8 ประโยชน์ของเรตินอล (Retinol) ตามงานวิจัย !

เรตินอล (Retinol) สารคืนความอ่อนเยาว์

เรตินอล

ในโลกของการดูแลผิวหน้าทุกวันนี้ ไม่มีส่วนผสมใดที่ได้รับการยกย่องและพูดถึงมากไปกว่าเรตินอล ซึ่งจัดเป็นเรตินอยด์ชนิดหนึ่ง เป็นรูปแบบของวิตามินเอที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ปัญหาสิว รอยดำ ฯลฯ

เรตินอล (Retinol) มีอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล โลชั่น ขี้ผึ้ง และเซรั่ม โดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นตั้งแต่ 0.0015% ถึง 0.3% ความเข้มข้นและความถี่ในการใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและข้อกังวลเฉพาะของคุณ

อย่างไรก็ตาม อาจใช้เวลาสองถึงสามเดือนในการใช้ทาอย่างต่อเนื่องก่อนจะเริ่มเห็นผลชัดเจน และเรตินอลก็มีผลข้างเคียงที่ควรพิจารณา เช่น ผิวแห้ง ระคายเคือง และไวต่อแสงแดด สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง เรตินอลอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น

เรตินอล (Retinol) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ มักถูกใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย รูขุมขนกว้าง ปัญหาสิวและลดการเกิดรอยดำ เรตินอลอาจทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง ผิวไวต่อแสงแดด ฯลฯ การใช้เรตินอลวันเว้นวันหรือสองวันและการทาครีมกันแดดสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ ผลิตภัณฑ์เรตินอลปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่แต่อาจรุนแรงเกินไปสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

เรตินอล Vs เรตินอยด์

เรตินอล (Retinol) และเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันหลัก ๆ ที่ความเข้มข้นของสาร เรตินอลสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาในรูปแบบเซรั่ม ครีม เจล โลชั่น และยังใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด มักใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยเป็นหลัก ส่วนเรตินอยด์นั้นมีความเข้มข้นสูงกว่า (และมีผลข้างเคียงมากกว่า) จำหน่ายได้เฉพาะเมื่อมีใบสั่งยาจากแพทย์ และมักใช้ในการรักษาสิว

แม้ว่าเรตินอลจะไม่ทรงพลังเท่ากับเรตินอยด์ แต่ก็สามารถเร่งการหมุนเวียนของเซลล์และเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้เช่นเดียวกัน จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และช่วยรักษาสิวและรอยดำ

เรตินอลถือว่ามีความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง ผิวลอก และไวต่อแสงแดดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับเรตินอยด์ คนส่วนใหญ่สามารถทนต่อเรตินอลได้ดีกว่าและเกิดการระคายเคืองน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์เรตินอลจึงหาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์และเป็นที่นิยมมากกว่า (อ้างอิง 15)

เรตินอลทำงานอย่างไร ?

เรตินอลเป็นรูปแบบหนึ่งของเรตินอยด์ที่สกัดมาจากวิตามินเอ ต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เรตินอลสามารถซึมลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ เมื่ออยู่ในชั้นกลางของผิว เรตินอลจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการผลิตอีลาสตินและคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอวบอิ่มขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอยและกระชับรูขุมขน

นอกจากนี้ เรตินอลยังมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก จึงช่วยลดรอยสิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิว อีกทั้งเรตินอลยังช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ เหล่านี้จึงช่วยลดความรุนแรงของสิวและการเกิดสิวใหม่ สภาพผิวโดยรวมจึงแข็งแรงขึ้นและเรียบเนียนยิ่งขึ้น (สำหรับสิวที่รุนแรงยังจำเป็นต้องใช้เรตินอยด์ตามใบสั่งแพทย์)

สรุปแล้วเรตินอลช่วยทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ดูสดใส และเรียบเนียนขึ้นได้จากฤทธิ์เพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ขจัดเซลล์ผิวเก่า ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ลดการผลิตน้ำมันในผิว ลดการอักเสบ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน

