16 สรรพคุณและประโยชน์ของราสเบอร์รี่ ! (Raspberry)

ราสเบอร์รี่

แรสเบอร์รี หรือ ราสเบอร์รี ภาษาอังกฤษ Raspberry

คำว่า “ราสเบอร์รี่” คือชื่อเรียกของผลไม้หลายชนิดในสกุล Rubus ซึ่งเป็นสกุลเดียวกันกับแบล็คเบอร์รี่ และเป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดยส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในสกุลย่อย Idaeobatus สำหรับในภาษาท้องถิ่นของไทยบ้านเราอาจจะเรียกแรสเบอร์รี่ว่า “หนามไข่ปู” และผลไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแถบยุโรป

ผลไม้ราสเบอร์รี่ ในประเทศไทยก็มีการเพาะด้วยเช่นกัน โดยจะพบกระจายพันธุ์อยู่บนพื้นที่ภูเขาสูง เช่น ดอยภูคา จังหวัดน่าน, ภูกระดึง จังหวัดเลย, ดอยอินทนนท์ ดอยเชียงดาว ดอนผ้าห่มปก จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

ลักษณะของราสเบอร์รี่

  • ต้นราสเบอร์รี่ เป็นพืชที่มีอายุหลายปี ลักษณะของผลรูปกรวยมีสีแดง ผลมีขนาดเล็ก และมีขนนุ่ม ๆอยู่ที่เปลือกเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ลำต้นและตัวต้นมีความแข็งแรงมาก สามารถขยายพันธุ์ไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่มีจำกัด เพราะมันสามารถงอกลำต้นขึ้นมาใหม่จากลำต้นเดิมได้และรากจะเจาะลึกลงไปในดิน ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้หน่อที่แทงขึ้นมาในแต่ละปีและวิธีการติดผล

ต้นราสเบอร์รี่

  • ราสเบอรี สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศทั่วโลก แต่จะนิยมปลูกกันในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นมากกว่า เช่นทางอเมริกาและทางยุโรป นิยมเก็บเกี่ยวในช่วงที่ผลสุกงอม โดยดูจากความเข้มสดของสีผลเป็นหลัก เพราะผลจะมีรสหวานมาก จึงเหมาะแก่การนำมารับประทานเป็นผลไม้

ราสเบอรี่

  • ราสเบอรี่ เป็นผลไม้ที่มีทั้งรสหวานและรสเปรี้ยว เป็นผลไม้ทางการค้าที่สำคัญมากของทางยุโรป นอกจากจะนำมาใช้รับประทานเป็นผลไม้แล้ว ยังนำมาใช้อุตสาหกรรมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย โดยพบว่าขณะนี้ประเทศไทยได้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้ประเภทนี้ปีละหลายสิบล้านบาทเลยทีเดียว

ราสเบอร์รี

ราสเบอร์รี่สีเหลือง
ราสเบอร์รี่สีเหลือง

ราสเบอร์รี่สีม่วง
ราสเบอร์รี่สีม่วง

สรรพคุณของราสเบอร์รี่

  • ใบสามารถนำมาใช้ทำเป็นยาได้

ประโยชน์ของราสเบอร์รี่

  1. ผลไม้ราสเบอรี่มีไขมันและแคลอรีต่ำ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย
  2. ราสเบอรี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ
  3. ช่วยต่อต้านมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยกรดเอลลาจิก (Ellagic acid) ซึ่งในทางการแพทย์ได้ยอมรับว่ามันมีฤทธิ์แรงที่สุดในการช่วยป้องกันมะเร็ง โดยพบว่ากรดชนิดนี้สามารถช่วยจับสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งไม่ให้จับกับดีเอ็นเอ จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ และยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดภาวะตายตามธรรมชาติ โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติเหมือนการใช้ยาเคมีบำบัด
  4. ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อม
  5. ราสเบอร์รี่ ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี ที่ช่วยในการชะลอการเกิดริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ และช่วยสมานผิวหรือแผลต่าง ๆ ให้หายเร็วขึ้น
  6. ราสเบอร์รี่ประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างแมงกานีส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและช่วยควบคุมความดันโลหิต และช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
  7. ราสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม วิตามินเค และวิตามินอื่น ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
  8. ผลไม้ราสเบอร์รี่มีน้ำตาลต่ำ จึงช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
  9. สารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
  10. ราสเบอร์รี่มีสารอาหารที่เอื้อต่อการมีบุตรทั้งเพศชายและเพศหญิง
  11. ช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสเปิร์มได้ถึง 20% (สาเหตุอาจมาจากภาวะความเครียด) ซึ่งมากกว่าผู้ชายที่ไม่ได้บริโภคผลไม้ราสเบอร์รี่
  12. ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศได้เป็นอย่างดี
  13. ช่วยลดโอกาสการแท้งบุตรในเพศหญิง เพราะราสเบอร์รี่มีโฟเลตที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับตัวอ่อนระหว่างการตั้งครรภ์
  14. ราสเบอรี่สด ใช้รับประทานเป็นผลไม้หรือนำไปทำอาหารอย่างอื่นได้ทั้งอาหารคาวและหวาน
  15. ราสเบอร์รี่สามารถนำมาแปรรูปทำเป็น น้ำราสเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ปั่น เค้กราสเบอร์รี่ แยมราสเบอร์รี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใช้แต่งกลิ่นสีในขนมหวานได้อย่างหลากหลาย ฯลฯ

คุณค่าทางโภชนาการของราสเบอร์รี่ ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 53 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 11.94 กรัม
  • น้ำตาล 4.42 กรัม
  • เส้นใย 6.5 กรัม
  • ไขมัน 0.65 กรัม
  • โปรตีน 1.2 กรัม

    น้ำราสเบอร์รี่
    น้ำราสเบอร์รี่

  • วิตามินบี 1 0.032 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี 2 0.038 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี 3 0.598 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี 5 0.329 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี 6 0.055 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี 9 21 ไมโครกรัม 5%
  • โคลีน 12.3 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินซี 26.2 มิลลิกรัม 32%
  • วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม 7%
  • ธาตุแคลเซียม 25 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุเหล็ก 0.69 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุแมกนีเซียม 22 มิลลิกรัม 6%
  • ธาตุแมงกานีส 0.67 มิลลิกรัม 32%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุโพแทสเซียม 151 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.42 มิลลิกรัม 4%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

แหล่งอ้างอิง : สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ห้องปฏิบัติการณ์ระดับชาติลอว์เรนซ์ เบิร์กลีย์ ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ, www.whfoods.com, www.nutrition-and-you.com

ภาพประกอบ : www.ifood.tv, เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด