ซ้อ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นซ้อ 10 ข้อ !

ซ้อ

ซ้อ ชื่อสามัญ Gamari, So[5]

ซ้อ ชื่อวิทยาศาสตร์ Gmelina arborea Roxb. จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE หรือ LABIATAE)[2]

สมุนไพรซ้อ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แต้งขาว (เชียงใหม่), สันปลาช่อน (สุโขทัย), ม้าเหล็ก (กาญจนบุรี), เป้านก (อุตรดิตถ์), ช้องแมว (ชุมพร, ปราจีนบุรี, ราชบุรี, สุพรรณบุรี), แก้มอ้น (นครราชสีมา, อุดรธานี, ชุมพร), ท้องแมว (สุพรรณบุรี, ราชบุรี), เมา (สุราษฎร์ธานี), เซาะแมว (นราธิวาส), เฝิง (ภาคเหนือ, เพชรบุรี), ซ้อ (คนเมือง), ไม้ซ้อ (ไทใหญ่, ไทลื้อ), ซึงโฉว้ (ม้ง), ลำชิล้า ลำซ้อ (ลั้วะ), ไม้เส้า (ปะหล่อง), ต๊ะจู้งก้ง (เมี่ยน), ตุ๊ดจะหระ (ขมุ) เป็นต้น[1],[2],[4]

ลักษณะของต้นซ้อ

  • ต้นซ้อ จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 15-25 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสันสี่เหลี่ยมและมีขนละเอียด มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง โดยพบได้ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ภูฎาน พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาค โดยมักจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น และป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 1,500 เมตร[1],[2]

ต้นซ้อ

  • ใบซ้อ ใบเป็นเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปหัวใจ ปลายใบแหลมหรือแหลมยาว โคนใบเป็นรูปลิ่มกว้าง แผ่ออกคล้ายรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตรและยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร แผ่นใบด้านบนเกลี้ยง ส่วนท้องใบด้านล่างมีนวลและมีขนสั้นนุ่ม ใบมีเส้นแขนงใบประมาณ 3-5 คู่ ออกจากโคน 1 คู่ ก้านใบยาวประมาณ 3-10 เซนติเมตร เป็นร่องด้านบน[1],[2]

ใบซ้อ

  • ดอกซ้อ ออกดอกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ โดยจะออกตามปลายกิ่ง มี 1 ช่อหรือหลายช่อ ยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีใบประดับหลุดร่วงได้ง่าย กลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูประฆังยาวประมาณ 0.3-0.4 เซนติเมตร ปลายกลีบเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ด้านนอกกลีบเลี้ยงมีขนติดทน ส่วนกลีบดอกสมมาตรด้านข้าง ลักษณะเป็นรูปปากแตรโป่งด้านเดียว ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบบน 2 กลีบ และกลีบล่างอีก 3 กลีบมีขนาดไม่เท่ากัน ด้านนอกเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วนด้านในหลอดกลีบเป็นสีครีมอ่อน ๆ กลีบปากล่าง กลีบกลางด้านในเป็นสีเหลืองแซม มีขนสั้นนุ่มอยู่ด้านนอก ส่วนด้านในเกลี้ยง ดอกมีเกสรเพศผู้สั้น 2 ก้านและยาว 2 ก้านยื่นไม่พ้นปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้ติดบนหลอดกลีบดอกตรงประมาณกึ่งกลาง รังไข่เกลี้ยง มีต่อม ส่วนยอดเกสรเพศเมียมีแฉก 2 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน โดยจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน[1],[2],[3]

ซ้อ

ดอกซ้อ

  • ผลซ้อ ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ผิวผลเกลี้ยงเป็นมัน มีกลิ่น ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผลเป็นแบบเมล็ดเดียวและแข็ง บ้างว่ามีเมล็ด 2 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปรี มีขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม[1],[2],[3]

ผลซ้อ

ลูกซ้อ

สรรพคุณของซ้อ

  1. รากใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย (ราก)[5]
  2. ใบคั้นเอาแต่น้ำใช้ทารักษาแผลได้ (ใบ)[5]
  3. ชาวเขาเผ่าลีซอจะใช้เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำอาบแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน และหูด (เปลือกต้น)[1]
  4. ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้เปลือกต้นซ้อนำมาต้มกับน้ำอาบแก้อาการคัน (เปลือกต้น)[1] หรือจะใช้เปลือกต้นนำมาขูดเป็นฝอย ๆ บีบเอาแต่น้ำใช้ใส่แผลที่เกิดจากผื่นคัน (เปลือกต้น)[2]
  5. ชาวไทใหญ่จะใช้เปลือกต้นนำมาต้มหรือใช้ตำพอกแก้อาการคันตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า (เปลือกต้น)[4]
  6. เปลือกต้นต้มกับน้ำใช้แช่เท้ารักษาโรคเท้าเปื่อย (เปลือกต้น)[3]
  7. เปลือกต้นนำมาทุบแล้วบีบเอาแต่น้ำใช้ใส่รักษาแผลที่เกิดจากน้ำกัดเท้าได้ดีมาก (เปลือกต้น)[4]

ประโยชน์ของซ้อ

  • ผลสุกนำมาบีบเอาน้ำผสมกับข้าวเหนียวนึ่งแล้วนำมาหมกไฟใช้รับประทาน หรือใช้ผลนำไปบีบน้ำใส่ข้าวขี่จะช่วยทำให้มีรสหวาน[4]
  • ชาวไทใหญ่จะใช้ดอกนำมาใส่กับข้าวแป้งทำขนมห่อ[4]
  • เนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เป็นสีขาวแกมสีเหลือง หากทิ้งไว้นานสีจะเข้มขึ้น เหมาะกับใช้ในงานก่อสร้าง โครงสร้างต่าง ๆ ของบ้าน เช่น เสาบ้าน ไม้กระดาน หน้าต่าง วงกบประตู ไม้บุผนังที่สวยงาม ฯลฯ หรือใช้ทำเกวียน ทำเรือ แจว พาย กรรเชียง กระเดื่อง บางส่วนของรถ โลงศพ ไม้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ กังหันน้ำ ถังไม้ ฯลฯ เพราะมีความทนทานไม่แตกหักง่าย หรือใช้ในงานก่อสร้างในที่ร่ม ทำเป็นเครื่องเรือน หีบใส่ของ ของเล่นเด็ก ครก สาก ไหนึ่งข้าว ไหนึ่งเมี่ยง อ่างคนข้าว กลอง ฆ้อง สันแปรง ด้ามปากกา ไม้บรรทัด ไม้ฉาก พานท้ายและรางปืน จะเข้ รางระนาด เยื่อกระดาษ ฯลฯ หรือใช้ในงานกลึง งานแกะสลักประเภทของประดับตกแต่ง เช่น ทำนกชนิดต่าง ๆ ทำดอกไม้ กระบวยเล็ก ฯลฯ ส่วนชาวเมี่ยนจะนำไม้มาใช้ทำสะพานเพื่อประกอบพิธีตานขัว (เพราะเชื่อว่าหากทำแล้วจะหาเงินทองได้มากขึ้น) ส่วนลำต้นหรือเนื้อไม้ก็นำมาใช้ทำฟืน [3],[4],[5]
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.  (ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).  “ซ้อ”.  หน้า 118.
  2. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.  “ซ้อ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th/botany/.  [7 มี.ค. 2014].
  3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “ซ้อ”.  อ้างอิงใน: หนังสือไม้ต้นในสวน Tree in the Garden.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.qsbg.org.  [7 มี.ค. 2014].
  4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน).  “ซ้อ”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th.  [7 มี.ค. 2014].
  5. LOOK FOREST GROUP.  “ซ้อ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.lookforest.com.  [7 มี.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Shubhada Nikharge, Russell Cumming, dietmut, Starr Environmental)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด