ลิ้นกวาง
ลิ้นกวาง ชื่อวิทยาศาสตร์ Ancistrocladus tectorius (Lour.) Merr. จัดอยู่ในวงศ์ ANCISTROCLADACEAE[2]
สมุนไพรลิ้นกวาง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ลิ้นควาย (ลำปาง), หางกวาง (นครพนม), ค้อนหมาแดง (นครราชสีมา), หูกลวง (ปราจีนบุรี, ตราด), โคนมะเด็น (สุพรรณบุรี), คันทรง ทองคันทรง (ชลบุรี), ค้อนตีหมา (ยะลา), พันทรง (นราธิวาส), ค้อนหมาขาว (ภาคกลาง), ยูลง ลิดาซาปี (มลายู-ภาคใต้), กระม้า (เขมร-สระบุรี), ขุนม้า ขุนมา (เขมร-สุรินทร์), ซินตะโกพลี (กะเหรี่ยง-ลำปาง), กะม้า ขุนนา (เขมร) เป็นต้น[1],[2],[4]
ลักษณะของลิ้นกวาง
- ต้นลิ้นกวาง จัดเป็นพรรณไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ ลำต้นขึ้นใหม่เป็นพุ่ม มักเลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้อื่น สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 15-20 เมตร ส่วนกิ่งก้านเล็ก ๆ มีตะเป็นมือ มีลักษณะเป็นข้อแข็ง ๆ สำหรับเป็นที่ยึดเกาะพันไม้อื่น เถาแก่เป็นสีน้ำตาล เถาแตกเป็นรอยตื้นตามยาว ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ขึ้นได้ในที่ราบสูงทั่วไป ชอบดินค่อนข้างชื้นและดินอุดมสมบูรณ์พอเหมาะ อุ้มน้ำได้ดี ชอบแสงแดดรำไร พบขึ้นทั่วไปตามป่าดงดิบ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น[1],[2],[3]
- ใบลิ้นกวาง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง เรียงเวียนสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหอกกลับ รูปรี หรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแหลมและค่อย ๆ สอบเข้าหาก้านใบ ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3.5-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-19 เซนติเมตร แผ่นใบแข็งกระด้าง มีเส้นใบเชื่อมกันก่อนถึงขอบใบ ยอดอ่อนเป็นสีแดงหรือสีเขียวอมขาวอ่อน ๆ[1],[2]
- ดอกลิ้นกวาง ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด แต่ละดอกจะมีขนาดเล็ก ฐานดอกเป็นสีเขียว ส่วนกลีบดอกเป็นสีขาวอมแดงถึงสีแดงคล้ำ ส่วนโคนเป็นท่อสั้น ๆ แยกออกเป็น 5 กลีบ ออกดอกในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม[1],[2]
- ผลลิ้นกวาง ผลมีขนาดประมาณ 0.5 เซนติเมตร และมีปีกอยู่ 5 ปีก ซึ่งจะมีความยาวไม่เท่ากันรองรับ แบ่งเป็นปีกเล็ก 2 ปีก และปีกใหญ่ 3 ปีก เมื่อแก่จะแห้งเป็นสีน้ำตาล ออกผลในช่วงประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2]
สรรพคุณของลิ้นกวาง
- ทั้งต้นใช้ต้มดื่มเป็นยาแก้โรคกระษัย ไตพิการ และไข้ป่า (ทั้งต้น)[3]
- รากนำมาต้มใช้เป็นยารักษาโรคไข้จับสั่น (ราก)[1]
- รากนำมาต้มใช้เป็นยารักษาโรคบิด (ราก)[1]
- เถาและใบนำมาต้มเคี่ยวให้น้ำเข้มข้น ใช้กินก่อนอาหารครั้งละครึ่งแก้ว เป็นยาขับพยาธิ (เถาและใบ)[3]
- ใบอ่อนนำมาต้มเอาน้ำอาบเป็นยารักษาอาการบวมตามตัวและเม็ดผื่นคันตามผิวหนัง (ใบอ่อน)[1]
- รากลิ้นกวางใช้ผสมกับรากช้างน้าว นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย (ราก)[4]
ประโยชน์ของลิ้นกวาง
- ใบอ่อนหรือยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริกรวมกับผักอื่น ๆ โดยจะมีรสฝาดมัน[1]
- ใช้ทำเครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย[2]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ค้อนหมาแดง, ค้อนตีหมา”. หน้า 180.
- ระบบจัดการฐานความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้. “ลิ้นกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : biodiversity.forest.go.th. [21 ม.ค. 2015].
- การสำรวจทรัพยากรป่าไม้เพื่อประเมินสถานภาพและศักยภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี). “ค้อนตีหมา / ลิ้นกวาง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : inven.dnp9.com/inven/. [21 ม.ค. 2015].
- ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Ancistrocladus tectorius (Lour.) Merr.”. อ้างอิงใน : หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน หน้า 27. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [21 ม.ค. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Yeoh Yi Shuen, loupok, Prof Dr Kamarudin Mat-Salleh, Ahmad Fuad Morad)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)