ประโยชน์ของเรตินอล

  1. ริ้วรอย (Fine lines & Wrinkles) ทั้งริ้วรอยร่องตื้นและริ้วรอยลึก เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ผิวจะแบ่งตัวช้าลง ผิวหนังชั้นกลางจะบางลง กักเก็บความชื้นได้ยากขึ้น และมีอีลาสตินและคอลลาเจนน้อยลง แต่การใช้เรตินอลทาเฉพาะที่สามารถช่วยลดริ้วรอยและรอยย่นได้ โดยเรตินอลจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน เร่งการผลัดเซลล์ผิว และทำให้ผิวหนาขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการใช้เรตินอลอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล (อ้างอิง 2, 3)
    • การศึกษาในปี 2019 กับกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจำนวน 152 คน พบว่ากลุ่มที่ทาเรตินอลที่ใบหน้าและลำคออย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ริ้วรอยที่คอและหางตาดูลดเลือนลงอย่างชัดเจนหลังผ่านไปเพียง 8 สัปดาห์ (อ้างอิง 4)
  2. รอยดำ/จุดด่างดำ (Hyperpigmentation) เกิดจากเม็ดสีผิวที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แสงแดด หรือรอยแผลเป็นจากสิว การเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ผิวด้วยเรตินอลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ชั้นผิวด้านนอกเรียบเนียนขึ้น เซลล์ผิวใหม่จะเติบโตเร็วขึ้น ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้นและลดเลือนจุดด่างดำ (อ้างอิง 5)
    • เรตินอลในปริมาณเล็กน้อยอาจมีประสิทธิภาพในการรักษารอยดำนี้ได้ โดยการศึกษาเล็ก ๆ ในปี 2020 ที่ทำกับคน 37 คน พบว่าใช้เรตินอลเซรั่ม 0.3 และ 0.5% วันละครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดรอยดำและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ (อ้างอิง 6)
  3. สิวที่ไม่รุนแรง (Whiteheads, Blackheads, Pimples) เนื่องจากเรตินอลช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิวและขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก จึงช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน อีกทั้งยังช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวหัวขาว สิวหัวดำ หรือสิวเสี้ยน (อ้างอิง 1, 8)
    • อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการใช้เรตินอล อาจทำให้สิวดูแย่ลงก่อนที่จะดีขึ้น เนื่องจากการหมุนเวียนของเซลล์ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้รูขุมขนอุดตันชั่วคราว ซึ่งเรียกว่า “สิวเห่อจากการปรับตัวของผิว” (Skin purging) ดังนั้นในช่วงสองสามเดือนแรก ผิวอาจดูแย่ลงเล็กน้อย แต่ถ้าใช้เรตินอลอย่างต่อเนื่อง ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้นในที่สุด (อ้างอิง 9)
  4. รอยแผลเป็นจากสิวหรือหลุมสิว (Acne scars) มักเกิดจากการแกะหรือบีบสิวจนทำให้ผิวหนังได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว เรตินอลสามารถช่วยลดรอยแผลเป็นเหล่านี้ได้ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนของผิว นอกจากนี้ เรตินอลยังช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเรียบเนียนและสีผิวสมดุลขึ้น การลดการอักเสบด้วยเรตินอลยังช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวค่อย ๆ ลดลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเรตินอลอาจไม่ได้ผลกับรอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรงหรือรอยหลุมสิวที่ลึกมาก (อ้างอิง 10)
  5. รูขุมขนกว้าง (Large pores) เกิดจากทางเปิดของต่อมไขมันขนาดใหญ่ มักเป็นผลจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่ขยายตัวมากขึ้นหรือมีเส้นขนที่เติบโตผิดปกติ การใช้เรตินอลทาสามารถช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้างได้โดยการเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหนังหนาขึ้นและป้องกันไม่ให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน (อ้างอิง 10)
  6. ฝ้า (Melasma) เป็นความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้บ่อยซึ่งทำให้เกิดจุดด่างดำหรือรอยปื้นในบริเวณที่ถูกแสงแดด การได้รับแสง ความร้อน และระดับฮอร์โมนบางชนิดจะเพิ่มปริมาณเมลานินซึ่งทำให้เกิดฝ้าแบนๆ หรือคล้ายกระที่มีสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม หรือเทาอมฟ้า โดยเรตินอลอาจช่วยทำให้ฝ้าของคุณดูจางลงได้ เนื่องจากมันมีคุณสมบัติในการลดการผลิตเมลานิน ร่วมกับกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และลดการอักเสบ (ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รอยฝ้าดูเด่นชัดขึ้น) (อ้างอิง 10)
  7. ผิวแตกลาย (Stretch marks) เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ตั้งครรภ์ น้ำหนักขึ้นหรือลดอย่างรวดเร็ว หรือกล้ามเนื้อเติบโตอย่างรวดเร็ว เรตินอลสามารถช่วยทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว กระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยปรับสีผิวให้สมดุล กระบวนการเหล่านี้ทำให้ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเรียบเนียนและดูสม่ำเสมอขึ้น รอยแตกลายที่มีสีเข้มจึงดูจางลง อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เรตินอล (อ้างอิง 10)
  8. อื่น ๆ นอกจากนี้ที่กล่าวมาแล้ว เรตินอลยังอาจช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนยิ่งขึ้น (Uneven skin texture), อาจช่วยปรับปรุงลักษณะโดยรวมของผิว, ปัญหาผิวเสื่อมจากแสงยูวี (Photoaging) หรือรอยดำประเภทอื่น ๆ, บางกรณีอาจใช้กับโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), ใช้เพื่อชะลอการลุกลามของรอยโรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi sarcoma lesions) เป็นต้น (อ้างอิง 10)

ผลข้างเคียงของเรตินอล

แม้ว่าเรตินอลจะมีความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากผลข้างเคียง โดยผลข้างเคียงจากเรตินอลที่มักเกิดขึ้นชั่วคราว ได้แก่:

  • ผิวแห้งและระคายเคือง
  • อาการคันหรือแสบร้อน
  • ผิวแดง ลอก เป็นขุย หรือเป็นสะเก็ด
  • ผิวไหม้แดด
  • ผิวไวต่อแสงแดด

ผลข้างเคียงเหล่านี้ควรจะค่อย ๆ หายไปเมื่อผิวของเราเริ่มชินกับการรักษา นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากขึ้น แต่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ อาการสิวเห่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิว, ผิวเกิดอาการแสบ บวม พุพอง, เกิดอาการแพ้ (พบได้ยาก) เป็นต้น (อ้างอิง 11)

คำแนะนำและข้อควรระวัง

  • แม้เรตินอลจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา แต่การปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้จะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณได้ดีที่สุด
  • อ่านฉลากผลิตภัณฑ์และวิธีใช้อย่างละเอียด และควรใช้เรตินอลทาทุกวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
  • เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เรตินอล มีคำแนะนำดังนี้ :
    • ใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเพียงชนิดเดียวในแต่ละครั้ง เพราะความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงอาจมากขึ้นหากคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอลมากกว่าหนึ่งรายการในเวลาเดียวกัน
    • หลีกเลี่ยงการใช้หากคุณมีอาการผิวไหม้แดด ผิวแตก หรือมีอาการระคายเคืองผิวอื่น ๆ
    • ก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเป็นครั้งแรก ให้ลองทาเรตินอลในปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนังบริเวณเล็ก ๆ เพื่อทดสอบอาการแพ้ โดยการทาในปริมาณเล็กน้อยบนแขนด้านในเป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อดูปฏิกิริยาเชิงลบก่อนจะใช้ทาทั่วใบหน้า
    • ควรทาผลิตภัณฑ์เรตินอลในเวลากลางคืน เนื่องจากการใช้เรตินอลจะทำให้ผิวมีความเสี่ยงต่อความไวต่อแสงแดดมากขึ้น
    • ในช่วงแรกแนะนำให้ใช้เรตินอลวันเว้นวันหรือวันเว้นสองวันก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ปรับมาใช้ทุกคืนเมื่อผิวหนังเริ่มมีการปรับตัวหรือทาแล้วผิวของคุณเริ่มไม่เกิดอาการระคายเคืองแล้ว (ผิวอาจใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการปรับตัว)
    • การใช้เรตินอลหลังล้างหน้า 30 นาที อาจช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนังและความไวต่อแสงแดดได้ (อ้างอิง 12)
    • เมื่อต้องออกไปข้างนอกเป็นเวลานานควรใช้ครีมกันแดด SPF 30 และสวมเสื้อผ้าและหมวกที่ป้องกันแสงแดดเพื่อลดการสัมผัสแสงแดด เพราะการสัมผัสแสงแดดอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น (อ้างอิง 13)
    • หากคุณยังคงมีอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง คุณอาจต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลอื่น ๆ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
  • สำหรับวิธีการใช้เรตินอลให้ปฏิบัติตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปแล้วต่อไปนี้คือขั้นตอนที่เราแนะนำ :
    • ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน และซับผิวให้แห้ง (ห้ามถู)
    • ใช้เรตินอลในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วทาบาง ๆ บนใบหน้า (หลีกเลี่ยงตรงปากและดวงตา) (เพื่อลดอาการระคายเคืองและผิวไวต่อแสงแดด อาจทาเรตินอลในตอนกลางคืนและหลังล้างหน้า 30 นาที)
    • รอสักครู่แล้วจึงทามอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับใบหน้าที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • หากใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเป็นระยะเวลานานหลายสัปดาห์แล้วยังไม่เห็นผล แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้เรตินอยด์ซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่าแทน แต่ก็มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่สูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน หากยังไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและความรุนแรงที่เป็น เช่น Alpha-hydroxy acids, Beta-hydroxy acids, Chemical peels, Dermabrasion, Fillers หรือ Laser treatments
  • โดยทั่วไปแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้เรตินอล เพราะอาจทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ แม้ว่าร่างกายจะดูดซึมเรตินอยด์และเรตินอลแบบทาเฉพาะที่ได้น้อย แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยเพียงพอที่ยืนยันถึงความปลอดภัยในการใช้ในช่วงตั้งครรภ์ สำหรับหญิงให้นมบุตร แม้แพทย์จะเชื่อว่าความเสี่ยงต่อทารกที่กินนมแม่นั้นต่ำ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
  • การใช้เรตินอลอาจทำให้รอยโรคของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema), โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) และโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น เนื่องจากเรตินอลอาจทำให้ผิวหนังแดงและอักเสบระคายเคืองมากขึ้น ผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้หรือมีผิวที่บอบบางจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้เรตินอล

ใช้เรตินอลนานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล ?

เรตินอลจะเริ่มออกฤทธิ์ในเซลล์ผิวของคุณทันทีหลังจากทา แต่การปรับปรุงสภาพผิวจะใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล ในช่วงแรกผิวของคุณอาจดูแย่ลงเล็กน้อย จากการศึกษาเราพบว่าเรตินอลที่ขายทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง และอาจต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • การศึกษาในปี 2015 ผู้เข้าร่วมที่ใช้เรตินอลเป็นเวลา 12 สัปดาห์พบว่าริ้วรอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด (อ้างอิง 2)
  • การศึกษาล่าสุดในปี 2019 พบว่าริ้วรอยรอบดวงตาและคอดีขึ้นในผู้ที่ใช้เรตินอลเป็นเวลา 8 สัปดาห์ (อ้างอิง 4)

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เรตินอลที่แนะนำ

ในโลกของการดูแลผิวหน้า เรตินอลเป็นส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับและพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เพราะเรตินอลมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหลายประการและได้รับการศึกษาและพิสูจน์ประสิทธิภาพในหลาย ๆ งานวิจัย จึงทำให้เป็นที่เชื่อถือในวงการดูแลผิว

อย่างไรก็ตาม เรตินอลก็มีความเปราะบางสูงและเสื่อมสภาพได้ง่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์หลายตัวในตลาดสูญเสียประสิทธิภาพหลังจากเปิดใช้ไปเพียงไม่นาน อีกทั้งยังมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว จึงทำให้หลายคนเกิดอาการระคายเคืองผิว เกิดปัญหาผิวแห้ง ลอก เป็นขุย และผิวไวต่อแสงแดดได้เมื่อใช้ในปริมาณสูง

โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ก็คือ เรตินอลที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ อย่างเช่นในผลิตภัณฑ์ The Shott (0.2% Pure Retinol) ซึ่งเป็นเซรั่มเรตินอลสูตรเฉพาะที่มีคุณสมบัติช่วยคงเรตินอลและเพิ่มประสิทธิภาพของเรตินอลได้ เนื่องจากเป็นเรตินอลบริสุทธิ์ที่ผลิตภายใต้อุณหภูมิต่ำและใช้เทคโนโลยี Double-Layered Encapsulation ที่เป็นเหมือนการห่อหุ้มเรตินอลเอาไว้ถึง 2 ชั้น เพื่อให้เรตินอลค่อย ๆ ปล่อยออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อทาลงบนผิว ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากเรตินอลได้อย่างเต็มที่ ยาวนานขึ้น และลดการระคายเคืองที่ผิวได้เป็นอย่างดี (อ้างอิง 7)

MultiSal™ เรตินอลบริสุทธิ์ที่ผลิตภายใต้อุณหภูมิต่ำและใช้เทคโนโลยี Double-Layered Encapsulation

ด้วยเทคโนโลยีนี้ เรตินอลจะถูกห่อหุ้มไว้ในไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ (Sub-Micron Sphere) และไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นี้จะถูกห่อหุ้มด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ (Microsphere) อีกชั้นหนึ่ง เมื่อทาลงบนผิว Microsphere จะยึดเกาะกับผิวและค่อย ๆ ปลดปล่อยเรตินอลออกมา ทำให้เรตินอลออกฤทธิ์ได้นานและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเรตินอลแบบทั่วไป (Free Retinol)

เรตินอล MultiSal™ สามารถคงสภาพได้ดีกว่าเรตินอลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ตลอดระยะเวลา 50 วัน ปริมาณเรตินอลที่เหลืออยู่ยังคงสูงกว่าเรตินอลทั่วไปมาก
เรตินอล MultiSal™ สามารถคงสภาพได้ดีกว่าเรตินอลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ตลอดระยะเวลา 50 วัน ปริมาณเรตินอลที่เหลืออยู่ยังคงสูงกว่าเรตินอลทั่วไปมาก
เรตินอล MultiSal™ สามารถคงอยู่บนผิวหนังได้นานกว่าเรตินอลทั่วไปมาก ในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ปริมาณเรตินอลที่เหลืออยู่ยังคงสูงกว่าเรตินอลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
เรตินอล MultiSal™ สามารถคงอยู่บนผิวหนังได้นานกว่าเรตินอลทั่วไปมาก ในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง ปริมาณเรตินอลที่เหลืออยู่ยังคงสูงกว่าเรตินอลทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ความหมายของกราฟเหล่านี้ก็คือ ผลิตภัณฑ์เรตินอลที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ มีความสำคัญในการรักษาความเสถียรของเรตินอล ช่วยให้เรตินอลทำงานได้ยาวนานขึ้น และมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์เรตินอลแบบทั่วไป ถ้าเปรียบเทียบเรตินอลเป็นยาเม็ด เรตินอล MultiSal™ ก็เหมือนยาเม็ดเคลือบที่ค่อย ๆ ปล่อยตัวยาออกมา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ในขณะที่เรตินอลทั่วไปก็เหมือนยาเม็ดปกติที่ละลายเร็ว ทำให้ยาหมดฤทธิ์เร็วกว่า

ผลการทดลองในอาสาสมัครหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ 0.2% Pure Retinol ที่ใช้เทคโนโลยี MultiSal™ เป็นประจำทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าริ้วรอยรอบดวงตาดูลดเลือนลง ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อ้างอิง 7)

ผลการทดลองในอาสาสมัครหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ 0.2% Pure Retinol ที่ใช้เทคโนโลยี MultiSal™ เป็นประจำทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ The Shott ยังมีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ดูแลปัญหาจุดด่างดำ ความมันส่วนเกิน และลดการระคายเคืองจากการเรตินอล และยังมีเซราไมด์คอมเพล็กซ์รวม 5 ชนิด (Ceramide Complex) ที่ช่วยบำรุงและเสริมปราการปกป้องผิวให้แข็งแรง พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นและความนุ่มเนียนของผิว รวมถึงซาคราน (Sacran) หรือสารสกัดจากสาหร่ายซุยเซนจิ (Suizenji Nori) จากเกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น ตัวช่วยในการกักเก็บน้ำได้ดีมาก จึงมีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวและปลอบประโลมผิวจากเรตินอล

ผลิตภัณฑ์ The Shott Retinol 0.2%

การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนอาจเคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลแล้ว แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือบางคนอาจแพ้หรือระคายเคืองผิวจนต้องเลิกใช้ไป ลองเปลี่ยนมาใช้ The Shott เซรั่มสูตรเรตินอลเข้มข้น 0.2% ด้วยนวัตกรรมการผลิตและส่วนผสมที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน ผิวของคุณจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่และดูอ่อนเยาว์ขึ้น

The Shott เซรั่มเรตินอลเข้มข้น 0.2% ตัวช่วยดูแลปัญหาริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และจุดด่างดำ ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ ที่ช่วยคงคุณภาพของเรตินอล ทำให้สารออกฤทธิ์ได้นานและลดการระคายเคืองได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ The Shott ได้ที่ : https://www.facebook.com/theshott.official หรือสั่งซื้อได้ที่ Lazada

เอกสารอ้างอิง
  1. Advances in Dermatology and Allergology. “Advances in Dermatology and Allergology/Postępy Dermatologii i Alergologii”. (2019)
  2. Journal of Cosmetic Dermatology. “A comparative study of the effects of retinol and retinoic acid on histological, molecular, and clinical properties of human skin”. (2015)
  3. International Journal of Cosmetic Science. “Molecular basis of retinol anti-ageing properties in naturally aged human skin in vivo”. (2016)
  4. CLINICAL RESEARCH AND EPIDEMIOLOGY. “182 Retinol remarkably effective in reducing neck wrinkles”. (2019)
  5. American Journal of Clinical Dermatology. “Effects of Topical Retinoids on Acne and Post-inflammatory Hyperpigmentation in Patients with Skin of Color: A Clinical Review and Implications for Practice”. (2021)
  6. Skin Pharmacology and Physiology. “A Clinical Anti-Ageing Comparative Study of 0.3 and 0.5% Retinol Serums: A Clinically Controlled Trial”. (2020)
  7. SALVONA Technologies. “MultiSal®”. (2024)
  8. Dermatology and Therapy. “Why Topical Retinoids Are Mainstay of Therapy for Acne”. (2017)
  9. Indian Journal of Dermatology. “Synchronizing Pharmacotherapy in Acne with Review of Clinical Care”. (2017)
  10. Cleveland Clinic. “Retinol”. (2022)
  11. American Osteopathic College of Dermatology (AOCD). “Retinoids, topical”. (2024)
  12. American Academy of Dermatology Association. “WHAT CAN TREAT LARGE FACIAL PORES?”. (2024)
  13. The Skin Cancer Foundation. “Is Your Beauty Routine Making You Photosensitive?”. (2023)

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2024

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