รานิทิดีน (Ranitidine) สรรพคุณ วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฯลฯ

รานิทิดีน (Ranitidine) สรรพคุณ วิธีใช้ ผลข้างเคียง ฯลฯ

รานิทิดีน

รานิทิดีน หรือ แรนิทิดีน (Ranitidine) เป็นยาในกลุ่มแอนติฮิสตามีน ที่ออกฤทธิ์ต้านสารฮิสตามีน (Histamine) ที่รีเซปเตอร์ เอช 2 (H2 receptor) ของเซลล์ในกระเพาะอาหาร ทำให้ลดการสร้างกรดของกระเพาะอาหาร เรียกว่า ยาต้านเอช 2 (H2 antagonist) ส่วนยาไซเมทิดีน (Cimetidine) ก็อยู่ในกลุ่มยาต้านเอช 2 ด้วยเช่นกัน แต่รานิทิดีนจะออกฤทธิ์ได้ดีกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าไซเมทิดีนในการยับยั้งเซลล์กระเพาะหลั่งกรด ในปัจจุบันจึงนิยมใช้ยานี้มากกว่าไซเมทิดีน

องค์การอนามัยโลกจัดให้ยารานิทิดีนอยู่ในหมวดยาจำเป็นของระบบสาธารณสุขมูลฐานของแต่ละประเทศ สำหรับในประเทศไทยเราจะจัดยารานิทิดีนอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติโดยอยู่ในหมวดยาอันตราย เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงและข้อห้ามใช้ที่จำเพาะในแต่ละกลุ่มของผู้ป่วย การใช้ยานี้จึงต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เท่านั้น

ตัวอย่างยารานิทิดีน

ยารานิทิดีน (ชื่อสามัญ) มีชื่อทางการค้า เช่น อะซิแคร์ (Acicare), อะซิล็อก (Aciloc), ฮิสแท็ก (Histac), ราแม็ก (Ramag), รานิซิด (Ranicid), รานิด (Ranid), รานิดีน (Ranidine), รานิน-25 (Ranin-25), รานิท-วีซี อินเจ็คชั่น (Ranit-VC Injection), แรนแท็ก 150 (Rantac 150), แรนโทดีน (Rantodine), ราติก (Ratic), ราติกา (Ratica), อาร์-ล็อก (R-Loc), ซานิดีน (Xanidine), ซานาเมท (Zanamet), แซนแท็ก (Zantac), แซนทิดอน (Zantidon) ฯลฯ

รูปแบบยารานิทิดีน

  • ยาเม็ด 150 และ 300 มิลลิกรัม
  • ยาฉีด 50 มิลลิกรัม/หลอด (2 มิลลิกรัม)

รานิทิดีน (Ranitidine)
IMAGE SOURCE : www.drsfostersmith.com, www.medscape.com

รานิทิดีน
IMAGE SOURCE : wwww.drugs.com, www.medscape.com

สรรพคุณของยารานิทิดีน

  • ใช้ลดการสร้างกรด รักษาและบรรเทาอาการในผู้ป่วยอาหารไม่ย่อย (Dyspepsia), โรคกรดไหลย้อน (GERD), กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis), แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ (Peptic ulcer)
  • ใช้บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn) จากโรคกรดไหลย้อน
  • ใช้บรรเทาอาการและรักษาภาวะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่น กลุ่มอาการโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison syndrome)
  • ใช้ป้องกันภาวะกรดในกระเพาะอาหารสำลักเข้าสู่หลอดลมก่อนการผ่าตัด (Acid-aspiration pneumonia)
  • ใช้รักษาภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding)
  • ใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  • ใช้เป็นยาร่วมกับยาอื่นในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ที่อยู่ในกระเพาะอาหาร และทำให้แผลในกระเพาะอาหารหายช้า
  • ใช้เสริมฤทธิ์แก้แพ้ของยาแก้แพ้ หรือยาต้านเอช 1 ในการรักษาโรคลมพิษเรื้อรัง หรือมีอาการแพ้รุนแรง

เมื่อร่างกายได้รับยารานิทิดีน ตัวยาจะไปจับกับโปรตีนในกระแสเลือดประมาณ 15% จากนั้นตัวยาจะถูกลำเลียงส่งไปที่อวัยวะตับเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมี และร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการกำจัดยาออกร่างกาย 50% โดยผ่านไปกับปัสสาวะ

กลไกการออกฤทธิ์ของยารานิทิดีน

ยารานิทิดีนจะมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ผนังของกระเพาะอาหาร โดยจะแข่งขันและป้องกันไม่ให้สารฮิสตามีน (Histamine) เข้าจับกับตัวรับ (Receptor) ที่เรียกว่า Histamine H2 receptors อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สารฮิสตามีนไปกระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร ด้วยกลไกดังกล่าวนี้จึงทำให้อาการของโรคจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปตามลำดับ

ก่อนใช้ยารานิทิดีน

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยารานิทิดีน สิ่งที่ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบมีดังนี้

  • การแพ้ยารานิทิดีน (Ranitidine) และประวัติการแพ้ยาอื่น ๆ ทุกชนิด รวมทั้งอาการจากการแพ้ยา เช่น รับประทานยาแล้วคลื่นไส้มาก ผื่นขึ้น หรือแน่น หายใจติดขัด/หายใจลำบาก เป็นต้น
  • ยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง รวมถึงอาหารเสริม วิตามิน และยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่กำลังใช้อยู่หรือกำลังจะใช้ เพราะยาแต่ละชนิดอาจส่งผลทำให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยารานิทิดีนกับยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ก่อนแล้วได้ เช่น
    • การใช้ยารานิทิดีนร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาแก้ซึมเศร้า (กลุ่ม Tricyclic antidepressants – TCAs) จะเสริมฤทธิ์ของยาเหล่านี้ โดยเฉพาะยาต้านการแข็งตัวของเลือดซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตกเลือดได้ หากพบอาการตกเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด และ/หรืออุจจาระเป็นเลือด อาเจียน ปวดศีรษะ วิงเวียน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและปรับขนาดการรับประทานยาให้เหมาะสม
    • การใช้ยารานิทิดีนร่วมกับยาขยายหลอดลม เช่น อะมิโนฟิลลีน (Aminophylline), ทีโอฟิลลีน (Theophylline) อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงของยาขยายหลอดลมเหล่านี้เพิ่มขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น นอนไม่หลับ และอาจมีอาการชักร่วมด้วย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกันหรือต้องปรับขนาดการรับประทานของยาให้เหมาะโดยแพทย์ผู้ให้การรักษา
    • การใช้ยารานิทิดีนร่วมกับยาบางตัวที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ เช่น อะดีโฟเวียร์ (Adefovir) สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากยาทั้ง 2 เพิ่มขึ้น หากต้องใช้ยาร่วมกันควรปรับขนาดการรับประทานให้เหมาะสมโดยแพทย์ผู้ให้การรักษา
    • การใช้ยารานิทิดีนร่วมกับยาบางตัวที่ใช้รักษาโรคเอชไอวี เช่น อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) อาจทำให้การดูดซึมของยารักษาโรคเอชไอวีลดลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา หากต้องใช้ยาร่วมกันควรปรับขนาดการรับประทานให้เหมาะสมโดยแพทย์ด้วยเช่นกัน
  • โรคประจำตัวอื่น ๆ โดยเฉพาะมีความผิดปกติหรือมีประวัติความบกพร่องในการทำงานของตับหรือไต เป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) โรคพอร์ไฟเรีย (Porphyria)
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • มีการตั้งครรภ์ หรือกำลังวางแผนในการตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายชนิดสามารถผ่านรกหรือผ่านเข้าสู่น้ำนมและเข้าสู่ทารก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อทารกได้

ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการใช้ยารานิทิดีน

  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยารานิทิดีน
  • ห้ามใช้และเก็บยาหมดอายุ
  • ควรระวังการใช้ยารานิทิดีนในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีประวัติการแพ้แสงแดด ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องในการทำงานของตับหรือไต

วิธีใช้ยารานิทิดีน

  • ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ (Peptic ulcer) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือรับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ หากต้องการรับประทานนานกว่านี้หรือใช้ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ให้ลดขนาดรับประทานเป็น 150 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
  • ใช้ลดการสร้างกรดในผู้ป่วยอาหารไม่ย่อย รักษาอาการกรดไหลย้อน ภาวะกรดหลั่งมาก ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง เช้าและเย็น หรือรับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลาติดต่อกัน 8-12 สัปดาห์ (หากอาการของโรครุนแรงมากอาจต้องรับประทานยาวันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป) ส่วนในเด็กให้รับประทานวันละ 2-4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (สูงสุดวันละ 300 มิลลิกรัม) โดยแบ่งให้วันละ 1-2 ครั้ง (สำหรับโรคกรดไหลย้อนให้รับประทานวันละ 5-10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สูงสุดวันละ 300 มิลลิกรัม)
  • ใช้ป้องกันและบำบัดอาการอาหารไม่ย่อย ให้รับประทานครั้งละ 75 มิลลิกรัมเมื่อมีอาการ และอาจให้ยาซ้ำอีก 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • ใช้ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง เช้าและเย็น หรือรับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลาติดต่อกัน 8-12 สัปดาห์
  • ใช้บรรเทาอาการและรักษากลุ่มอาการโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison syndrome) ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ขนาดรับประทานอาจปรับสูงได้ถึง 6 กรัม/วัน สามารถรับประทานยาก่อนอาหารหรือหลังอาหารก็ได้
  • ใช้รักษาแผลในลำไส้ที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือรับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง กรณีโรคนี้จำเป็นต้องใช้ยารานิทิดีนร่วมกับตัวยาอื่น ๆ ด้วย เช่น ยาปฏิชีวนะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
  • ใช้เสริมฤทธิ์ยาแก้แพ้ ในผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง หรือฉีดในขนาด 50 มิลลิกรัม เข้าหลอดเลือดดำ ส่วนในเด็กให้รับประทานครั้งละ 2-4 มิลลิกรัม/กิโลกรัม หรือฉีดขนาด 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าหลอดเลือดดำ

หมายเหตุ : โดยปกติแล้วขนาดการใช้ยารานิทิดีนในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี (ที่ไม่ได้กล่าวถึงในบางโรคบางอาการ) มักจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลแนะนำขนาดการใช้ยาที่ชัดเจนในเด็ก การใช้ยานี้ในเด็กจึงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

คำแนะนำในการใช้ยารานิทิดีน

  • ควรใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุไว้บนฉลากยาหรือภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากขนาดที่ใช้รับประทานจะแตกต่างกันไปในแต่ละอาการหรือแต่ละโรค ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาในขนาดที่น้อยหรือมากกว่าที่ระบุไว้ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
  • ควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกครั้ง ห้ามหยุดใช้ยาด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน
  • ในกรณีที่รับประทานยาเพื่อป้องกันอาการแสบร้อนกลางอกจากโรคกรดไหลย้อน ให้รับประทานยานี้ก่อนอาหารประมาณ 30-60 นาที
  • ห้ามรับประทานยารานิทิดีนร่วมกับยาลดกรด แต่หากมีความจำเป็นต้องรับประทานยาลดกรด ให้รับประทานก่อนยารานิทิดีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือหลังจากรับประทานยารานิทิดีนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  • ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ในระหว่างที่รับประทานยานี้
  • หลีกเลี่ยงการซื้อยาลดกรดหรือยาบรรเทาอาการปวดมารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • หากอุจจาระมีสีดำเข้ม อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนมีลักษณะคล้ายเมล็ดกาแฟบดควรรีบไปพบแพทย์

การเก็บรักษายารานิทิดีน

  • ควรเก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดให้สนิท และเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • ควรเก็บยานี้ในอุณหภูมิห้องปกติ ไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น (เช่น ในห้องน้ำ ในช่องแช่แข็งของตู้เย็น) และเก็บยาให้พ้นแสงแดด ไม่ให้อยู่ในที่ร้อนมากกว่า 30 องศาเซลเซียส (เช่น ในรถยนต์ บริเวณใกล้หน้าต่าง)
  • ให้ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ

เมื่อลืมรับประทานยารานิทิดีน

โดยทั่วไปเมื่อลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาในทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้เคียงกับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า

ผลข้างเคียงของยารานิทิดีน

  • อาการอันไม่พึงประสงค์หรือผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเดิน ท้องเสีย[1],[2]
    • ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ผมร่วง เป็นต้น[1]
    • ผลข้างเคียงรุนแรง เช่น รู้สึกตื่นเต้น อยู่นิ่งไม่ได้ กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ซึมเศร้า ประสาทหลอน เต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น ผิวแดง ลอก หรือมีแผลพุพอง เนื้อเยื่อด้านในปากหลุดออก ผื่นคัน เหนื่อย อ่อนเพลียผิดปกติ อาเจียน ตัวเหลืองหรือตาเหลือง[2]
    • ผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ลมพิษ มีไข้ ความดันโลหิตต่ำ หลอดลมเกร็งทำให้หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก เป็นต้น[3]
  • ถ้าใช้ชนิดฉีดอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock) ได้[1]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 1.  “รานิทิดีน (Ranitidine)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 279.
  2. ยากับคุณ (Ya & You), มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.).  “RANITIDINE”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.yaandyou.net.  [12 ก.ย. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “แรนิทิดีน (Ranitidine)”.  (ภก.อภัย ราษฎรวิจิตร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [12 ก.ย. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด