ประเภทของบัวหิมะทั้ง 4 ชนิด
ครีมบัวหิมะ
ครีมบัวหิมะ ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน เรียกว่า “จงหัวฟูเป่า” หรือที่บ้านเรามักเรียกกันง่าย ๆ ว่า “สมุนไพรบัวหิมะ” ซึ่งเป็นครีมที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติหลายชนิด เช่น โสม ชะมดเช็ด ว่านหางจระเข้ การบูร ผงไข่มุก ซึ่งราคาจะค่อนข้างแพงหน่อย
สำหรับครีมบัวหิมะ โดยสรรพคุณที่นำมาใช้ในลักษณะเป็นยารักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกซะมากกว่าเป็นครีมบำรุงผิว โดยใช้เป็นยาทาภายนอกและห้ามรับประทาน ซึ่งเนื้อของครีมจะมีสีขาว กลิ่นหอมให้ความรู้สึกสดชื่นและเย็นเล็กน้อย สำหรับการเลือกบัวหิมะก็ควรดูให้ดีด้วย โดยเลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ เพราะครีมบัวหิมะในท้องตลาดนั้นจะมีของปลอมด้วย ก็ระวังกันดี ๆ ซึ่งราคาตามท้องตลาดก็ประมาณหลักพันบาทขึ้นไป
ประโยชน์ของบัวหิมะ (ครีมบัวหิมะ)
- ใช้ทาแก้แผลพุพอง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดนท่อไอเสีย
- ใช้รักษาผื่นแพ้คัน บวมแดงบนผิวหนัง
- ใช้รักษาแผลสด เป็นหนอง
- ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน
- ใช้รักษาโรคฮ่องกงฟุต
- ใช้รักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น อีสุกอีใส
- ใช้รักษาโรคเริม
- ใช้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
- ช่วยบำรุงผิว ปรับสภาพผิว ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส
- ใช้รักษารอยแผลสิว รักษาสิว แต้มสิวเพื่อให้ยุบไว (แต่บางคนใช้แล้วสิวเห่อ)
บัวหิมะที่เป็นดอก
บัวหิมะที่เป็นดอกหรือต้นพืช (Saussurea หรือ Snow Lotus) ที่จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) ซึ่งมักจะเรียกกันว่า บัวหิมะพันปีหรือบัวหิมะหมื่นปี เป็นต้น โดยเป็นพืชที่ขึ้นในที่สูง มีลักษณะดอกสีขาวหรือเขียวอ่อน
จะงอกเฉพาะในบริเวณภูเขาสูงที่มีอุณหภูมิเย็นจัด หรือบริเวณที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุม หรือในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 – 4,000 เมตร อย่างเทือกเขาอัลไต ภูเขาคุนหลุน ที่ราบสูงซินเจียง เป็นต้น ซึ่งจะใช้เวลานานกว่า 3 ปีถึงจะเก็บเกี่ยวดอกได้ และโดยทั่วไปเมล็ดของบัวหิมะเพียง 5% เท่านั้นที่จะเจริญเติบโตจนออกดอกได้
สรรพคุณบัวหิมะ (ที่เป็นดอกหรือพืช)
- นำมาใช้เป็นยาบำรุงและรักษาโรคชนิดต่าง ๆ เพราะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น
- สรรพคุณของบัวหิมะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
- ช่วยบำรุงหัวใจ
- ช่วยแก้ไข้
- ช่วยขับพิษในร่างกาย
- ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- ช่วยบำรุงโลหิต
- ช่วยบำรุงบำรุงไต
- ช่วยแก้อาการข้ออักเสบ
- นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งที่เป็นแบบบริสุทธิ์ 100% และที่เป็นแบบนำไปผสมกับตัวยาชนิดอื่น ๆ
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
บัวหิมะที่เป็นผลไม้
บัวหิมะที่เป็นผลไม้ ที่หลาย ๆ คนเรียกว่า “บัวหิมะสด” หรือ “ผลบัวหิมะ” หรือ “หัวบัวหิมะ” หรือ “รากบัวหิมะ” หรือ “บัวหิมะจีน” นั่นแหละ หรือในประเทศจีนจะเรียกกันว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Yacon (ผลไม้แห่งพระเจ้า) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius (Poepp.) H.Rob. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวันเช่นเดียวกับชนิดแรก บัวหิมะชนิดนี้จะเป็นพืชพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ผลไม้อะไรหรอกครับ เพียงแต่เราเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผลไม้ เนื่องจากนิยมนำมารับประทานสด ๆ นั่นเองครับ
โดยจะมีรูปร่างคล้าย ๆ กับหัวมันเทศ เปลือกบาง รสออกหวานเหมือนแห้วผสมมันแกว ฉ่ำน้ำเหมือนสาลี่ และกรอบ เป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนหรือกำลังควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม เป็นต้น และรากบัวหิมะ สรรพคุณใช้เป็นยาสมุนไพรในการรักษาอาการต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ประโยชน์บัวหิมะ (ที่เป็นผลไม้หรือพืช)
- นำมารับประทานสด ให้รสชาติหวานฉ่ำ ชื่นใจ
- เป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพ เสริมความงามที่น่าใจ
- มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดสิวฝ้าบนใบหน้า
- ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน คอเลสเตอรอล
- ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
- ช่วยป้องกันจากสารพิษจากมลภาวะและสารก่อมะเร็ง
- ช่วยให้หลอดเลือดอ่อนตัว
- ช่วยบำรุงหัวใจและเส้นเลือด
- ช่วยควบคุมของเหลวในเลือด
- ช่วยแก้อาการร้อนใน
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
- ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูกและท้องเสีย
- ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น
- ป้องกันการเกิดผลึกก้อนนิ่ว
- ช่วยตับขับถ่ายสารพิษในร่างกาย
- แก้อาการอักเสบ
- ใบของหัวบัวหิมะมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ
- นำไปปรุงสุกต้มกับกระดูกหมูหรือนำไปตุ๋น ช่วยย่อยอาหารและระบายท้องได้ดี
- มีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องดื่ม ชา อาหารกระป๋อง
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
บัวหิมะธิเบต
บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ (Kefir) บ้านเรานิยมเรียกว่า “บัวหิมะธิเบต” หรือ “น้ำหมักบัวหิมะ” ซึ่งก็คือ นมหมักคีเฟอร์ นั่นเอง เกิดจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งประกอบด้วยยีสต์ Saccharomyces exiguus และ Lactic acid bacteria ซึ่งอยู่ร่วมกันในแบบที่พึ่งพาอาศัยกันและยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียว ๆ จนเกิดการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ มีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดข้าว โดยจะมีกลิ่นอ่อน ๆ ของยีสต์ (คล้ายเบียร์) ซึ่งจะเจริญเติบโตด้วยการเพาะเลี้ยงในอาหารชนิดต่าง ๆ แต่ละชนิดจะให้คีเฟอร์ที่มีขนาดและลักษณะแตกต่างกันออกไป นิยมเลี้ยงในน้ำนมอย่างนมวัว นมแพะ นมแกะ เป็นต้น
ข้อควรรู้ อ่านก่อนสำคัญมาก !
- บัวหิมะธิเบตหรือคีเฟอร์ (Kefir) จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับเห็ดและยีสต์
- บัวหิมะคีเฟอร์ ประกอบไปด้วยแบคทีเรียและยีสต์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสัมพันธ์ทางบวก
- โยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir) แตกต่างกับโยเกิร์ตธรรมดาตรงที่หัวเชื้อที่ใช้ในการหมัก โดยการหมักโยเกิร์ตธรรมดาจะใช้หัวเชื้อ Lactobacillus แต่คีเฟอร์จะใช้หัวเชื้อที่มีลักษณะเป็นก้อนเหนียวยืดหยุ่นคล้ายดอกกะหล่ำ เรียกว่า Kefir grain
- ความเป็นมาของบัวหิมะคีเฟอร์มาจากอาจารย์ท่านหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งในขณะที่ทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียและทิเบต เขาได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ พระที่ทิเบตได้นำบัวหิมะมาให้กินเพื่อรักษาอาการป่วย หลังจากนั้น 18 เดือนอาการป่วยของเขาได้หายไป และก่อนจะเดินทางกลับ เขาจึงขอบัวหิมะจากพระรูปนั้นมา ถัดมาจึงได้มีการนำบัวหิมะเข้ามาสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย
- การเพาะเลี้ยงคีเฟอร์ในอาหารแต่ละชนิด จะทำให้คีเฟอร์มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
- นมที่สามารถนำมาใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ก็มาจากนมจากสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วอัลมอนด์ มะพร้าว กะทิ เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลข้าว เช่น ข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ เป็นต้น และนมที่มาจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก เช่น ป่าน ฟักทอง งา เป็นต้น
- นมที่นิยมนำมาใช้ทำกันมากคือ นมวัว นมแพะ และนมถั่วเหลือง
- นมชนิดที่ดีที่สุดที่นำมาใช้ทำคีเฟอร์คือนมแพะ เพราะย่อยง่ายกว่านมวัว และพบอาการแพ้ได้น้อยกว่านมวัว
- นอกจากนมแล้วก็สามารถใช้เครื่องดื่มอื่น ๆ มาทำคีเฟอร์แทนนมได้ แต่เครื่องดื่มประเภทนั้น ๆ ต้องมีน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารของคีเฟอร์ เช่น คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำหวานต่าง ๆ เราจะเรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” (Water kefir) ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวของคีเฟอร์มากกว่า 1 สัปดาห์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
- คีเฟอร์แบบน้ำกับแบบนมอันไหนดีกว่ากัน ? ทั้งสองต่างมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน แต่จะแตกต่างตรงกันตรงที่คีเฟอร์แบบนมจะมีจุลินทรีย์มากกว่าคีเฟอร์แบบน้ำเกือบเท่าตัว
- ความหนืดของคีเฟอร์เป็นตัวบอกได้ถึงการเจริญโตของบัวหิมะ ยิ่งหนืดยิ่งดี
- ถ้าจำนวนบัวหิมะคีเฟอร์ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ นั้น แสดงว่าบัวหิมะบางส่วนได้ตายแล้ว
- หากเลี้ยงคีเฟอร์ไปเรื่อย ๆ แล้วเมล็ดมันเล็กลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ซึ่งอาจมีได้หลายขนาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
- แล้วถ้าเลี้ยงคีเฟอร์เรื่อย ๆ จนมันก้อนใหญ่เกินไป จะนำมาตัดแบ่งส่วนได้หรือไม่ ? การตัดคีเฟอร์จะเป็นการไปทำลายโครงสร้างของมัน แต่ถ้าอยากจะแบ่งก็ควรใช้มือดึงออกจากกันเบา ๆ เพื่อเป็นการถนอมโครงสร้างเดิมของมันให้คงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
- การเลี้ยงคีเฟอร์อย่างไม่เหมาะสม เช่น การเติมนมที่เยอะเกินไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อุณหภูมิผิดปกติอาจจะทำให้คีเฟอร์เหลวเละ ดูพองบวม และไม่เป็นลักษณะยางยืดเหมือนเคย นั่นแสดงว่ามันกำลังไม่มีความสุขหรือมันกำลังจะตาย ดังนั้นควรเอาใจใส่ในการเลี้ยงด้วย
- รู้หรือไม่ว่าคีเฟอร์มีประโยชน์มากกว่าโยเกิร์ต ! เพราะมีจุลินทรีย์ถึง 41 ชนิด ในขณะที่โยเกิร์ตมีเพียง 4 ชนิด !
- นมที่ได้มาจะมีรสชาติออกเปรี้ยว โดยจะมีคุณสมบัติเป็นยา นำมาดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วัน และหยุดพักการดื่มอีก 10 วันวนไปเรื่อย ๆ แต่บางคนบอกว่ากินทุกวันก็ได้
- บัวหิมะไม่จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำทุกวันก็ได้ เมื่อกรองนมโยเกิร์ตออก ก็เทนมใหม่ต่อใส่ได้เลย เพราะคลอรีนในน้ำจะไปทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ แต่ภาชนะที่ใส่ก็ต้องล้างให้สะอาดด้วย
- สำหรับบางคนที่เริ่มกินครั้งแรกแล้วมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ต้องตกใจคิดไปว่าฉันแพ้บัวหิมะแน่ ๆ ! ความจริงแล้วบัวหิมะกำลังขับสารพิษในร่างกายอยู่นั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่เริ่มกินแนะนำว่าควรลดปริมาณการกินช่วงแรกให้น้อยลงจากปกติ แล้วค่อยปรับไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า
- สำหรับบางรายกินแล้วมีอาการท้องผูก เพราะรับประทานมากเกินไปจึงทำให้ลำไส้ไม่สมดุล
- โยเกิร์ตบัวหิมะเมื่อนำมาพอกหน้า บางครั้งอาจมีอาการคันยิบ ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผิวบริเวณนั้นอาจเป็นสิว แผลสิว หรือผิวที่กำลังแห้งลอก บัวหิมะจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยสมานผิวให้หายเป็นปกตินั่นเอง
- การเอาใจใส่ในการเลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
- มีความเชื่อว่าถ้าหากเลี้ยงบัวหิมะจนเจริญเติบโตดีแล้วหรือมีมากเกินความต้องการ ให้นำไปแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
- มีความเชื่อว่าห้ามจำหน่ายบัวหิมะ (ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะต่างประเทศเขาขายกันเป็นปกติ)
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ (Kefir)
- เมื่อได้รับบัวหิมะมาแล้ว (จะมาในสภาพที่แช่อยู่ในนม) โดยบัวหิมะประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถทำได้ 1 แก้ว
- ลักษณะก่อนกรองมันจะดูเหมือนโยเกิร์ต มีรสและกลิ่นเปรี้ยว แต่ไม่เสีย ถึงจะเปรี้ยวมากแค่ไหนก็กินได้ (มันไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสียนมบูดนะ) และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และถ้าเห็นเป็นฟอง ๆ ก็ไม่ต้องตกใจเพราะมันเป็นเรื่องปกติ
- หลังจากนั้นให้นำมากรองด้วยการแยกนมออกจากบัวหิมะ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้กรองนั้นก็คือกระชอนกรองที่เป็นพลาสติกหรือกระชอนช้อนปลาก็ได้และไม่ต้องใหญ่เกินไปสักขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี แต่จะต้องไม่ใช่โลหะหรือเหล็กเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและลดโอกาสปนเปื้อนจากสารตะกั่ว (และห้ามไม่ให้บัวหิมะสัมผัสโลหะที่มีส่วนผสมของเงินเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายโครงสร้างบางอย่างของแบคทีเรียในคีเฟอร์)
- นำนมที่ได้จากการกรองมาดื่ม (การดื่มทันทีจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มวันหลังก็นำไปแช่เย็น ซึ่งจะเก็บไว้ได้แค่ 2-3 วัน)
- ถัดมาก็ทำความสะอาดบัวหิมะโดยให้น้ำไหลผ่านให้สะอาด ถ้าเป็นน้ำกลั่นที่ปราศจากสารคลอรีนจะดีมาก (การทำความสะอาดอย่างดี จะช่วยให้สุขภาพของผู้ดื่มดีตามไปด้วย)
- นำบัวหิมะที่ทำความสะอาดใส่ลงไปในแก้วพลาสติกหรือภาชนะที่สะอาดดีแล้ว
- ใส่นมลงไปประมาณ 8 ออนซ์ (แต่ถ้าได้รับบัวหิมะมาในช่วง 1 สัปดาห์แรก ปริมาณอาจมีน้อย ควรใส่นมแค่พอให้ท่วมหมด ไม่ต้องใส่หมดกล่อง เพื่อให้บัวหิมะได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อน)
- นำผ้าบาง ๆมาปิดฝาเพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหวี่มาตอมหรือฝักไข่ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณหนึ่งวัน (ห้ามแช่เย็น เพราะจะเป็นการชะลอการเจริญเติบโตของบัวหิมะ บัวหิมะชอบอากาศร้อนชื้น และจะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิปกติ)
- หลังจากนั้นหาภาชนะนำมาใส่น้ำลองแก้วนมอีกที เพื่อป้องกันมด
- แล้วนำมากรองเพื่อดื่มนมเหมือนใหม่ (ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ)
- หากไม่อยู่บ้าน 2-3 วันหรือต้องการหยุดใช้ชั่วคราว ก็ให้ใส่นมแค่พอท่วมบัวหิมะ แล้วแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
- หากต้องการหยุดใช้หรือไม่อยู่บ้านเกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้นำบัวหิมะมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้งพอหมาด ๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วนำไปแช่ช่องแช่แข็ง (เพื่อหยุดยั้งการเจริญโต) เมื่อจะกลับมาใช้อีกครั้งให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็งตัว ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นแล้วค่อยใส่นม
บัวหิมะสรรพคุณ (คีเฟอร์)
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
- เป็นยาจากธรรมชาติที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย
- ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ความเป็นกรด-ด่างให้เป็นปกติ
- ช่วยบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
- ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
- ช่วยลดความเครียด รักษาอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดี
- ช่วยทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแพร่ขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
- มีส่วนช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย
- ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจอย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกาย
- ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารจำพวกน้ำตาล
- ช่วยควบคุมน้ำหนักในร่างกาย
- ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
- ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยลดอาการไข้
- ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
- ช่วยรักษาโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุง)
- ช่วยรักษาโรควัณโรค
- ช่วยบำบัดรักษาโรคปอด
- ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ลำไส้เล็กส่วนต้น และช่วยบำรุงลำไส้
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติและดียิ่งขึ้น ลำไส้บีบตัวได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
- เป็นอาหารที่เหมาะกับทารกหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
- ช่วยแก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
- ช่วยบำรุงตับ ไต และรักษาตับ ไตอักเสบ
- ช่วยรักษาโรคของถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี ช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
- ช่วยรักษาแผลพุพอง น้ำร้อนลวก
- นำมาใช้ทาเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น เชื้อราบนผิวหนัง กลาก เกลื้อน เป็นต้น
- การดื่มคีเฟอร์ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็งมีอาการดีขึ้น (ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจน)
- ช่วยลดอาการแพ้ยาหรือเซรุ่มชนิดต่าง ๆ
- ช่วยรักษาสารพิษจากยาเสพติดในร่างกาย
- ใช้เลี้ยงทารกที่คลอดก่อนกำหนด ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของเด็กทารก
- ช่วยป้องกันและรักษาโรคตับอ่อนในเด็ก โรคปอดบวม หลอดลมอักเสบในเด็กที่อายุกว่า 2 ขวบ
- มีสารต่าง ๆ อย่างวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุไอโอดีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 กรดโฟลิก ไบโอติน วิตามินดี วิตามินเค เป็นต้น
- โยเกิร์ตบัวหิมะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที (หรือจนกว่าจะแห้ง) เพื่อช่วยให้หน้าขาวเนียนใส รักษาสิว แผลสิว และช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
- นมหมักคีเฟอร์ช่วยให้อยู่ท้อง อิ่มนาน
- บัวหิมะรักษาสิวด้วยการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ช่วยในเรื่องของการรักษาสิว กระชับรูขุมขน ทำให้หน้าเต่งตึงอ่อนเยาว์
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)