22 สรรพคุณและประโยชน์ของต้นทองบ้าน ! (ทองหลางลาย)

22 สรรพคุณและประโยชน์ของต้นทองบ้าน ! (ทองหลางลาย)

ทองบ้าน

ทองบ้าน ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrina variegata L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Erythrina orientalis (L.) Merr.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[2]

สมุนไพรทองบ้าน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ทองหลางลาย, ทองหลางด่าง, ทองหลางใบมนด่าง, ทองหลางดอกแดง, ทองเผือก (ไทย), ชื่อถง ไห่ถงผี (จีนกลาง) (เป็นต้น)[1],[2]

ลักษณะของทองบ้าน

  • ต้นทองบ้าน เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงได้ประมาณ 18-20 เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมโค้งและคม ปลายหนามเป็นสีม่วงคล้ำ เปลือกลำต้นบางเป็นสีเทา สีเทาอมน้ำตาล หรือเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ เนื้อไม้เปราะ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการปักชำกิ่ง เป็นพรรณไม้ที่ปลูกขึ้นง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด[1],[2]

ต้นทองบ้าน

  • ใบทองบ้าน ใบเป็นใบประกอบเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปสามเหลี่ยมมน ปลายใบแหลมยาวคล้ายใบโพธิ์ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใบยอดที่อยู่ปลายสุดจะมีขนาดใหญ่กว่าใบคู่ล่าง หน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนหลังใบมีสีเขียวอ่อนมีแถบสีเหลืองตามแนวเส้นใบ เส้นใบมี 3 เส้น มีขนปกคลุมเล็กน้อย ก้านใบสั้น ก้านช่อใบยาวประมาณ 3-4 นิ้ว[1],[2]

ใบทองบ้าน

  • ดอกทองบ้าน ออกดอกเป็นช่อติดกันเป็นกลุ่ม ๆ บริเวณข้อต้น โคนก้านใบ หรือที่ยอดต้น ก้านช่อดอกยาวประมาณ 6-15 เซนติเมตร มีขนปกคลุมเล็กน้อย ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ดอกเป็นสีแดงสด ดอกมีลักษณะคล้ายดอกถั่ว กลีบดอกยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร มักจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์[1],[2]

ดอกทองบ้าน

  • ผลทองบ้าน ผลมีลักษณะเป็นฝักแบน ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ออกเป็นพวง ๆ โคนฝักเล็กลีบ ส่วนที่ค่อนไปทางปลายฝักจะบวม เห็นเป็นสันของเมล็ดได้ชัดมาก เมื่อฝักแก่เต็มที่ปลายฝักจะแตกอ้าออก ภายในมีเมล็ดประมาณ 1-8 เมล็ด มีขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร รูปกลม และเป็นสีแดงเข้ม[1],[2]

สรรพคุณของทองบ้าน

  1. เปลือกต้นมีรสเฝื่อน ขม เผ็ด เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อตับและม้าม ใช้เป็นยาขับลมชื้น ทะลวงเส้นลมปราณ (เปลือกต้น)[2]
  2. เปลือกรากมีสรรพคุณช่วยทำให้ความดันโลหิตในเส้นเลือดแดงเพิ่มขึ้น (เปลือกราก)[1]
  3. เมล็ดนำมาตำให้ละเอียดเป็นผงหรือนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยารักษามะเร็ง (เมล็ด)[1]
  4. ใบใช้เป็นยากระตุ้นให้อยากอาหาร (ใบ)[1]
  5. ใช้เป็นยานอนหลับได้ดี (ใบ)[1]
  6. ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 20-40 กรัม (ถ้าแห้งให้ใช้เพียง 10-15 กรัม) นำมาต้มกับน้ำกิน หรือจะใช้เปลือกต้นสดนำมาต้มเอาน้ำกินก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้เช่นกัน (เปลือกต้น, ใบ)[1]
  1. เปลือกรากใช้เป็นยารักษาอาการไอเกร็งเนื่องจากโรคหอบหืดหรือขั้วปอดอักเสบ (เปลือกราก)[1]
  2. ใช้เป็นยาขับเสมหะ ด้วยการใช้ใบสดและรากสด อย่างละ 30 กรัม ใส่น้ำตาลทรายประมาณ 15 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินวันละ 2 ครั้ง (ใบ, ราก)[1]
  3. ช่วยแก้อาเจียน (ใบ)[1]
  4. เปลือกรากนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยากระตุ้นหัวใจ กระตุ้นไขสันหลัง (เปลือกราก)[1]
  5. ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน ด้วยการนำเปลือกต้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วบดให้เป็นผงละเอียดผสมกับน้ำเล็กน้อย ใช้อุดบริเวณฟันที่มีอาการปวด ส่วนใบก็ใช้เป็นยาแก้ปวดฟันได้เช่นกัน (เปลือกต้น, ใบ)[1],[2]
  6. ใบสดนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคบิด ปวดท้อง (ใบ)[1] ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เปลือกต้นเป็นยาแก้บิด (เปลือกต้น)[2]
  7. ใบนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาขับพยาธิ (ใบ)[1] ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เปลือกต้นเป็นยาขับพยาธิ (เปลือกต้น)[2]
  8. ใช้ใบสดหรือดอกสดนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาขับระดูของสตรี หรือจะใช้เมล็ดนำมาตำให้ละเอียดเป็นผงหรือนำมาต้มกับน้ำกินก็ได้ (ใบ, ดอก, เมล็ด)[1]
  9. เปลือกลำต้นสดนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (เปลือกต้น)[1]
  10. หากผิวหนังเป็นน้ำเหลืองหรือเป็นฝี ให้ใช้ใบสดนำมาคั้นเอาน้ำล้างบริเวณที่เป็นแผล (ใบ)[1]
  11. เมล็ดนำมาตำให้ละเอียดเป็นผงหรือนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้พิษงู และรักษาฝี (เมล็ด)[1]
  12. เปลือกต้นใช้ภายนอกเป็นยาแก้กลากเกลื้อน ผดผื่นคัน โรคผิวหนัง (เปลือกต้น)[2]
  13. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ (เปลือกต้น)[2]
  14. ใช้เป็นยาแก้อาการปวดข้อ ปวดบวมตามข้อ ปวดกระดูก และแก้ปวดได้ทุกชนิด ด้วยการใช้เปลือกสด ๆ ประมาณ 20-40 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มกิน (เปลือก)[1]
  15. ใบใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อยตามไขข้อ (ใบ)[1]
  16. เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการฟกช้ำ แก้ปวดเมื่อย แก้เหน็บชาเนื่องจากลมชื้น แก้ปวดตามข้อ ปวดเอว ปวดขา ปวดเอ็น และปวดกระดูก ตำรับยาขับลมชื้น แก้อาการปวดเมื่อย ระบุให้ใช้เปลือกต้นทองบ้าน 15 กรัม, เชียนจินเป่า 18 กรัม, สั่วหม่าอี 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน ส่วนตำรับยาแก้อาการปวดเอว มือเท้าเย็นชา จะใช้เปลือกต้นทองบ้าน 10 กรัม, หอมใหญ่ 10 กรัม, หญ้าพันงูแดง 10 กรัม, ซานจูยีว 10 กรัม, ปู่กุ้จือ 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน (เปลือกต้น)[2]

ขนาดและวิธีใช้ : การใช้ตาม [2] เปลือกแห้งให้ใช้ครั้งละ 8-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำหรือดองกับเหล้ากิน ส่วนการนำมาใช้ภายนอกให้นำมาต้มเอาน้ำล้างแผลหรือบดให้เป็นผงใช้โรยบริเวณที่เป็นแผล[2]

ข้อห้ามใช้ : ผู้ที่เลือดน้อย โลหิตจาง ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้[2]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของทองบ้าน

  • ราก กิ่ง ใบ และผล มี hydrocyanic acid ส่วนเปลือกต้นพบว่ามีส่วนประกอบ betaine, choline, fatty acid, fixed oils, hypaphorine, potassium chloide, potassium carbonate, resins[1]
  • ใบและรากทองบ้านมีสาร alkaloid ที่เป็นพิษอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ erythrinine ละ erythyine โดยเป็นสารที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้นอนหลับ เกิดอาการมึนเมาและชาได้[1],[2]
  • เมล็ดทองบ้านมีสาร alkaloid เป็นส่วนประกอบอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ erythraline และ hypaphorine ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้ ให้ผลเหมือนสาร curare (curare-like-action) คือทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อลายและระบบหายใจได้ดี จากการทดลองใช้สาร hypaphorine ในกบ พบว่าในปริมาณน้อยจะไม่ทำให้เกิดอัมพาต แต่กลับมีผลทำให้เกิดการไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น แต่การให้ในปริมาณสูง ๆ จะทำให้เกิดผลอัมพาตได้มาก ส่วนสาร erythraline มีผลทำให้เกิดอัมพาตได้มากเช่นกัน[1]
  • น้ำต้มจากเปลือกต้นทองบ้านมีฤทธิ์กระตุ้นไขสันหลัง เพิ่มแรงดันเลือด[2]
  • สาร erythraline และ hypaphorine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบหากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะเป็นพิษกับร่างกายได้ โดยจะมีฤทธิ์ยับยั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ และลดความดันโลหิต[2]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ทองบ้าน”.  หน้า 364-366.
  2. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “ทองบ้าน”.  หน้า 256.

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Kristopher Kupsch, Cam Do Xuan), Forest & Kim Starr

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด