สะตอ
สะตอ ชื่อสามัญ Bitter bean, Twisted cluster bean, Stink bean
สะตอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Parkia speciosa Hassk. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Parkia macropoda Miq.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยสีเสียด (MIMOSOIDEAE หรือ MIMOSACEAE)
เมล็ดสะตอจะมีกลิ่นเหม็นเขียวรุนแรงมาก นิยมใช้ประกอบอาหารในแถบภาคใต้ และในประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว พม่า และสิงคโปร์ ก็นิยมนำสะตอมาทำเป็นอาหารรับประทานเช่นกัน
วิธีดับกลิ่นสะตอ เมื่อรับประทานสะตอเข้าไปแล้ว หลังรับประทานเข้าไปจะมีกลิ่นปาก ซึ่งเราสามารถกำจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ได้ด้วยการรับประทานมะเขือเปราะตามไปประมาณ 2-3 ลูก ก็จะช่วยดับกลิ่นเหม็นเขียวของสะตอได้ดีในระดับหนึ่ง
แต่สำหรับผู้ที่รับประทานสะตอเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเคยรู้หรือไม่ว่าสะตอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง สะตออุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 และวิตามินซีอีกด้วย ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น คราวนี้เรามาดูประโยชน์และสรรพคุณของสะตอกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง ?
สรรพคุณของสะตอ
- สะตอมีส่วนช่วยบำรุงสายตา
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร
- ช่วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
- ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันได้ดีขึ้น
- มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- เชื่อว่าการรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้
- ช่วยขับลมในลำไส้
- ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
- ช่วยในการขับปัสสาวะ
- สะตอมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย
- แก้ปัสสาวะพิการ
- ช่วยแก้ไตพิการ
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา
ประโยชน์ของสะตอ
- ใช้ประกอบอาหาร เช่น สะตอผัดกุ้ง แกงป่าใส่สะตอ สะตอผัดกะปิกุ้งสด เป็นต้น
- ใช้แปรรูปเป็นสะตอดองได้อีกด้วย ส่วนยอดสะตอนำมารับประทานเป็นผักเหนาะ
- ใบของสะตอใช้ทำเป็นปุ๋ยบำรุงดิน
- ลำต้นของสะตอใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน
ข้อควรระวัง ! : เนื่องจากสะตอมีกรดยูริกสูง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์หรือผู้ที่มีกรดยูริกในร่างกายสูงเกินค่ามาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสะตอ เพราะอาจจะทำให้โรคเกาต์กำเริบได้ และกรดยูริกในร่างกายที่สูงก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนิ่ว โรคไตอักเสบ และมีอาการหูอื้ออีกด้วย
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)