ก้นลาย
แม้ว่าก้นจะเป็นส่วนที่ไม่มีใครจะได้มองเห็นง่าย ๆ เมื่อก้นหรือบั้นท้ายมีปัญหาดำคล้ำหรือเกิดรอยแตกลาย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย… เพราะมีสาวจำนวนไม่น้อยที่ต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเมื่อก้นของเธอเต็มไปด้วยรอยดำคล้ำแตกลาย แล้วใครจะไปยอม? ไม่ว่าใครก็อยากสวยตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้ากันทั้งนั้น จริงไหม? แค่คิดว่าจะใส่บิกินี่แล้วรอยแตกลายเกิดแลบออกมา ก็อาจทำให้หนุ่มริมสระแอบขำขันกันก็ได้ นี่ยังไม่รวมถึงความกังวลที่สาว ๆ บางรายไม่กล้าเปิดไฟกุ๊กกิ๊กกับแฟน เพราะกลัวจะถูกแซวว่าเป็น “แม่สาวตูดลาย” ว่าแล้วเราก็มาเจาะลึกถึงสาเหตุและวิธีแก้ไขอย่างถูกต้อง เพื่อให้บั้นท้ายของเรากลับมาไฉไลเหมือนเดิมกันดีกว่า…
ลักษณะของก้นลาย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังระบุว่า “ก้นลาย” มีอยู่ด้วยกัน 3 ลักษณะ คือ ก้นลายจากรอยสิว, ก้นลายจากผื่นแพ้, และก้นลายจากรอยแตก โดยลักษณะของรอยแต่ละแบบจะมีความต่างกันเล็กน้อย แต่บางคนก็แยกไม่ออก หรือบางคนก็มีหลายอย่างปนกัน คือ มีทั้งรอยดำจากสิวและมีทั้งรอยแตกลายจากการโตเร็วปนกันไปหมด ทำให้ก้นไม่สวย
- ก้นลายจากรอยสิว แบบนี้พบได้บ่อยที่สุด เมื่อสิวหายก็จะทำให้เกิดรอยดำ ดูกระดำกระด่าง
- ก้นลายจากรอยดำที่เคยเป็นผื่นแพ้ เช่น เป็นผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณก้นแล้วเกิดเป็นรอยดำตามมา
- ก้นลายจากการเป็นรอยแตกลาย ซึ่งมีทั้งรอยแตกลายที่เกิดจากร่างกายเจริญเติบโตเร็ว หรือคนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ อันนี้ก็เกิดเป็นลายอีกลักษณะหนึ่ง
สาว ๆ เคยเอามือไปลูบคล้ำบริเวณก้นแล้วเจอ เม็ดหรือตุ่ม อะไรบ้างไหม? ไม่ต้องกังวลเพราะเรามีวิธีแก้ปัญหา สิวที่ก้น ให้คุณด้วย 4 วิธีง่าย ๆ มาลองทำกันเลย…
วิธีรักษาก้นลาย
การรักษาก้นลายที่เกิดจากสิวและผดผื่น การรักษาก้นลายที่เกิดจากสิวและจากผดผื่นจะแตกต่างกันออกไป หากเกิดจากสิวก็ต้องมาดูอีกว่าเป็นสิวจริง หรือสิวผด หรือรูขุมขนอักเสบ เพราะบางคนเป็นสิวจริงเหมือนกับสิวบนใบหน้า แบบนั้นก็ต้องใช้วิธีรักษาเหมือนการรักษาสิวบนใบหน้า ส่วนบางคนอาจเป็นลักษณะของผดร้อน เนื่องมาจากใส่กางเกงที่ระบายอากาศได้ไม่ดี ตอนออกกำลังกายก็เกิดเป็นผดร้อน เหมือนเวลาเด็ก ๆ มีผดร้อน แต่บางคนก็อาจจะเป็นรูขุมขนอักเสบ คือ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ซึ่งเหล่านี้จะต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย เพื่อแยกโรค เพราะการรักษาแต่ละแบบจะต่างกัน ดังนั้นหากคุณเป็นสิวที่ก้นก็ควรจะหาวิธีรักษาสิวหรือผดผื่นให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยมาดูเรื่องของการรักษารอยดำกันอีกที ซึ่งวิธีรักษารอยดำก็ไม่ได้ต่างจากการรักษารอยดำบนใบหน้าแต่อย่างใด โดยวิธีป้องกันและรักษาก้นลาย คุณสามารถทำได้โดย…
- ดูแลตัวเอง : ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารขยะที่ไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ใช้น้ำยาซักผ้าที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (non-allergenic) เลือกใช้กระดาษชำระที่ไม่มีส่วนผสมน้ำหอมและสีย้อม และการแพ้อาหารบางอย่างก็อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวด้วยเช่นกัน
- เลือกกางเกงที่สวมใส่สักนิด : ไม่สวมใส่กางเกงหรือชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป ที่สำคัญก็คือไม่ควรออกกำลังกาย โดยใส่กางเกงที่อับและไม่มีการระบายอากาศ เพราะจะทำให้เกิดผื่นเล็ก ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิวได้เหมือนกัน
- อาบน้ำทุกครั้งหลังเหงื่อออก : เมื่อออกกำลังกายจนเหงื่อท่วมตัว เสื้อผ้าเราจะอับชื้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะทำให้เกิดสิวได้ ทางที่ดีคุณควรรีบถอดเสื้อออกแล้วไปอาบน้ำตามปกติ และอาจใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ที่ช่วยลดเชื้อสิว มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก จึงลดการอุดตันรูขุมขน
- ขัดผิวหรือสครับ : บางคนอาจใช้วิธีขัดผิว ซึ่งมันก็ได้ผลเหมือนกัน แนะนำว่าควรใช้ใยบวบหรือแปรงขัดผิวเพื่อชำระล้างเชื้อแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวออกไป แต่ทำมากไปหรือแรงเกินไปก็ไม่ส่งผลดี เพราะการใช้บอดี้สครับขัดแบบรุนแรงมาก ๆ อาจเป็นการไปกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองหรือไปกระตุ้นให้เกิดสิว หรืออีกวิธีให้ใช้สครับยี่ห้ออะไรก็ได้ หรือจะใช้เกลือสปา ใช้เกลือขัดก็ยังได้ โดยนำมาสครับผิวบริเวณก้นแบบเบามือ
- บำรุงผิวสักหน่อย : หลังอาบน้ำควรบำรุงผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกทุกครั้ง มีอยู่หลายแบบด้วยกัน หากเป็นคนมีสิวที่ก้นง่ายอยู่แล้ว พยายามเลี่ยงการใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะอาจจะทำให้เกิดการอุดตันมากขึ้น
- กรดผลไม้ (AHA) ใช้กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปโดยไม่ทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน จึงช่วยลดต้นตอของปัญหาก้นลายจากสิวได้ อีกทั้งยังช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมออีกด้วย สำหรับคนที่ไม่ใช้ก็แนะนำให้เริ่มจากความเข้มข้นน้อย ๆ ก่อน ที่ 15% ส่วนผู้ที่เคยใช้มาแล้ว ก็อาจใช้ความเข้มที่ 30% ก็ได้ครับ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือ BHA เป็นกรดที่มีฤทธิ์ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดหลุดลอกออกไป ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิวอุดตัน เหมาะกับคนที่ผิวบอบบาง เพียงแค่คุณใช้สำลีชุบด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของบีเอชเอทาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สิวก็จะค่อย ๆ ยุบลงไปเอง
- การใช้ยาในกลุ่มต้านการสร้างเม็ดสี หรือการใช้วิตามิน เช่น วิตามินซี มาช่วยลดรอยด่างดำ
- รับประทานอาหารเสริมซะบ้าง : รับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมที่มีวิตามินเอ วิตามินบี 5 วิตามินซี วิตามินอี ซีลีเนียม และซิงค์ เพื่อช่วยบำรุงผิว
- ไอพีแอล (IPL) เหมือนเวลาเราไปยิงรักษารอยดำของสิวบนใบหน้า ซึ่งสามารถนำมาใช้กับผิวบริเวณก้นได้เช่นกัน
การรักษาก้นแตกลายเพราะโตเร็ว แบบนี้จะรักษาได้ค่อนข้างยากหน่อย เพราะว่ารอยแตกลายมันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีที่ผิวหนัง แต่มันเป็นเรื่องคอลลาเจนใต้ผิว ที่มีการฉีกขาดจนทำให้เกิดเป็นเหมือนลักษณะผิวไม่เรียบ หากอยากให้บั้นท้ายนวลเนียนจริง ๆ ก็อาจจะป้องกันและรักษาด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ป้องกันเท่าที่ทำได้ : แม้การป้องกันรอยแตกลายตามก้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงและป้องกันได้ยาก เพราะรอยแตกดังกล่าวจะเกิดขึ้นตอนร่างกายกำลังเติบโตในช่วงวัยรุ่น บางคนโตไวมาก ร่างกายจึงขยายไว และเกิดเป็นรอยแตกลายได้ และในช่วงวัยรุ่นนี้เราจะไม่ให้ร่างกายเติบโตก็ไม่ได้ ดังนั้นอาจทำได้แค่หมั่นทาโลชั่นเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง ซึ่งอาจจะช่วยได้บ้างในระดับหนึ่ง ส่วนในกรณีของผู้ใหญ่ การควบคุมน้ำหนักถือเป็นสิ่งสำคัญ พยายามอย่าให้น้ำหนักตัวขึ้นเร็วหรือลงเร็วมากจนเกินไป เพราะตรงนี้แหละจะทำให้เกิดรอยแตกลายขึ้นมาได้
- ทำเลเซอร์ : หันไปพึ่งเลเซอร์ในกลุ่มผลัดเซลล์ผิวแบบแยกส่วน ก็ช่วยได้พอสมควร
- หมั่นเข้าสปา (Spa) : สำหรับสาวก้นลายกระเป๋าหนัก ที่มักปลีกเวลาเข้าสปาเป็นประจำเพื่อหวังคืนความเนียนใสให้บั้นท้าย ก็สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง การเข้าสปาจะช่วยในแง่ที่ว่าทำให้ผิวของเราเนียนขึ้นด้วยเทคนิคการนวดครีม หลักการคือ พยายามทำให้ครีมเข้าสู่ผิวมากขึ้น เพราะปัญหาที่ต้องพบคือ เวลาทาครีมเข้าไป มันจะต้องผ่านชั้นผิวหนังหลายชั้น ทาไปสิบอาจเข้าไปถึงชั้นคอลลาเจนแค่สอง ดังนั้น เทคนิคของการทำสปา ไม่ว่าจะเป็นการนวดหรือการห่อตัวที่เขาใช้กันก็คือ ต้องทำให้ครีมเข้าสู่ผิวได้เยอะมากที่สุด เพราะยิ่งเข้าสู่ผิวเยอะมากเท่าไร มันก็เห็นผลมากขึ้นเท่านั้น
วิธีการรักษาก้นแตกลายในขณะตั้งครรภ์ สภาวะก้นลายและหน้าท้องลายจะพบได้บ่อยกับกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากฮอร์โมนเพศที่เปลี่ยนแปลงระหว่างการตั้งครรภ์ โดยตอนตั้งครรภ์นั้น ร่างกายของเราจะขยายขึ้นทุกส่วน และที่สำคัญก็คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งมีมากในช่วงตั้งครรภ์ จะทำให้คอลลาเจนในร่างกายของเราอ่อนแอลง จนทำให้เกิดการฉีกขาดได้มากขึ้น พอร่างกายขยายมันก็เลยฉีกขาดจนเกิดรอยแตกตามมา ซึ่งตรงนี้มันยับยั้งไม่ได้ แต่เราอาจป้องกันได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ดูแลตัวเอง : การดูแลตัวเองให้น้ำหนักตัวขึ้นแค่ตามเกณฑ์ เช่น แพทย์แนะนำให้ขึ้น 12 กิโลกรัม แต่ดันขึ้นไปถึง 22 กิโลกรัม แบบนี้ร่างกายก็มีส่วนเกินเยอะ จึงทำให้เกิดรอยแตกได้
- ใช้โลชั่นที่ทาลดการแตกลาย : จริงแล้ว ๆ ยังไม่มีโลชั่นตัวไหนที่พิสูจน์ได้ว่าสามารถช่วยป้องกันรอยแตกได้ 100% เพียงแต่การใช้โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวทาเป็นประจำนั้นจะช่วยทำให้การฉีกขาดของคอลลาเจนน้อยลงเท่านั้น ทำให้รอยแตกลดน้อยลง เพราะถ้าผิวชุ่มชื้นก็เปรียบเหมือนกับกระดาษเปียก ที่เมื่อเปียกแล้วจะเหนียวและฉีกขึ้น แต่ถ้าแห้งเมื่อฉีกปุ๊บมันก็ขาดทันที (ภาพ : pantip.com by Keropoko)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)