ผิวแตกลาย
เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนคงเคยประสบปัญหาหนักอกหนักใจกันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะสตรีหลังคลอดบุตร บางคนเครียดจนถึงกับไม่กล้าสวมชุดว่ายน้ำที่เคยใส่ เพราะไม่อยากเปิดโชว์ส่วนของผิวที่แตกลาย และต้องไปเสียเงินเพื่อซื้อชุดใหม่ที่ปกปิดผิวมิดชิดมากขึ้นกว่าเดิม
การรักษาด้วยครีมแก้ผิวแตกลายนั้นอาจช่วยทำให้ดูจางลงได้บ้าง แต่จะไม่หายไปอย่างถาวร ถ้าต้องการให้รอยแตกลายหายอย่างถาวรจะต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับการรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่โดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการยิงเลเซอร์และการทำคาร์บ็อกซี่ก็ทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำแล้วก็ต้องทาครีมต่อไปจนเป็นนิสัยอยู่ดี
สาเหตุของผิวแตกลาย
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย เป็นรอยที่สังเกตได้ง่าย หรือที่ทางการแพทย์เรียกกันว่า “Stretch marks” หรือ “Striae” ซึ่งเป็นแผลชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังและมีสีที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับผิวหนังส่วนอื่น โดยสาเหตุนั้นเกิดจากการฉีกขาดของหนังแท้ ผิวหนังเกิดการยืดขยายตัวอย่างรวดเร็วของผิวหนังบริเวณนั้น ๆ ซึ่งผิวแตกลายนั้นจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลาง และมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง หน้าอก เต้านม สะดือ ต้นแขน ต้นขา สะโพกและน่อง คนส่วนใหญ่จึงมักเจอปัญหานี้ในตอนเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เพราะเป็นวัยกำลังกินกำลังโต หรือเกิดจากการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วจนผิวหนังขยายตามไม่ทัน อย่างในวัยรุ่นที่โตเร็วหรืออ้วนมากเกินไป หรือในกลุ่มนักกีฬาเพาะกายที่มวลกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว และปัญหาผิวแตกลายในสตรีตั้งครรภ์มากถึง 90% เพราะครรภ์โตจนทำให้หน้าท้องและขาอ่อนแตกลาย ส่วนสาเหตุอื่น ๆ นั้นก็อาจเกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรค Marfan Syndrome เป็นต้น และเกิดจากการใช้ยาทาหรือยารับประทานในกลุ่มของสเตียรอยด์มาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นยาหม้อ ยาลูกกลอน ซึ่งชาวบ้านชอบกินกันมาก เพราะเข้าใจว่าเป็นสมุนไพรไม่มีพิษมีภัยอะไร
อาการเริ่มแรกของผิวแตกลาย คือ ผิวหนังจะเกิดรอยเป็นเส้นสีแดงหรือม่วง (ระยะแรก) และจะมีสีอ่อนลงเรื่อย ๆ จนเป็นสีขาวขุ่น (ระยะหลัง) การรักษาในระยะแรกถ้าทาครีมเป็นประจำ รอยแตกลายก็อาจจะหายได้ทัน ดังนั้นคุณจึงต้องหมั่นสังเกตผิวกายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอด้วย คราวนี้มาดูกันเลยดีกว่าว่า เราจะมีวิธีรักษารอยแตกลายบนผิวได้อย่างไร…
ลักษณะของรอยแตกลาย
คำว่า Striae นั้น แปลว่า ร่อง หรือ ลายเส้นขนาน ชื่ออื่น ๆ ของผิวแตกลายนอกจากจะเรียกว่า Striae แล้ว ในบางครั้งยังอาจเรียกว่า
Striae distensae เป็นลายเส้นขนานจากการยืด
Striae atrophicans เป็นลายเส้นขนานที่มีลักษณะผิวฝ่อ
Striae rubra เป็นลายเส้นขนานที่มีสีแดง
Striae alba เป็นลายเส้นขนานที่มีสีขาว
วิธีลดรอยแตกลาย
- ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการ หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยทำให้รูปร่างของเราดูดีและผิวมีความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุลและช่วยลดการเกิดปัญหาผิวแตกลายได้อีกด้วย, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ, แร่สังกะสี (แคร์รอต, ฟักทอง, ตำลึง, มะละกอ, กวางตุ้ง, ผักบุ้ง), วิตามินซี, วิตามินดี (นม, เนย, ตับ, ปลาแซลมอน), โปรตีน (เนื้อสัตว์ต่าง ๆ) เป็นต้น และพยายามควบคุมอาหารให้ได้ ไม่ตามใจปาก แต่ถ้าอยากเห็นผลไว้ขึ้นก็แนะนำให้หาวิตามินเสริมมากินครับ อย่างวิตามินซีวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม เพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน, ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว (แต่สำหรับบางคนที่มีผิวหนังแห้งและผนังชั้นขี้ไคลเสื่อม การดื่มน้ำมาก ๆ ก็ไม่ได้ช่วยเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้) และพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มจำพวกชาและกาแฟ, ไม่อาบน้ำอุ่นและไม่เกาผิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผิวแห้งและแตกลายมากยิ่งขึ้น, พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างวัยรุ่น ผู้ออกกำลัง และหญิงตั้งครรภ์ (ยิ่งผู้หญิงที่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ ก็ควรจะหาครีมทาไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะถ้ารอให้ผิวแตกลายเมื่อไหร่ จะหาครีมมาโบกเท่าไรมันก็ยากที่จะกลับมาเหมือนเดิม) เป็นต้น
- ทาครีมบำรุงเป็นประจำ เป็นวิธีรักษารอยแตกลายวิธีแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึง โดยให้เน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายทุกวันเป็นประจำก่อนนอนและในตอนเช้า หรือทาทุกครั้งหลังอาบน้ำ เพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนัง และอย่าปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งเป็นอันขาด !! มิฉะนั้นมันอาจจะลุกลามกว้างขึ้นมากกว่าเดิมก็ได้ และทุก ๆ ครั้งที่ทาให้พยายามทาครีมและนวดผิวย้อนรอยขึ้นไปด้วย
- ครีมลดรอยแตกลาย ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับลดรอยแตกของผิวหนังโดยเฉพาะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แม้การใช้ครีมรักษารอยแตกลายจะไม่ทำให้รอยแตกลายหายไปได้อย่างถาวร แต่มันก็สามารถช่วยป้องกันและทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้อย่างน่าพอใจ ส่วนผลิตภัณฑ์ตัวไหนจะได้ผลดีที่สุดนั้นต้องลองถามเภสัชกรประจำร้านขายยาดูได้เลยครับ หรือถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ว่าครีมที่ใช้จะเหมาะกับเราและได้ผลจริงหรือไม่ คุณอาจจะปรึกษาแพทย์ผิวหนังดูก็ได้ โดยยาที่แพทย์จะจ่ายมามักจะมีส่วนผสมของวิตามินเอเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและความยืดหยุ่นในผิว และครีมที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ (AHA)
- สูตรน้ำมันจากธรรมชาติ ที่แนะนำเป็นอันดับแรกคือ “น้ำมันงา” ให้คุณใช้น้ำมันงานำมาทาผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกเป็นประจำ โดยให้ชโลมทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพราะน้ำมันงานั้นมีชื่อเสียงมากในด้านการบำรุงผิว ที่สามารถช่วยทำให้ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมาดูสดใสมีน้ำมีนวลได้อีกครั้ง หรือถ้ามีน้ำมันมะกอกก็ให้นำไปอุ่นจนเกือบร้อนแล้วนำมานวดวนบริเวณผิวที่แตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วนน้ำมันอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและป้องกันผิวแตกลายได้ก็มีอีกหลายชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันละหุ่ง, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันอะโวคาโด, น้ำมันอัลมอนด์, น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นต้น
- สูตรสมุนไพรลดรอยแตกลาย อย่างสูตรแรกที่แนะนำก็คือ “ว่านหางจระเข้” ให้คุณใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ที่ล้างยางออกแล้ว นำมาทาบริเวณผิวแตกลายเป็นประจำทุกเช้าและเย็น ซึ่งจะช่วยทำให้รอยแตกลายนั้นค่อย ๆ ดูจางลงได้ ส่วนอีกวิธีนั้นให้คุณใช้เฉพาะน้ำเมือกจากใบสดว่านหางจระเข้ 1 ส่วน นำมาผสมกับครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของเราอีก 5 ส่วน จากนั้นก็นำมาใช้ทาผิว โดยผสมพอใช้ในแต่ละครั้ง ถ้าจะใช้อีกครั้งก็ให้ผสมใหม่ทุกครั้ง หรือถ้าไม่มีว่านหางจระเข้ เราอาจใช้ใบบัวบกแทนก็ได้ ด้วยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้าและเย็น ผิวที่แตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงได้เช่นกัน ส่วนอีกวิธีนั้นให้ใช้มันฝรั่งสด 1 หัว นำมาปอกเปลือกออกแล้วบดให้ละเอียด ใช้ทาบริเวณที่ผิวแตกลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แต่จะใช้ได้ผลเฉพาะกับผิวที่เริ่มแตกลายเท่านั้น นอกจากนี้คุณยังสามารถนำไข่ขาวมามาส์กผิวบริเวณที่เป็นรอยแตกลายได้อีกด้วย
- การขัดหรือสครับผิว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและกระตุ้นเซลล์ผิวหนังใหม่ให้ขึ้นมาทดแทนผิวเดิมได้ ในระหว่างอาบน้ำก็ให้ใช้ใยบวบขัดผิวไปด้วย ถ้าจะให้ดีก็ลองหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติและมีประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ผิวได้ดี นำมาใช้ขัดหรือสครับผิวบริเวณที่มีปัญหา โดยแนะนำให้ทำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นก็จะอาจใช้สูตรสครับผิวทำเองจากธรรมชาติก็ได้ เช่น
- สูตรมะนาว หลายคนใช้สูตรนี้แล้วได้ผล คือการใช้น้ำมะนาวและดินสอพองมาผสมกันแล้วใช้ทาบริเวณผิวแตกลาย ซึ่งน้ำมะนาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดแบบธรรมชาติที่ช่วยลดปัญหาผิวแตกลายได้ และยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้อาการแตกลายบนผิวจางลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
- สูตรขมิ้นผสมมะขาม ให้นำขมิ้นและมะขามมาผสมกันแล้วใช้ขัดนวดผิว ขมิ้นนั้นมีเคอคูมินที่ทำให้ผิวขาว ส่วนมะขามนั้นมีกรดเอเอชเอที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว
- สครับน้ำตาล อีกวิธีที่ทำได้ง่ายและสะดวกสุด ๆ เพียงแค่คุณหยิบน้ำตาลมาผสมกับน้ำอัลมอนด์และน้ำมะนาว จากนั้นก็นำส่วนผสมมาขัดผิวที่แตกลาย ก็จะช่วยแก้ปัญหาผิวแตกลายได้
- ยาทาแก้ผิวแตกลาย ซึ่งเป็นยาทาในกลุ่มอนุพันธ์กรดวิตามินเอ ที่แนะนำให้ใช้คือ เรตินเอ (Retin A) ให้เลือกใช้ความเข้มข้น 0.025% หรือ 0.05% (ถ้าเข้มข้นมากกว่านี้เดี๋ยวแสบ) หลังจากอาบน้ำเสร็จให้ขัดหรือสครับผิวก่อน แล้วเช็ดตัวให้แห้ง รอให้แห้งสนิทสักประมาณ 10 นาที บีบเรตินเอใส่นิ้วมือแล้วนำมาทาบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก แบบไม่ต้องลงครีมบำรุงหรือโลชั่น โดยให้ทำเฉพาะก่อนเข้านอนและทำวันเว้นวัน (สตรีมีครรภ์ห้ามใช้เป็นอันขาด) ส่วนวันที่ไม่ได้ใช้ก็ให้ทาด้วยครีมบำรุงไปตามปกติ ให้พยายามทำดูนะครับสักประมาณ 1 เดือน มั่นใจได้เลยว่าผิวจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แม้ในช่วงแรกที่ทามันอาจจะทำให้เกิดรอยแดงเป็นวง เป็นรอยดำไหม้ หรืออาจถลอกไปบ้าง เดี๋ยวสักพักมันก็จะค่อย ๆ หายไปเอง
- การรักษาด้วยทรีตเมนต์ต่าง ๆ เช่น การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เพื่อช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นโดยการกำจัดเซลล์ชั้นบนออกไป หรือทำการผลัดเซลล์ด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peel) เพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป (ให้ผลการรักษาประมาณ 10-20%) รวมไปถึงการรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (ให้ผลการรักษาประมาณ 20-40%) เป็นต้น (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วย Microdermabrasion จากข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งและระยะเวลาในการรักษา)
- เมโสรักษารอยแตกลาย (Mesotherapy) เป็นวิธีการใช้เข็มส่งตัวยาที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสมานรอยแตกลายของผิว จึงทำให้รอยแตกลายลดจางลง โดยใช้กลุ่มยาหลาย ๆ ตัว เช่น กรดอะมิโนไกลซีน (Glycine), วาลีน (Valine), โปรลีน (Proline), ไฮดรอกซีโปรลีน (Hydroxyproline) และสารอาหารผิวอื่น ๆ โดยปริมาณที่ฉีดก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา ราคาทำต่อครั้งประมาณ 1,000-2,000 บาท สตรีมีครรภ์ไม่ควรทำ (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วยเทคนิคการฉีดเมโส ตามข้อมูลไม่ได้ระบุตัวยาที่ใช้ จำนวนครั้ง และระยะเวลาในการรักษา)
- เดอร์มาโรลเลอร์ (Dermaroller) อีกหนึ่งเครื่องมือทางการแพทย์ที่ถูกนำมาใช้กลิ้งในบริเวณผิวที่ต้องการ เพื่อช่วยทำลายพังผืดที่หลุมบนผิวหรือรอยที่เป็นปัญหา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง จึงช่วยรักษารอยแตกลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ และโดยมากแล้วจะนำมาใช้ควบคู่ไปกับตัวยาหรือเซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว จึงช่วยทำให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น แต่ต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 2 สัปดาห์ ติดต่อกันประมาณ 5-6 ครั้ง จึงจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วยเดอร์มาโรลเลอร์ ตามข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งและระยะเวลาที่ใช้รักษา)
- เลเซอร์รอยแตกลาย การรักษาผิวแตกลายด้วยเลเซอร์นี้จะเหมาะกับสาว ๆ ใจร้อนที่อยากให้ปัญหานี้หายไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งเลเซอร์แบบช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสีรอยแตกลายให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกติ เลเซอร์สร้างผิวใหม่ และเลเซอร์แบบรักษารอยแดงหรือรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ที่แนะนำคือ Fraxel Laser (ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว) และ V-Beam Laser (ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือมีสีชมพู) แต่การทำครั้งเดียวจะไม่เห็นผลอย่างชัดเจน ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง (ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์) จนกว่ารอยแตกลายจะค่อย ๆ จางหายไป สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายในระยะแรกและระยะหลัง จากการศึกษาพบว่า การรักษาด้วยวิธีนี้จะได้ผลประมาณ 40-60% แต่จะเหมาะกับผู้ที่มีงบทำสวยมากหน่อย เพราะราคาการทำเลเซอร์ก็ค่อนข้างแพงใช่เล่นเลยล่ะ (ภาพก่อนและหลังการรักษาด้วย Fraxel Laser)
- การทำไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL) เป็นเทคนิคการใช้แสงความเข้มสูง นำมายิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตก ในขณะยิงจะรู้สึกเจ็บคล้าย ๆ กับโดนหนังสติ๊กดีดผิว แต่วิธีนี้จะได้ผลดีกับรอยแตกในระยะแรกที่มีสีแดง หากเป็นรอยแตกในระยะหลัง ๆ (รอยแตกสีขาวซีด) มักจะไม่ได้ผล และต้องทำอย่างน้อย 5 ครั้ง (ห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์) ค่าบริการครั้งละ 1,500-2,500 บาท ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า วิธีนี้สามารถทำให้รอยแตกจางลงได้ประมาณ 30-50% โดยขึ้นอยู่กับระยะของรอยแตกที่เป็น (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 5 ครั้ง)
- ฉีดคาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) เป็นวิธีแก้รอยแตกลายด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น และยังช่วยสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินในบริเวณที่ต้องการได้อีกด้วย มันจึงถูกนำมาใช้เพื่อสลายไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่ก็ยังสามารถนำมาใช้รักษาผิวแตกลายได้ด้วย โดยอาศัยเทคนิคการฉีดก๊าซที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นการฉีดตื้น ๆ เข้าไปเพียงชั้นหนังแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ไม่ได้ฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวเหมือนการฉีดสลายไขมัน แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง ติดต่อกันทุก ๆ 1 สัปดาห์ ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลประมาณ 30-60% หรือไม่ได้ผลเลย มีค่าบริการครั้งละ 1,500-2,000 บาท (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 8 ครั้ง รวมระยะเวลา 5 เดือน)
สำหรับคนที่มีปัญหาผิวแตกลายอยู่ ก็ลองเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเองไปปรับใช้ดูนะครับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยเจอปัญหานี้มาก่อนก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ และควรหันมาดูแลตัวเองให้ดี เพียงเท่านี้ผิวก็จะกลับมาสวยใสไร้รอยแตกลายแล้วล่ะ และที่สำคัญก็คือ สาว ๆ ทุกคนควรจะยอมรับให้ได้ว่า “การที่มีผิวหนังแตกลายนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ได้มีอาชีพโชว์เรือนร่าง เราจึงไม่จำเป็นต้องสูญเสียความมั่นใจไปทั้งหมดเพียงเพราะรอยแตกลายในที่ลับ” แต่ถ้าเราต้องอวดผิวแบบกะทันหัน เราอาจใช้วิธีการทารองพื้นหรือแป้งทับบริเวณผิวที่แตกลายนั้นก็ได้ครับ 🙂
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)