สำโรง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นสำโรง 20 ข้อ !

สำโรง

สำโรง ชื่อวิทยาศาสตร์ Bastard poon, Pinari[1]

สำโรง ชื่อวิทยาศาสตร์ Sterculia foetida L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clompanus foetida (L.) Kuntze, Sterculia mexicana var. guianensis Sagot)[1] จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)

สมุนไพรสำโรง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จำมะโฮง (เชียงใหม่), มะโรง มะโหรง (ปัตตานี), โหมโรง (ภาคใต้) เป็นต้น[1]

ลักษณะของสำโรง

  • ต้นสำโรง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ ที่มีความสูงของต้นประมาณ 15-20 เมตร และอาจสูงได้ถึง 30 เมตร ลำต้นเปลาตรงและสูงชะลูด เรือนยอดเป็นรูไข่ถึงทรงกระบอก ทรงพุ่มโปร่งไม่ทึบ กิ่งก้านแตกแขนงในลักษณะตั้งฉากกับลำต้นและแผ่กว้างออกไปรอบ ๆ ต้น และการแตกกิ่งก้านจะออกเป็นระยะ ๆ ทำให้เห็นทรงพุ่มเป็นชั้น ๆ ดูคล้ายฉัตร และในแต่ละชั้นจะมีระยะห่างใกล้เคียงกัน และจะแตกกิ่งก้านที่ระดับความสูงตั้งแต่ 8-10 เมตร เปลือกลำต้นค่อนข้างเรียบและค่อนข้างหนาและเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลปนเทา ปรากฏร่องรอยแผลเป็นของก้านใบที่หลุดลอกรอบต้นอย่างชัดเจน และมีลักษณะเป็นเส้นใยหยาบ ๆ สีน้ำตาล ส่วนโคนต้นแก่แตกเป็นพูพอนเล็กน้อย เนื้อไม้หยาบและเป็นไม้เนื้ออ่อนค่อนข้างเหนียว ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ในประเทศไทยพบต้นสำโรงกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามป่าโปร่งทั่วไป ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-600 เมตร[1],[2],[4]

ต้นสำโรง

  • ใบสำโรง ใบเป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ กางแผ่ออกจากจุดเดียวกัน ออกเรียงเวียนสลับ มีใบย่อยประมาณ 7-8 ใบ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรีหรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลมหรือมีติ่งแหลม โคนใบแหลมหรือเป็นรูปลิ่ม ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3.5-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร แผ่นใบหนาเกลี้ยง หลังใบเรียบ และท้องใบเรียบแต่มีสีอ่อนกว่า มีเส้นแขนงใบข้างละ 17-21 เส้น ส่วนก้านใบร่วมยาวประมาณ 13-20 เซนติเมตร[1],[2],[4]

ใบสำโรง

  • ดอกสำโรง ออกดอกเป็นช่อแบบแยกแขนง โดยจะออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกล้กับปลายกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีแดงเข้ม ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ โคนกลีบติดกันเป็นรูปถ้วยสีแสด ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ ปลายกลีบม้วนออก และมีขนละเอียดปกคลุม เมื่อดอกบานเต็มที่จะงอลงด้านล่าง และมีขนาดกว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ประมาณ 12-14 อัน ก้านเกสรมีขนาดสั้นมากจนเกือบมองไม่เห็น อยู่ติดกับรังไข่ ดอกมีกลิ่นเหม็นมาก จึงไม่ควรนำมาปลูกบริเวณใกล้ที่พักอาศัย โดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม และช่อดอกจะออกไล่เลี่ยกับการผลิใบอ่อน[1],[2],[4]

รูปสำโรง

รูปดอกสำโรง

ดอกสำโรง

  • ผลสำโรง ขั้วผลติดกันเป็นกระจุก 4-5 ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรีหรือรูปไต ปลายผลมีติ่งแหลมออกเป็นพวงห้อยย้อยลงมา ผิวผลเรียบแข็ง ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม สีแดง หรือสีแดงปนน้ำตาล มีขนาดกว้างประมาณ 6-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร พอแห้งแล้วจะแตกอ้าออกเป็น 2 ซีกตามร่องประสาน เปลือกผลแห้งจะแข็งเหมือนไม้และมีสีน้ำตาล ภายในมีเมล็ดลักษณะกลมรีสีดำ เนื้อในเมล็ดเป็นสีขาว เมล็ดมีขนาดกว้างประมาณ 1.3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร โดยผลหนึ่งจะมีเมล็ดประมาณ 12-13 เมล็ด และจะออกผลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[4]

ผลสำโรง

สําโรง

สรรพคุณของสำโรง

  1. เปลือกต้นมีรสฝาดสุขุม ใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยากล่อมเสมหะและอาจม (เปลือกต้น)[1],[2]
  2. ช่วยแก้โลหิตและลมพิการ (เปลือกต้น)[2]
  3. ช่วยขับเหงื่อ (เปลือกต้น)[1],[2]
  4. เปลือกหุ้มเมล็ดมีสรรพคุณช่วยแก้กระหายน้ำ (เปลือกหุ้มเมล็ด)[3]
  5. ช่วยละลายเสมหะ (เปลือก)[4]
  1. ผลมีรสฝาด สรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ (ผล)[1],[2],[3] และน้ำจากผลมีสรรพคุณเป็นยาสมานท้อง (น้ำจากเปลือกผล)[1]
  2. เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้บิดปิดธาตุ (เปลือกต้น)[1]
  3. ช่วยแก้ลำไส้พิการ (เปลือกผล)[1],[2]
  4. เปลือกต้นและเมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ (เปลือกต้น,เมล็ด)[1],[2],[3],[3] ส่วนใบก็มีสรรพคุณเป็นยาระบายเช่นกัน (ใบ)[1],[3]
  5. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำกินช่วยแก้อาการบวมน้ำ (เปลือกต้น)[1],[2]
  6. ช่วยขับปัสสาวะ (เปลือกต้น)[1],[2],[3]
  7. ช่วยแก้ปัสสาวะพิการ (เปลือกผล)[1],[2]
  8. เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคไส้เลื่อนได้ดี โดยให้ใช้เปลือกต้นสำโรง (สดหรือแห้งก็ได้) นำมาฝนกับฝาละมีหรือกระเบื้องดินเผา และผสมกับน้ำปูนใส (ปูนขาวหรือปูนแดงที่ใช้กินกับหมาดพลู) โดยให้ฝนจนเป็นน้ำข้น แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาลูกอัณฑะบริเวณที่บวมหรือเริ่มเป็นไส้เลื่อนได้ไม่นาน และให้ฝนทาวันละหลาย ๆ ครั้ง จะช่วยทำให้ถุงอัณฑะหดตัว โดยให้ทาติดต่อกันประมาณ 30 วัน พบว่าได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล เพราะเคยใช้รักษาหายมามากหลายรายแล้ว (ตำรายาสมุนไพร หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า) (เปลือกต้น)[5]
  9. ผลและเปลือกผลมีรสฝาด ใช้ปรุงเป็นยากินแก้โรคไตพิการ (ผล,เปลือกผล)[1],[2]
  10. น้ำจากเปลือกผล มีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคไต (น้ำจากเปลือกผล)[1]
  11. ช่วยรักษาบาดแผล (เมล็ด)[3],[3]
  12. เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำกินแก้โรคปวดข้อ (เปลือกต้น)[1],[2]

ประโยชน์ของสำโรง

  • เนื้อไม้สำโรง เป็นไม้เนื้ออ่อน นำมาไสกบและตกแต่งได้ง่าย จึงเหมาหรับนำมาใช้ทำเครื่องเรือน หีบใส่ของ หูกทอผ้า ไม้จิ้มฟัน ก้านและกลักไม้ขีดไฟ และไม้อัดได้ ส่วนเปลือกสามารถนำมาใช้ทำเชือกอย่างหยาบ ๆ ได้[4]
  • น้ำมันจากเนื้อในเมล็ดสำเร็งสามารถนำมาใช้ในการปรุงอาหารและจุดไฟได้ [4] (บางข้อมูลระบุว่าผลมีรสหวานและใช้รับประทานได้)
  • ในด้านการเป็นไม้ประดับ ความน่าสนใจของต้นไม้ชนิดนี้ก็คือ เป็นต้นไม้ที่มีรูปทรงของลำต้นเปลาตรง มีเรือนยอดเป็นเหมือนร่ม พุ่มใบหนาทึบ กิ่งก้านแตกตั้งฉากกับลำต้นจากจุดเดียวกันเป็นฉัตร รูปใบดูแปลกตาและให้สีสันสวยงาม เพราะใบอ่อนจะเป็นสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว พอใบใกล้ร่วงจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองดูสดใส อีกทั้งยังมีผลแก่สีแดงที่ดูเด่นสวยงามและแปลกตา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะนิยมนำมาปลูกไว้ตามริมถนน โรงเรียน หรือในวัด และยังจัดเป็นไม้ป่าที่หายากขึ้นเรื่อย ๆ หรือใช้ปลูกเป็นหมวดหมู่เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ก็ให้ความแปลกตาและร่มเงาได้เป็นอย่างดี (แต่จะไม่นิยมมาปลูกไว้ในบริเวณที่พักอาศัย เพราะดอกมีกลิ่นเหม็นมาก)
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  “สำโรง (Sam Rong)”.  หน้า 303.
  2. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.  (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ).  “สำโรง”.  หน้า 183.
  3. อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “สำโรง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/.  [12 มิ.ย. 2014].
  4. พรรณไม้บริเวณสวนสมุนไพรสาธิต, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “สำโรง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th/plants_data/. [12 มิ.ย. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Hawaiian Ecosystems at Risk project (HEAR), Dinesh Valke, Forest and Kim Starr, Hai Le, kaydeesquared, Ahmad Fuad Morad)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด