เรตินอล
ในโลกของการดูแลผิวหน้าทุกวันนี้ ไม่มีส่วนผสมใดที่ได้รับการยกย่องและพูดถึงมากไปกว่าเรตินอล ซึ่งจัดเป็นเรตินอยด์ชนิดหนึ่ง เป็นรูปแบบของวิตามินเอที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ปัญหาสิว รอยดำ ฯลฯ
เรตินอล (Retinol) มีอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ครีม เจล โลชั่น ขี้ผึ้ง และเซรั่ม โดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นตั้งแต่ 0.0015% ถึง 0.3% ความเข้มข้นและความถี่ในการใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและข้อกังวลเฉพาะของคุณ
อย่างไรก็ตาม อาจใช้เวลาสองถึงสามเดือนในการใช้ทาอย่างต่อเนื่องก่อนจะเริ่มเห็นผลชัดเจน และเรตินอลก็มีผลข้างเคียงที่ควรพิจารณา เช่น ผิวแห้ง ระคายเคือง และไวต่อแสงแดด สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง เรตินอลอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
เรตินอล (Retinol) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ มักถูกใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย รูขุมขนกว้าง ปัญหาสิวและลดการเกิดรอยดำ เรตินอลอาจทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง ผิวไวต่อแสงแดด ฯลฯ การใช้เรตินอลวันเว้นวันหรือสองวันและการทาครีมกันแดดสามารถช่วยลดการระคายเคืองได้ ผลิตภัณฑ์เรตินอลปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่แต่อาจรุนแรงเกินไปสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
เรตินอล Vs เรตินอยด์
เรตินอล (Retinol) และเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันหลัก ๆ ที่ความเข้มข้นของสาร เรตินอลสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาในรูปแบบเซรั่ม ครีม เจล โลชั่น และยังใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด มักใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยเป็นหลัก ส่วนเรตินอยด์นั้นมีความเข้มข้นสูงกว่า (และมีผลข้างเคียงมากกว่า) จำหน่ายได้เฉพาะเมื่อมีใบสั่งยาจากแพทย์ และมักใช้ในการรักษาสิว
แม้ว่าเรตินอลจะไม่ทรงพลังเท่ากับเรตินอยด์ แต่ก็สามารถเร่งการหมุนเวียนของเซลล์และเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้เช่นเดียวกัน จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และช่วยรักษาสิวและรอยดำ
เรตินอลถือว่ามีความปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง ผิวลอก และไวต่อแสงแดดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับเรตินอยด์ คนส่วนใหญ่สามารถทนต่อเรตินอลได้ดีกว่าและเกิดการระคายเคืองน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์เรตินอลจึงหาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์และเป็นที่นิยมมากกว่า (อ้างอิง 15)
เรตินอลทำงานอย่างไร ?
เรตินอลเป็นรูปแบบหนึ่งของเรตินอยด์ที่สกัดมาจากวิตามินเอ ต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เรตินอลสามารถซึมลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ เมื่ออยู่ในชั้นกลางของผิว เรตินอลจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการผลิตอีลาสตินและคอลลาเจน ทำให้ผิวดูอวบอิ่มขึ้น จึงช่วยลดริ้วรอยและกระชับรูขุมขน
นอกจากนี้ เรตินอลยังมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก จึงช่วยลดรอยสิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิว อีกทั้งเรตินอลยังช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ เหล่านี้จึงช่วยลดความรุนแรงของสิวและการเกิดสิวใหม่ สภาพผิวโดยรวมจึงแข็งแรงขึ้นและเรียบเนียนยิ่งขึ้น (สำหรับสิวที่รุนแรงยังจำเป็นต้องใช้เรตินอยด์ตามใบสั่งแพทย์)
สรุปแล้วเรตินอลช่วยทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ดูสดใส และเรียบเนียนขึ้นได้จากฤทธิ์เพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ขจัดเซลล์ผิวเก่า ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ลดการผลิตน้ำมันในผิว ลดการอักเสบ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
ประโยชน์ของเรตินอล
- ริ้วรอย (Fine lines & Wrinkles) ทั้งริ้วรอยร่องตื้นและริ้วรอยลึก เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ผิวจะแบ่งตัวช้าลง ผิวหนังชั้นกลางจะบางลง กักเก็บความชื้นได้ยากขึ้น และมีอีลาสตินและคอลลาเจนน้อยลง แต่การใช้เรตินอลทาเฉพาะที่สามารถช่วยลดริ้วรอยและรอยย่นได้ โดยเรตินอลจะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน เร่งการผลัดเซลล์ผิว และทำให้ผิวหนาขึ้นและยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการใช้เรตินอลอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล (อ้างอิง 2, 3)
- การศึกษาในปี 2019 กับกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงชาวญี่ปุ่นจำนวน 152 คน พบว่ากลุ่มที่ทาเรตินอลที่ใบหน้าและลำคออย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ริ้วรอยที่คอและหางตาดูลดเลือนลงอย่างชัดเจนหลังผ่านไปเพียง 8 สัปดาห์ (อ้างอิง 4)
- รอยดำ/จุดด่างดำ (Hyperpigmentation) เกิดจากเม็ดสีผิวที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แสงแดด หรือรอยแผลเป็นจากสิว การเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ผิวด้วยเรตินอลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ชั้นผิวด้านนอกเรียบเนียนขึ้น เซลล์ผิวใหม่จะเติบโตเร็วขึ้น ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้นและลดเลือนจุดด่างดำ (อ้างอิง 5)
- เรตินอลในปริมาณเล็กน้อยอาจมีประสิทธิภาพในการรักษารอยดำนี้ได้ โดยการศึกษาเล็ก ๆ ในปี 2020 ที่ทำกับคน 37 คน พบว่าใช้เรตินอลเซรั่ม 0.3 และ 0.5% วันละครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดรอยดำและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ (อ้างอิง 6)
- สิวที่ไม่รุนแรง (Whiteheads, Blackheads, Pimples) เนื่องจากเรตินอลช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิวและขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก จึงช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน อีกทั้งยังช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวหัวขาว สิวหัวดำ หรือสิวเสี้ยน (อ้างอิง 1, 8)
- อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการใช้เรตินอล อาจทำให้สิวดูแย่ลงก่อนที่จะดีขึ้น เนื่องจากการหมุนเวียนของเซลล์ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้รูขุมขนอุดตันชั่วคราว ซึ่งเรียกว่า “สิวเห่อจากการปรับตัวของผิว” (Skin purging) ดังนั้นในช่วงสองสามเดือนแรก ผิวอาจดูแย่ลงเล็กน้อย แต่ถ้าใช้เรตินอลอย่างต่อเนื่อง ผิวจะดูกระจ่างใสขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้นในที่สุด (อ้างอิง 9)
- รอยแผลเป็นจากสิวหรือหลุมสิว (Acne scars) มักเกิดจากการแกะหรือบีบสิวจนทำให้ผิวหนังได้รับบาดเจ็บจนเกิดเป็นรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว เรตินอลสามารถช่วยลดรอยแผลเป็นเหล่านี้ได้ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนของผิว นอกจากนี้ เรตินอลยังช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเรียบเนียนและสีผิวสมดุลขึ้น การลดการอักเสบด้วยเรตินอลยังช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวค่อย ๆ ลดลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยเรตินอลอาจไม่ได้ผลกับรอยแผลเป็นจากสิวที่รุนแรงหรือรอยหลุมสิวที่ลึกมาก (อ้างอิง 10)
- รูขุมขนกว้าง (Large pores) เกิดจากทางเปิดของต่อมไขมันขนาดใหญ่ มักเป็นผลจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังที่ขยายตัวมากขึ้นหรือมีเส้นขนที่เติบโตผิดปกติ การใช้เรตินอลทาสามารถช่วยลดปัญหารูขุมขนกว้างได้โดยการเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหนังหนาขึ้นและป้องกันไม่ให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน (อ้างอิง 10)
- ฝ้า (Melasma) เป็นความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้บ่อยซึ่งทำให้เกิดจุดด่างดำหรือรอยปื้นในบริเวณที่ถูกแสงแดด การได้รับแสง ความร้อน และระดับฮอร์โมนบางชนิดจะเพิ่มปริมาณเมลานินซึ่งทำให้เกิดฝ้าแบนๆ หรือคล้ายกระที่มีสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม หรือเทาอมฟ้า โดยเรตินอลอาจช่วยทำให้ฝ้าของคุณดูจางลงได้ เนื่องจากมันมีคุณสมบัติในการลดการผลิตเมลานิน ร่วมกับกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และลดการอักเสบ (ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รอยฝ้าดูเด่นชัดขึ้น) (อ้างอิง 10)
- ผิวแตกลาย (Stretch marks) เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ตั้งครรภ์ น้ำหนักขึ้นหรือลดอย่างรวดเร็ว หรือกล้ามเนื้อเติบโตอย่างรวดเร็ว เรตินอลสามารถช่วยทำให้รอยแตกลายดูจางลงได้ด้วยการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว กระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยปรับสีผิวให้สมดุล กระบวนการเหล่านี้ทำให้ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นมีลักษณะเรียบเนียนและดูสม่ำเสมอขึ้น รอยแตกลายที่มีสีเข้มจึงดูจางลง อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เรตินอล (อ้างอิง 10)
- อื่น ๆ นอกจากนี้ที่กล่าวมาแล้ว เรตินอลยังอาจช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนยิ่งขึ้น (Uneven skin texture), อาจช่วยปรับปรุงลักษณะโดยรวมของผิว, ปัญหาผิวเสื่อมจากแสงยูวี (Photoaging) หรือรอยดำประเภทอื่น ๆ, บางกรณีอาจใช้กับโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), ใช้เพื่อชะลอการลุกลามของรอยโรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi sarcoma lesions) เป็นต้น (อ้างอิง 10)
ผลข้างเคียงของเรตินอล
แม้ว่าเรตินอลจะมีความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากผลข้างเคียง โดยผลข้างเคียงจากเรตินอลที่มักเกิดขึ้นชั่วคราว ได้แก่:
- ผิวแห้งและระคายเคือง
- อาการคันหรือแสบร้อน
- ผิวแดง ลอก เป็นขุย หรือเป็นสะเก็ด
- ผิวไหม้แดด
- ผิวไวต่อแสงแดด
ผลข้างเคียงเหล่านี้ควรจะค่อย ๆ หายไปเมื่อผิวของเราเริ่มชินกับการรักษา นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากขึ้น แต่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ อาการสิวเห่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิว, ผิวเกิดอาการแสบ บวม พุพอง, เกิดอาการแพ้ (พบได้ยาก) เป็นต้น (อ้างอิง 11)
คำแนะนำและข้อควรระวัง
- แม้เรตินอลจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา แต่การปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้จะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณได้ดีที่สุด
- อ่านฉลากผลิตภัณฑ์และวิธีใช้อย่างละเอียด และควรใช้เรตินอลทาทุกวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
- เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เรตินอล มีคำแนะนำดังนี้ :
- ใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเพียงชนิดเดียวในแต่ละครั้ง เพราะความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงอาจมากขึ้นหากคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอลมากกว่าหนึ่งรายการในเวลาเดียวกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้หากคุณมีอาการผิวไหม้แดด ผิวแตก หรือมีอาการระคายเคืองผิวอื่น ๆ
- ก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเป็นครั้งแรก ให้ลองทาเรตินอลในปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวหนังบริเวณเล็ก ๆ เพื่อทดสอบอาการแพ้ โดยการทาในปริมาณเล็กน้อยบนแขนด้านในเป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อดูปฏิกิริยาเชิงลบก่อนจะใช้ทาทั่วใบหน้า
- ควรทาผลิตภัณฑ์เรตินอลในเวลากลางคืน เนื่องจากการใช้เรตินอลจะทำให้ผิวมีความเสี่ยงต่อความไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ในช่วงแรกแนะนำให้ใช้เรตินอลวันเว้นวันหรือวันเว้นสองวันก่อน แล้วจึงค่อย ๆ ปรับมาใช้ทุกคืนเมื่อผิวหนังเริ่มมีการปรับตัวหรือทาแล้วผิวของคุณเริ่มไม่เกิดอาการระคายเคืองแล้ว (ผิวอาจใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการปรับตัว)
- การใช้เรตินอลหลังล้างหน้า 30 นาที อาจช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนังและความไวต่อแสงแดดได้ (อ้างอิง 12)
- เมื่อต้องออกไปข้างนอกเป็นเวลานานควรใช้ครีมกันแดด SPF 30 และสวมเสื้อผ้าและหมวกที่ป้องกันแสงแดดเพื่อลดการสัมผัสแสงแดด เพราะการสัมผัสแสงแดดอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น (อ้างอิง 13)
- หากคุณยังคงมีอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง คุณอาจต้องปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลอื่น ๆ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
- สำหรับวิธีการใช้เรตินอลให้ปฏิบัติตามคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์ แต่โดยทั่วไปแล้วต่อไปนี้คือขั้นตอนที่เราแนะนำ :
- ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน และซับผิวให้แห้ง (ห้ามถู)
- ใช้เรตินอลในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วทาบาง ๆ บนใบหน้า (หลีกเลี่ยงตรงปากและดวงตา) (เพื่อลดอาการระคายเคืองและผิวไวต่อแสงแดด อาจทาเรตินอลในตอนกลางคืนและหลังล้างหน้า 30 นาที)
- รอสักครู่แล้วจึงทามอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับใบหน้าที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- หากใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอลเป็นระยะเวลานานหลายสัปดาห์แล้วยังไม่เห็นผล แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้เรตินอยด์ซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่าแทน แต่ก็มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่สูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน หากยังไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและความรุนแรงที่เป็น เช่น Alpha-hydroxy acids, Beta-hydroxy acids, Chemical peels, Dermabrasion, Fillers หรือ Laser treatments
- โดยทั่วไปแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้เรตินอล เพราะอาจทำให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ แม้ว่าร่างกายจะดูดซึมเรตินอยด์และเรตินอลแบบทาเฉพาะที่ได้น้อย แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยเพียงพอที่ยืนยันถึงความปลอดภัยในการใช้ในช่วงตั้งครรภ์ สำหรับหญิงให้นมบุตร แม้แพทย์จะเชื่อว่าความเสี่ยงต่อทารกที่กินนมแม่นั้นต่ำ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
- การใช้เรตินอลอาจทำให้รอยโรคของโรคผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema), โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) และโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น เนื่องจากเรตินอลอาจทำให้ผิวหนังแดงและอักเสบระคายเคืองมากขึ้น ผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้หรือมีผิวที่บอบบางจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้เรตินอล
ใช้เรตินอลนานแค่ไหนกว่าจะเห็นผล ?
เรตินอลจะเริ่มออกฤทธิ์ในเซลล์ผิวของคุณทันทีหลังจากทา แต่การปรับปรุงสภาพผิวจะใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล ในช่วงแรกผิวของคุณอาจดูแย่ลงเล็กน้อย จากการศึกษาเราพบว่าเรตินอลที่ขายทั่วไปมักใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง และอาจต้องใช้เวลาถึง 3 เดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- การศึกษาในปี 2015 ผู้เข้าร่วมที่ใช้เรตินอลเป็นเวลา 12 สัปดาห์พบว่าริ้วรอยลดลงอย่างเห็นได้ชัด (อ้างอิง 2)
- การศึกษาล่าสุดในปี 2019 พบว่าริ้วรอยรอบดวงตาและคอดีขึ้นในผู้ที่ใช้เรตินอลเป็นเวลา 8 สัปดาห์ (อ้างอิง 4)
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เรตินอลที่แนะนำ
ในโลกของการดูแลผิวหน้า เรตินอลเป็นส่วนผสมที่ได้รับการยอมรับและพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เพราะเรตินอลมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหลายประการและได้รับการศึกษาและพิสูจน์ประสิทธิภาพในหลาย ๆ งานวิจัย จึงทำให้เป็นที่เชื่อถือในวงการดูแลผิว
อย่างไรก็ตาม เรตินอลก็มีความเปราะบางสูงและเสื่อมสภาพได้ง่าย ทำให้ผลิตภัณฑ์หลายตัวในตลาดสูญเสียประสิทธิภาพหลังจากเปิดใช้ไปเพียงไม่นาน อีกทั้งยังมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว จึงทำให้หลายคนเกิดอาการระคายเคืองผิว เกิดปัญหาผิวแห้ง ลอก เป็นขุย และผิวไวต่อแสงแดดได้เมื่อใช้ในปริมาณสูง
โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ก็คือ เรตินอลที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ อย่างเช่นในผลิตภัณฑ์ The Shott (0.2% Pure Retinol) ซึ่งเป็นเซรั่มเรตินอลสูตรเฉพาะที่มีคุณสมบัติช่วยคงเรตินอลและเพิ่มประสิทธิภาพของเรตินอลได้ เนื่องจากเป็นเรตินอลบริสุทธิ์ที่ผลิตภายใต้อุณหภูมิต่ำและใช้เทคโนโลยี Double-Layered Encapsulation ที่เป็นเหมือนการห่อหุ้มเรตินอลเอาไว้ถึง 2 ชั้น เพื่อให้เรตินอลค่อย ๆ ปล่อยออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อทาลงบนผิว ทำให้ผิวได้รับประโยชน์จากเรตินอลได้อย่างเต็มที่ ยาวนานขึ้น และลดการระคายเคืองที่ผิวได้เป็นอย่างดี (อ้างอิง 7)
ด้วยเทคโนโลยีนี้ เรตินอลจะถูกห่อหุ้มไว้ในไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ (Sub-Micron Sphere) และไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ นี้จะถูกห่อหุ้มด้วยไข่มุกเม็ดใหญ่ (Microsphere) อีกชั้นหนึ่ง เมื่อทาลงบนผิว Microsphere จะยึดเกาะกับผิวและค่อย ๆ ปลดปล่อยเรตินอลออกมา ทำให้เรตินอลออกฤทธิ์ได้นานและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเรตินอลแบบทั่วไป (Free Retinol)
ความหมายของกราฟเหล่านี้ก็คือ ผลิตภัณฑ์เรตินอลที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ มีความสำคัญในการรักษาความเสถียรของเรตินอล ช่วยให้เรตินอลทำงานได้ยาวนานขึ้น และมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์เรตินอลแบบทั่วไป ถ้าเปรียบเทียบเรตินอลเป็นยาเม็ด เรตินอล MultiSal™ ก็เหมือนยาเม็ดเคลือบที่ค่อย ๆ ปล่อยตัวยาออกมา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ในขณะที่เรตินอลทั่วไปก็เหมือนยาเม็ดปกติที่ละลายเร็ว ทำให้ยาหมดฤทธิ์เร็วกว่า
ผลการทดลองในอาสาสมัครหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ 0.2% Pure Retinol ที่ใช้เทคโนโลยี MultiSal™ เป็นประจำทุกวันต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าริ้วรอยรอบดวงตาดูลดเลือนลง ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อ้างอิง 7)
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ The Shott ยังมีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ดูแลปัญหาจุดด่างดำ ความมันส่วนเกิน และลดการระคายเคืองจากการเรตินอล และยังมีเซราไมด์คอมเพล็กซ์รวม 5 ชนิด (Ceramide Complex) ที่ช่วยบำรุงและเสริมปราการปกป้องผิวให้แข็งแรง พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นและความนุ่มเนียนของผิว รวมถึงซาคราน (Sacran) หรือสารสกัดจากสาหร่ายซุยเซนจิ (Suizenji Nori) จากเกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น ตัวช่วยในการกักเก็บน้ำได้ดีมาก จึงมีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวและปลอบประโลมผิวจากเรตินอล
การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนอาจเคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลแล้ว แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือบางคนอาจแพ้หรือระคายเคืองผิวจนต้องเลิกใช้ไป ลองเปลี่ยนมาใช้ The Shott เซรั่มสูตรเรตินอลเข้มข้น 0.2% ด้วยนวัตกรรมการผลิตและส่วนผสมที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน ผิวของคุณจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
The Shott เซรั่มเรตินอลเข้มข้น 0.2% ตัวช่วยดูแลปัญหาริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และจุดด่างดำ ผลิตด้วยเทคโนโลยี MultiSal™ ที่ช่วยคงคุณภาพของเรตินอล ทำให้สารออกฤทธิ์ได้นานและลดการระคายเคืองได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ The Shott ได้ที่ : https://www.facebook.com/theshott.official หรือสั่งซื้อได้ที่ Shopee
เอกสารอ้างอิง
- Advances in Dermatology and Allergology. “Advances in Dermatology and Allergology/Postępy Dermatologii i Alergologii”. (2019)
- Journal of Cosmetic Dermatology. “A comparative study of the effects of retinol and retinoic acid on histological, molecular, and clinical properties of human skin”. (2015)
- International Journal of Cosmetic Science. “Molecular basis of retinol anti-ageing properties in naturally aged human skin in vivo”. (2016)
- CLINICAL RESEARCH AND EPIDEMIOLOGY. “182 Retinol remarkably effective in reducing neck wrinkles”. (2019)
- American Journal of Clinical Dermatology. “Effects of Topical Retinoids on Acne and Post-inflammatory Hyperpigmentation in Patients with Skin of Color: A Clinical Review and Implications for Practice”. (2021)
- Skin Pharmacology and Physiology. “A Clinical Anti-Ageing Comparative Study of 0.3 and 0.5% Retinol Serums: A Clinically Controlled Trial”. (2020)
- SALVONA Technologies. “MultiSal®”. (2024)
- Dermatology and Therapy. “Why Topical Retinoids Are Mainstay of Therapy for Acne”. (2017)
- Indian Journal of Dermatology. “Synchronizing Pharmacotherapy in Acne with Review of Clinical Care”. (2017)
- Cleveland Clinic. “Retinol”. (2022)
- American Osteopathic College of Dermatology (AOCD). “Retinoids, topical”. (2024)
- American Academy of Dermatology Association. “WHAT CAN TREAT LARGE FACIAL PORES?”. (2024)
- The Skin Cancer Foundation. “Is Your Beauty Routine Making You Photosensitive?”. (2023)
ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2024