นางแย้มป่า
นางแย้มป่า ชื่อสามัญ Nangyam[4]
นางแย้มป่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Clerodendrum infortunatum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Clerodendrum viscosum Vent.)[2],[3] จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[2]
สมุนไพรนางแย้มป่า มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปิ้งขาว ปิ้งเห็บ (เชียงใหม่), ปิ้งพีแดง ฮอนห้อแดง (เลย), ต่างไก่แดง (ขอนแก่น), ขัมพี (พิษณุโลก), กุ๋มคือ ซมซี (สุโขทัย), ขี้ขม (ภาคใต้), พอกวอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), โพะคว่อง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปิ้งขม, ปิ้งหลวง, ปิ้งเห็บ, ปุ้งปิ้ง, พินพี, โพพิง เป็นต้น[1],[2],[3],[5]
ลักษณะของนางแย้มป่า
- ต้นนางแย้มป่า มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย อินโดนีเซีย เกาะสุมาตรา ไปจนถึงฟิลิปปินส์ โดยจัดเป็นไม้พุ่มขนาดย่อม มีความสูงของต้นประมาณ 0.5-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง กิ่งอ่อนและต้นเปราะ เป็นสันสี่เหลี่ยม ตามลำต้นและกิ่งอ่อนเป็นสีแดงหรือสีดำอมน้ำตาล ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มักขึ้นตามชายป่าดิบและที่โล่งชื้น ชอบขึ้นในดินเย็นชื้น บริเวณใต้ต้นไม้[1],[2],[3],[4],[5],[6]
- ใบนางแย้มป่า ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตามข้อเป็นคู่ตั้งฉากกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปหัวใจ ปลายใบสอบแหลม โคนใบสอบหรือเว้า ส่วนขอบใบหยักเป็นซี่ฟันตื้น ๆ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3.5-20 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6-25 เซนติเมตร แผ่นใบแข็งเป็นสีเขียวเข้ม มีขนสากระคายมือ มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ก้านใบยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตร[1],[3],[5]
- ดอกนางแย้มป่า ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเป็นสีขาว ดอกจะรวมกลุ่มกันเป็นช่อแน่น ช่อดอกยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร ช่อดอกมีขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร กลีบรองดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก ส่วนกลีบดอกเป็นสีขาว โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ กลางดอกเป็นสีชมพูม่วงหรือสีม่วงเข้ม มีขน ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 4-5 ก้าน ลักษณะเป็นเส้นยาวออกมาให้เห็นชัดเจน ดอกจะมีกลิ่นหอมในตอนเช้า โดยจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนภุมภาพันธ์[1],[3],[4],[5]
- ผลนางแย้มป่า ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผิวผลมัน เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ผลมีกลีบเลี้ยงสีแดงหุ้มอยู่ ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด[1]
สรรพคุณของนางแย้มป่า
- ใบเอามาซ้อนกัน 3 ใบ หรือ 7 ใบ แล้วใช้ห่อขี้เถ้าร้อนและใบฮ่อมตำและใบเครือเขาน้ำตำ ใช้ประคบศีรษะแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว (ใบ)[3]
- รากนางแย้มป่าใช้ต้มเป็นยาแก้ไข้ (ราก)[4]
- รากช่วยรักษาลำไส้อักเสบ (ราก)[1],[2]
- ตำรายาไทย ใช้รากเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ (ราก)[1],[2]
- ช่วยแก้ไตพิการ (โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่นข้น ปัสสาวะเหลืองหรือแดง และมักมีอาการแน่นท้อง รับประทานอาหารไม่ได้ร่วมด้วย) (ราก)[1],[2]
- รากใช้ต้มกับน้ำดื่มหรือใช้ฝนกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงน้ำนมของสตรี (ราก)[1],[2]
ประโยชน์ของนางแย้มป่า
- ยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นสดจิ้ม[4] คนเมืองจะใช้ดอกอ่อนของนางแย้มป่ามาใช้ใส่แกงหน่อไม้[3]
- ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่าเปลือกลำต้นใช้กินแทนหมากได้[6]
- ต้นนางแย้มป่าสามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ (แต่ต้นนางแย้มป่าไม่เหมาะที่จะนำมาปลูกไว้ในบ้าน ด้วยเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่มีภูตผีปีศาจสิงอยู่ หากนำมาปลูกไว้ภายในบ้านอาจทำให้คนในบ้านหวาดผวา เสียขวัญ หรือเจ็บไข้ได้ป่วย)[5]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “นางแย้มป่า”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 105.
- อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/. [25 มี.ค. 2014].
- โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน). “นางแย้มป่า”. อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th. [25 มี.ค. 2014].
- ผักพื้นบ้านในประเทศไทย, กรมส่งเสริมการเกษตร. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/. [25 มี.ค. 2014].
- ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaibiodiversity.org. [25 มี.ค. 2014].
- วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี. “นางแย้มป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: th.wikipedia.org/wiki/นางแย้มป่า. [25 มี.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Dinesh Valke, naturgucker.de, Ashik Awal, Amar Mainkar, Nastanir), www.pharmacy.mahidol.ac.th/siri/
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)