอื้อ” หมายถึง การได้ยินลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือบางรายอาจรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูหรือรู้สึกมีเสียงรบกวนในหู ซึ่งอาจเป็นเสียงแหลมวี้ด ๆ คล้ายมีแมลงวันบินอยู่ในหู หรือเป็นเสียงหึ่ง ๆ หรือเสียงตุบ ๆ ที่ดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเหล่านี้จะรู้สึกรำคาญจนทนไม่ได้ เพราะบางคนอาจไม่มีปัญหากับอาการหูอื้อที่เกิดขึ้นเลยก็ได้ ทั้งนี้หูอื้อบางชนิดก็มีอันตราย บางชนิดก็ไม่มีอันตราย ดังจะกล่าวถึงต่อไป
เสียงในหู คือ เสียงที่เกิดจากความผิดปกติของหูหรืออวัยวะข้างเคียง ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
- เสียงในหูที่ผู้ป่วยได้ยินคนเดียว (Subjective Tinnitus) เช่น เสียงแหลมวี้ดหรือเสียงจิ้งหรีดร้อง, เสียงหึ่ง ๆ อื้อ ๆ, เสียงลม, เสียงพรึบพรับ เป็นต้น
- เสียงที่แพทย์ได้ยินด้วย (Objective Tinnitus) มักเป็นเสียงที่เกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ (Carotid artery) หลอดเลือดดำใหญ่ (Jugular vein) ที่ผ่านจากคอไปสมอง ซึ่งมักเป็นเสียงตุบ ๆ หรือเสียงฟู่ ๆ ตามชีพจร
ลักษณะเสียงรบกวนในหู
การสังเกตลักษณะเสียงรบกวนในหูของผู้ป่วยต่อไปนี้จะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุได้ เช่น
- เสียงแหลมวี้ด ๆ คล้ายมีแมลงในหู หรือเสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงรบกวนที่มีความถี่สูง เกิดจากความเสื่อมของหูชั้นใน ทั้งมาจากอายุที่มากขึ้นและจากการได้ยินเสียงเป็นเวลานาน ๆ หรือจากการได้ยินเสียงดังมาก ๆ ในทันที (เช่น เสียงระเบิด เสียงพลุ เสียงปืน เสียงประทัด), การติดเชื้อบางชนิด (เช่น เชื้อซิฟิลิสหรือเชื้อไวรัสที่ทำให้หูชั้นในอักเสบ), การผ่าตัดรักษาโรคทางสมองหรือทางหูบางโรคที่อาจกระทบกระเทือนประสาทหู, การใช้ยาบางอย่าง (เช่น ยาปฏิชีวนะที่มีผลข้างเคียงต่อประสาทหู ยาขับปัสสาวะบางชนิด ยาลดการอักเสบกลุ่มแอสไพริน ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีบริเวณศีรษะเพื่อรักษาโรคมะเร็ง) เป็นต้น
- เสียงหึ่ง ๆ อื้อ ๆ หรือเป็นเสียงรบกวนที่มีความถี่ต่ำ มักเกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ร่วมกับอาการเวียนหัวบ้านหมุนและการได้ยินลดลง
- เสียงลม เกิดจากการทำงานของท่อปรับความดันหูผิดปกติ
- เสียงรบกวนจากโรคหินปูนเกาะฐานกระดูกโกลนในหูชั้นกลาง
- เสียงพรึบพรับ เกิดจากขี้หูที่อยู่ใกล้กับแก้วหูขยับไปมาตามการสั่นของแก้วหูเมื่อมีการรับเสียงจากภายนอก
- เสียงก้องในหู เกิดจากการมีน้ำขังในหูชั้นกลาง
- เสียงตุบ ๆ หรือเสียงฟู่ ๆ ที่ดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร กลุ่มนี้อาจเกิดจากเนื้องอกในช่องหู (Glomus tumor) หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะบางอย่างที่ทำให้เลือดในร่างกายเพิ่มขึ้นและหัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นจนส่งผลให้เกิดเสียงดังในหู เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง, ภาวะตั้งครรภ์, ภาวะซีด, ไทรอยด์เป็นพิษ, หลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ (Carotid artery) ตีบจากภาวะที่มีคราบไขมันเกาะผนังหลอดเลือด, หลอดเลือดดำใหญ่ (Jugular vein) วางตัวสูงใกล้กับกระดูกกกหู (เมื่อแพทย์กดบริเวณนั้นเสียงมักจะหายไป,) ภาวะหลอดเลือดผิดรูป ลิ้นหัวใจรั่ว, ภาวะความดันในกะโหลกสูงโดยไม่มีสาเหตุ เป็นต้น
- เสียงคลิกในหู เกิดจากการหดเกร็งของเอ็นยึดกระดูกโกลนของหูชั้นกลาง
นอกจากเสียงรบกวนในหูดังกล่าวจะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุได้แล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะมีวินิจฉัยโดยการตรวจการได้ยิน (Audiogram) ร่วมด้วยเสมอ เพื่อความแม่นยำและความถูกต้องในการวินิจฉัยโรค
สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อมีหลายสาเหตุ เช่น
- อาการหูอื้ออาจเกิดร่วมกับอาการปวดหู, หูตึง/หูหนวก, ปวดศีรษะ, ภาวะซีด, มีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู
- อาการหูอื้อที่เกิดขึ้นทันทีหลังการว่ายน้ำหรือดำน้ำ (หรือใช้เครื่องส่องหูดูพบว่ามีขี้หูอุดตัน) มักเกิดจากขี้หูอุดตัน
- อาการหูอื้ออาจเกิดขึ้นหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต หรือสูบบุหรี่
- อาการหูอื้ออาจเป็นผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่คุณกำลังใช้อยู่ก็ได้ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs), ยาแก้แพ้ (Antihistamine), แอสไพริน (Aspirin), ซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedrine), ฟูโรซีไมด์ (Furosemide), คลอโรควิน (Chloroquine), ควินิน (Quinine), เตตราไซคลีน (Tetracycline), ดอกซีไซคลีน (Doxycycline), อิริโทรมัยซิน (Erythromycin), โคไตรม็อกซาโซล (Co-trimoxazole), อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline), ยาเคมีบำบัดกลุ่มซิสพลาติน (Cisplatin) เป็นต้น
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับมีก้อนค้างที่คอ อาจเกิดจากคางบวม/คอบวม
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับเป็นไข้หวัดหรือเจ็บคอ อาจมีสาเหตุมาจากท่อยูสเตเชียนบวมจากโรคติดเชื้อ และถ้ามีเยื่อแก้วหูบวมแดงร่วมด้วยอาจเกิดจากหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับมีอาการบ้านหมุนนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ อาจเกิดจากโรคเมเนียส์ (โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน), หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน, เนื้องอกประสาทหู
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับการได้ยินเสียงดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร อาจเกิดจากเนื้องอกหรือความผิดปกติของหลอดเลือดของหูชั้นใน แต่หากไม่ได้มาจากเส้นเลือดและไม่สัมพันธ์กับชีพจร สาเหตุอาจมาจากกล้ามเนื้อที่กระตุกผิดปกติ (Myoclonus) เช่น บริเวณเพดานอ่อน หรือในบริเวณหูชั้นกลางซึ่งมีกล้ามเนื้ออยู่อีก 2 มัดไว้ดึงกระดูกฆ้อน (Tensor tympani) และกระดูกโกรน (Stapedius muscle)
- ถ้ามีอาการหูอื้อเป็น ๆ หาย ๆ เป็นครั้งคราว และมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ อาจเกิดจากท่อยูสเตเชียนบวมจากการแพ้
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับมีอาการนอนไม่หลับ ชอบคิดมาก หรือมีอารมณ์ซึมเศร้า อาจเกิดจากโรควิตกกังวลทั่วไป โรคอารมณ์แปรปรวน หรือโรคซึมเศร้า
- ถ้าไม่มีอาการร่วมต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา (มีหูอื้อเกิดขึ้นโดยหาสาเหตุไม่ได้หรือไม่รู้สาเหตุ) อาจเกิดจากมะเร็งโพรงหลังจมูกหรือเนื้องอกสมอง
ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดหูอื้อ
- ผู้ที่มีโรคหรือภาวะต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาในหัวข้อสาเหตุ
- ผู้ที่ทำงานหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังโดยไม่มีเครื่องป้องกันหูที่ถูกต้อง
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่หูได้ยินลดลงเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น
- เป็นผู้ที่มีปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจจากการถูกทำร้ายร่างกาย (Post traumatic stress disorder) ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเมื่อมีคนพูดเสียงดัง
- ผู้ที่เป็นชาวตะวันตก
อาการหูอื้อ
ผู้ป่วยจะมีอาการได้ยินเสียงลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือบางรายอาจรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูหรือรู้สึกมีเสียงรบกวนในหู ซึ่งลักษณะของเสียงที่ได้ยินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
อาการหูอื้อหรือมีเสียงในหูส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญได้ เพราะบางรายอาจเป็นถึงขั้นนอนไม่หลับจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุด้วยว่าเกิดจากอะไร เพราะถ้าอาการหูอื้อเกิดจากเนื้องอกในช่องหู (Glomus tumor) หรือโรคมะเร็ง ก็จะเป็นโรคที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม สาเหตุนี้ก็พบได้น้อยกว่าสาเหตุอื่น ๆ มาก
จะทราบได้อย่างไรว่าหูอื้อ ?
ส่วนใหญ่อาการหูอื้อที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันนั้นตัวผู้ป่วยเองมักจะรู้สึกถึงความผิดปกติได้ แต่ในกลุ่มที่มีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยมักไม่ทราบด้วยตัวเองและต้องอาศัยคนใกล้ชิดปกติ เช่น เรียกแล้วไม่ค่อยได้ยินหรือต้องเปิดโทรศัพท์เสียงดัง ๆ
ทั้งนี้ สำหรับวิธีการทดสอบการได้ยินด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการใช้นิ้วมือถูกันเบา ๆ ที่บริเวณหน้าหูทีละข้าง แล้วสังเกตความแตกต่างของระดับเสียงที่ได้ยิน (การทดสอบนี้จะใช้ได้เมื่อหูทั้งสองข้างมีการได้ยินไม่เท่ากัน)
การวินิจฉัยอาการหูอื้อ
แพทย์จะทำการซักประวัติอาการและตรวจหูของผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อดูว่าเสียงนั้นน่าจะมาจากในหูหรือนอกหู เกี่ยวกับเส้นประสาทหรือไม่ เป็นหูชั้นนอก หูชั้นกลาง หรือหูชั้นใน แล้วผู้ป่วยได้ยินคนเดียวหรือแพทย์ได้ยินเสียงนั้นด้วย เมื่อตรวจเจอสาเหตุก็จะรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ
แต่ในกรณีที่ตรวจไม่เจอความผิดปกติใด ๆ คราวนี้จะยากขึ้นมาหน่อย เพราะแพทย์อาจจะต้องทำการตรวจการได้ยิน (Audiogram) เพื่อดูว่าหูของผู้ป่วยได้ยินเสียงที่ความถี่ต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง หูข้างซ้ายและข้างขวาได้ยินเท่ากันหรือไม่ เพราะมีผู้ป่วยหลายรายที่พบว่าหูทั้งสองข้างปกติ แต่มีข้างหนึ่งที่ดีกว่าอีกข้างอย่างชัดเจน (ประมาณว่า “ดีเกินไป”) จึงอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอื้อ ๆ กับหูข้างที่ด้อยกว่าแต่ยังปกติได้ครับ นอกจากนี้อาจจำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาโรคที่อาจซุกซ่อนอยู่ด้วย เช่น การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส, การวิเคราะห์การทำงานของเส้นประสาทหูส่วนก้านสมองเพื่อหาหลักฐานว่ามีเนื้องอกหรือไม่ (Audiotory brain stem response – ABR), การสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อจะทำให้เห็นเนื้องอกได้
วิธีรักษาอาการหูอื้อ
- ถ้าทราบสาเหตุของอาการหูอื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ (ขอกล่าวถึงเฉพาะสาเหตุที่พบได้บ่อย)
- หูอื้อที่เกิดจากขี้หูอุดตัน ถ้าขี้หูไม่แน่นมาก อาจใช้วิธีแคะหรือเขี่ยออกด้วยความระมัดระวังอย่างเบามือหรือใช้น้ำฉีดล้างออก แต่ถ้าขี้หูแน่นมากไม่แนะนำให้ใช้วิธีแคะหรือเขี่ยออก เพราะมักจะเอาไม่ออกและทำให้ขี้หูถูกดันลึกเข้าไปมากขึ้น นอกจากนั้นยังอาจทำให้ช่องหูชั้นนอกเกิดแผล มีเลือดออกและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมได้ (หูชั้นนอกอักเสบ) ส่วนวิธีที่แนะนำคือ ให้หยอดยาละลายขี้หูให้ท่วมรูหูทิ้งไว้สักครู่แล้วเทออก ถ้ายังรู้สึกอื้ออยู่ให้ทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการปวดหูร่วมด้วยควรรีบไปพบแพทย์
- หูอื้อที่เกิดจากการได้ยินเสียงดังมาก ๆ เช่น เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงประทัด หรือเกิดอาการหูอื้อขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดร่วมกับมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน หรือมีเสียงในหู ควรรีบไปพบแพทย์เฉพาะทางทันที
- หูอื้อที่เกิดจากหวัด ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติในหูชั้นกลางและตรวจภายในโพรงจมูกร่วมด้วย เนื่องจากมักพบจมูกอักเสบเรื้อรังหรือไซนัสอักเสบได้บ่อยจากภาวะดังกล่าว
- หูอื้อที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลงต่ำและเคาะที่ศีรษะเบา ๆ หรือถ้าแมลงเข้าหู ให้หยอดหูด้วยน้ำมันพืชหรือกลีเซอรีนบอแรกซ์ (Glycerine borax)
- หูอื้อที่เกิดขึ้นหลังจากกินยาหรือฉีดยา หรือหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต หรือสูบบุหรี่ ให้หยุดยาหรือสารเหล่านี้เสีย
- หูตึงในผู้สูงอายุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกที่ทำให้ประสาทหูเสื่อมเร็วกว่าปกติ และรับการประเมินระดับการได้ยินว่าสมควรใช้เครื่องช่วยฟังหรือไม่ เพื่อเลือกชนิดของเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละรายต่อไป
- การรักษาอาการหูอื้อที่สำคัญที่สุด คือ การรักษาที่ต้นเหตุ (ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อหรือมีเสียงในหู) หากแพทย์ตรวจพบสาเหตุที่ชัดเจน การรักษาจะมุ่งเน้นไปตรงนั้น ซึ่งจะช่วยทำให้อาการหูอื้อที่เป็นอยู่นั้นหายขาดได้ เช่น ถ้าเกิดจากขี้หูอุดตัน (Cerumen impaction) แพทย์จะช่วยเอาขี้หูออกให้ ซึ่งจะช่วยทำให้อาการหูอื้อที่เป็นอยู่หายไปทันที, ถ้าเกิดจากเนื้องอกในช่องหู (Glomus tumor) ต้องรักษาโดยการผ่าตัด, ถ้าเกิดจากกล้ามเนื้อที่กระตุกผิดปกติ (Myoclonus) ต้องรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ ฯลฯ
- หากใช้ยาอยู่หลายตัว ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาต่าง ๆ เหล่านั้นที่ใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการหูอื้อได้ แล้วปรับเปลี่ยนไปใช้ยาแบบใหม่แทน
- สาเหตุบางอย่างอาจต้องอาศัยการผ่าตัด เช่น การใส่ท่อระบายน้ำที่ขังอยู่ในหูชั้นกลาง, การผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกโกลนเพื่อรักษาภาวะหินปูนเกาะที่ฐานกระดูกโกลนในหูชั้นกลาง
- การรักษาเสียงตุบ ๆ หรือเสียงฟู่ ๆ ที่ดังตามชีพจร ต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อการรักษาต่อตามสาเหตุที่ตรวจพบ
- เสียงคลิกในหูซึ่งเกิดจากการหดเกร็งของเอ็นยึดกระดูกโกลนของหูชั้นกลาง สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ยา แต่ถ้าไม่ดีขึ้นอาจต้องอาศัยการผ่าตัดรักษาต่อไป
- เสียงในหูบางชนิดจะค่อย ๆ เกิดขึ้นโดยไม่รบกวนผู้ป่วยมากนัก แต่จะทำให้การได้ยินลดลงเรื่อย ๆ พร้อมกับมีอาการเดินเซ ซึ่งมักเกิดมาจากเนื้องอกของเส้นประสาทคู่ที่ 8 เนื้องอกในสมอง หรือก้านสมองขาดเลือดไปเลี้ยง การเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะช่วยในการวินิจฉัยได้ ส่วนการรักษาจะต้องทำการผ่าตัดหรือแกมมาไนฟ์ (Gamma Knife) ต่อไป
- การรักษาอาการหูอื้อชั่วคราว
- ลองใช้เทคนิคการเคาะกะโหลก หากรู้สึกว่าอาการหูอื้อยังไม่หายหลังจากเพิ่งได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น หลังจากดูคอนเสิร์ตหรือเที่ยวผับ (สาเหตุอาจเกิดจนเซลล์ขนเล็ก ๆ ภายในคลอเคลียถูกกระทบกระเทือนจนทำให้เกิดการอักเสบและเส้นประสาทถูกกระตุ้น แล้วสมองแปลงอาการอักเสบนี้ออกมาเป็นเสียงอื้อหรือเสียงดังในหูอย่างต่อเนื่อง) คุณอาจใช้เทคนิคนี้เพื่อช่วยทำให้เสียงน่ารำคาญเหล่านั้นหายไปได้ด้วยการใช้ฝ่ามือปิดหู (ให้นิ้วหันกลับและวางอยู่ทางด้านหลังของกะโหลกศีรษะ)โดยให้นิ้วกลางทั้งสองข้างชี้เข้าหากันตรงด้านหลังสุดของกะโหลก และให้วางนิ้วชี้ไว้ด้านบนนิ้วกลาง จากนั้นให้เคลื่อนนิ้วในจังหวะเคาะ โดยกระดกนิ้วชี้ลงจากนิ้วกลางไปที่ด้านหลังกะโหลก (การเคลื่อนไหวลักษณะนี้จะทำให้เกิดเสียงเหมือนการตีกลอง และเพราะนิ้วกระแทกกับกะโหลกด้วยในขณะเดียวกัน เสียงที่เกิดขึ้นจึงอาจดังพอสมควร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ) แล้วให้เคาะนิ้วลงบนด้านหลังของกะโหลกอย่างต่อเนื่องประมาณ 40-50 ครั้ง แล้วลองสังเกตอาการหูอื้อดูว่าทุเลาลงแล้วหรือยัง
- ลองรอสักพัก เพราะอาการหูอื้อที่เกิดจากการได้ยินเสียงดัง ๆ มักหายไปเองได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง และคุณอาจเบี่ยงเบนความสนใจออกจากเสียงในหูด้วยการพักผ่อนและอยู่ให้ห่างจากสิ่งที่อาจทำให้อาการหูอื้อแย่ลง แต่ถ้ายังหูอื้อไม่หายหลังจากผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์
- การรักษาอาการหูอื้อเรื้อรัง หากตรวจไม่พบสาเหตุหรือความผิดปกติ (ซึ่งส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบ) การรักษาจะไม่ค่อยมีแล้วครับ แต่การใช้วิธีเหล่านี้อาจช่วยลดเสียงรบกวนในหูให้ลดน้อยลงได้ เช่น
- การใช้กลยุทธ์กลบเสียง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น
- การเปิดเพลงเบา ๆ เพื่อช่วยกลบเสียงในหู
- การเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศที่มีเสียงเบา ๆ อาจช่วยกลบเสียงในหูลงได้
- การฟังวิทยุไม่ตรงช่องเพื่อให้มีเสียงซ่า ๆ มากลบเสียงในหู
- การทำให้บ้านมีเสียงพื้นไว้ (Ambient sound) กล่าวคือ อย่าให้บ้านเงียบเกินไป
- ในปัจจุบันมีผู้คิดเครื่องสร้างเสียงดนตรีที่ไม่เป็นเพลงเพื่อช่วยดึงความสนใจของผู้ป่วยออกจากภาวะหูอื้อได้
- การใช้อุปกรณ์ที่ช่วยกลบเสียง นอกจากวิธีข้างต้นแล้วยังมีวิธีกลบเสียงอื้อในหูอีกหลากหลายรูปแบบที่แพทย์นำมาใช้เพื่อกลบเสียงอื้อในหู เช่น
- การใช้เครื่องสร้างสัญญาณรบกวนสีขาว (White noise) ซึ่งเครื่องสัญญาณรบกวนนี้จะสร้างเสียงเบื้องหลังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เสียงฝนตก เสียงลมพัดแรง ฯลฯ ซึ่งจะช่วยกลบเสียงอื้อในหูอย่างได้ผล
- การใช้อุปกรณ์กลบเสียง ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ที่จะติดไว้ที่หูเพื่อสร้างคลื่นสัญญาณรบกวนสีขาวอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยกลบเสียงอื้อเรื้อรังในหู
- การสวมเครื่องช่วยฟัง อุปกรณ์นี้จะได้ผลอย่างมากถ้าผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน (หูตึง) ร่วมกับอาการหูอื้อ
- การเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการหันไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ปล่อยตัวให้ว่างนัก ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พอช่วยได้ครับ
- การรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการหูอื้อ ด้วยการให้ยาเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน, ยารักษาอาการบวมของท่อปรับความดันหู หรือการให้ยาเพื่อรักษาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน, ยาสเตียรอยด์, ยาเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหูชั้นในอื่น ๆ เช่น เบตาฮีสทีน (Betahistine) ซึ่งจะช่วยลดเสียงในหูได้ประมาณ 60%, ยากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants – TCA), ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า “ซาแนกซ์” (Xanax) เพราะมีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยาอัลปราโซแลมสามารถช่วยลดอาการเสียงดังในหูอย่างได้ผล ฯลฯ (แม้ยาอาจไม่สามารถทำให้อาการหูอื้อหายขาดได้ แต่ถ้าการรักษาด้วยยามันจะทำให้อาการหูอื้อทุเลาลงได้)
- การรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย การรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยพร้อมอาหารวันละ 3 ครั้ง อาจช่วยทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ศีรษะและชะลอน้อยลง จึงช่วยลดอาการหูอื้อจากความดันโลหิตได้ (คุณอาจต้องลองรับประทานสัก 2 เดือน จากนั้นจึงค่อยตรวจเช็กประสิทธิภาพในการรักษา แต่ในระหว่างนี้ถ้ามีอาการเลวลงหรือมีอาการผิดปกติอย่างอื่นเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ทันที)
- การทำใจยอมรับ บ่อยครั้งที่พบว่าผู้ป่วยสามารถปรับตัวให้อยู่กับอาการหูอื้อหรือเสียงในหูจนเกิดความคุ้นเคยและไม่รำคาญต่อไปได้ พูดง่าย ๆ คือ พยายามอยู่กับมันให้ได้ครับ
- การใช้กลยุทธ์กลบเสียง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น
- การดูแลตนเองเมื่อมีอาการหูอื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ก่อนอื่นต้องสังเกตตัวเองก่อนว่าเป็นหูอื้อแบบไหน เช่น มีอาการหูอื้อเวลาเป็นหวัดหรือเปล่า เป็นต้น แล้วให้การดูแลรักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุนั้นให้ดี
- หลีกเลี่ยงเสียงดัง เช่น งานคอนเสิร์ต บริเวณพื้นที่ก่อสร้าง เครื่องบิน เสียงปืน และเสียงดังอื่น ๆ หรือใส่เครื่องป้องกันเสียงเสมอ
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ เพราะน้ำและสารคลอรีนอาจติดค้างอยู่ในหูชั้นในในขณะว่ายน้ำจนเป็นสาเหตุหรือทำให้อาการเสียงดังในหูแย่ลงได้ (แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการใส่ที่อุดหูในขณะว่ายน้ำ)
- เมื่อเกิดความรู้สึกรำคาญจากเสียงในหู อาจเปิดเพลงเบา ๆ เพื่อช่วยกลบเสียงในหูได้
- หาวิธีระบายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย นั่งสมาธิ การนวดบำบัด ฯลฯ เพราะความเครียดอาจทำให้อาการแย่ลงได้
- ยอมรับและปรับตัวเพื่อลดความกังวลและความเครียด รักษาสุขภาพจิตให้ดี เพราะความเครียดจะทำให้รู้สึกว่ามีเสียงในหูดังขึ้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและส่งผลทำให้ได้ยินการไหลเวียนของเลือดในหูดังขึ้นหรือหูอื้อมากขึ้นได้
- งดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะนิโคตินในบุหรี่อาจทำให้อาการหูอื้อที่เป็นอยู่เลวลงได้
- ถ้ามีอาการได้ยินลดลง ควรรีบไปพบแพทย์ด้านหูคอจมูก เพราะอาจเป็นอาการของประสาทหูเสื่อมได้
วิธีป้องกันอาการหูอื้อ
การป้องกันการเกิดอาการหูอื้อสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการฟังเสียงดัง ๆ หรือถ้าต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังก็ต้องมีเครื่องป้องกันหูที่ถูกต้อง เช่น ที่อุดหู
- ควรป้องกันตนเองไม่ให้เป็นหวัด โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เช่น ความเครียด, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การตากฝน, การดื่มหรืออาบน้ำเย็น, การสัมผัสอากาศที่เย็นเกินไป, การสัมผัสอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (เช่น จากร้อนไปเย็น จากเย็นไปร้อน), การมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้ เป็นต้น (แต่ในกรณีที่เป็นหวัดแล้ว ต้องรีบรักษาตัวเองให้หายและงดการดำน้ำในช่วงนั้น)
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกหรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง ควรป้องกันไม่ให้อาการทางจมูกหรือไซนัสกำเริบ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น ความเครียด, อารมณ์เศร้า เสียใจ, ความวิตกกังวล, ของฉุน, ฝุ่น, ควัน, อากาศที่เปลี่ยนแปลง, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจหรือวัด เป็นต้น เนื่องจากถ้ามีการอักเสบในโพรงจมูกเกิดขึ้นจะส่งผลทำให้ท่อยูสเตเชียน* ทำงานผิดปกติ
- ถ้ามีอาการทางจมูกเกิดขึ้น เช่น คันจมูก คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล และจำเป็นต้องขึ้นเครื่องบิน ควรใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการทางจมูกก่อนขึ้นเครื่องเป็นเวลาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น การรับประทานยาแก้แพ้ ยาหดหลอดเลือด หรือยาพ่นจมูก และอาจร่วมกับการล้างจมูกหรือการสูดไอน้ำร้อน เพื่อทำให้การอักเสบภายในจมูกลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยทำให้ยูสเตเชียนกลับมาทำงานปกติได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น ควรทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงานเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลาในระหว่างเครื่องบินขึ้นและลงด้วย เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง (เพื่อทำให้มีการกลืนน้ำลายบ่อย ๆ ซึ่งในขณะที่กลืนน้ำลายจะมีการเปิดและปิดท่อยูสเตเชียน) หรือบีบจมูก 2 ข้างและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง (จะทำให้ท่อยูสเตเชียนปิด) และเอามือที่บีบจมูกออกและกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง (จะทำให้ท่อยูสเตเชียนเปิด) เป็นต้น ทั้งนี้ในขณะที่เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบซึ่งมีการติดเชื้อในจมูก ไม่ควรบีบจมูกและเป่าลมให้เข้ารูเปิดของท่อยูสเตเชียน เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคในจมูกเข้าไปสู่หูชั้นกลางได้ (ถ้าลองใช้ยาตามวิธีข้างต้นแล้วยังมีอาการทางหูอยู่ ให้พ่นยาหดหลอดเลือดเข้าไปในจมูกอีกทุก ๆ 10-15 นาที ร่วมกับทำตามวิธีที่ให้ท่อยูสเตเชียนทำงานเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลาดังกล่าว ดังนั้น จึงควรพกยาหดหลอดเลือดชนิดพ่นและชนิดรับประทานติดตัวไว้ด้วยเสมอ)
- ดูแลรักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหูอื้อดังที่กล่าวมา
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาใด ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อป้องกันการทำลายเซลล์ประสาทรับเสียงในหูชั้นใน
- ลดการบริโภคแอลกอฮอล์ กาเฟอีน และนิโคติน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้หลอดเลือดขยายตัวและส่งผลทำให้ได้ยินการไหลเวียนของเลือดในหูดังขึ้นหรือหูอื้อมากขึ้นได้
- หลีกเลี่ยงเกลือ เพราะเกลือจะทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายอ่อนแรง ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้อาการเสียงดังในหูแย่ลงอีกด้วย
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการติดเชื้อและลดการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหูอื้อได้
- ไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับหูเกิดขึ้น
หมายเหตุ : ท่อยูสเตเชียน (Eustachain tube) เป็นท่อที่ช่วยปรับความดันของหูชั้นกลางให้เท่ากับบรรยากาศภายนอก เพราะเมื่อใดก็ตามที่ท่อนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้เกิดอาการหูอื้อ ปวดหู มีเสียงในหู หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ ตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่เราพบได้บ่อย ๆ คือ การขึ้นหรือลงลิฟต์เร็ว ๆ หรือในขณะที่เครื่องบินขึ้นหรือลงเร็ว ๆ ก็จะทำให้มีอาการหูอื้อได้
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1. “หูอื้อ (Decreased hearing)/มีเสียงในหู (Tinnitus)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 100-102.
- หาหมอดอทคอม. “หูอื้อ เสียงในหู (Tinnitus)”. (นพ.วิรัช ทุ่งวชิรกุล). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : haamor.com. [31 ธ.ค. 2016].
- ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. “หูอื้อ”. (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th. [31 ธ.ค. 2016].
- ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. “ขึ้น… ลงเครื่องบิน มีปัญหาปวดหู หูอื้อ…ทำอย่างไรดี”. (รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th. [31 ธ.ค. 2016].
- โรงพยาบาลบางปะกอก 9. “โรคเสียงอื้อในหู ความผิดปกติของหู”. (พญ.พัตราภรณ์ ตันไพจิตร). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.bangpakokhospital.com. [01 ม.ค. 2017].
- wikiHow. “วิธีการแก้อาการหูอื้อ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : th.wikihow.com. [01 ม.ค. 2017].
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)