ผักผลไม้กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด ?
ถ้าถามว่าหากคิดจะถนอมวิตามินและคุณค่าของอาหารในผักผลไม้จะต้องเตรียมอาหารอย่างไร ตอบว่าถ้าคุณบ้าวิตามินแบบสุดขีดก็คงจะต้องเป็นการกินแบบดิบ ๆ สด ๆ นั่นแหละคือดีที่สุดแล้ว แต่มันจะยากลำบากในการกินและต้องทนกับรสชาติเหม็นเขียวสักหน่อย แต่ในกรณีที่คุณไม่ได้บ้าแบบสุดขีด ผมก็ขอแนะนำให้ปรุงอาหารผักผลด้วยหลักการต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการต้มหรือลวกชนิดที่เราจะไม่ได้น้ำที่ต้มหรือลวกนั้น เพราะวิตามินที่ละลายในน้ำ (วิตามินบี และวิตามินซี) ส่วนหนึ่งจะสูญเสียออกไปอยู่ในน้ำที่เราทิ้งไป
- หลีกเลี่ยงการผัดหรือทอดแบบจุ่มในน้ำมันนาน ๆ เพราะวิตามินที่ละลายในไขมัน (วิตามินเอ, ดี, อี และเค) ส่วนหนึ่งจะสูญเสียออกไปอยู่ในน้ำมัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูงในการปรุงอาหารผักผลไม้ เพราะโฟเลตเป็นสารอาหารที่ไม่ทนความร้อน
- ปรุงผักผลไม้ด้วยการอบ ย่าง หรือนึ่ง เช่น การย่างแครอท เป็นการปรุงผักผลไม้ที่ดี เพราะวิตามินในผักส่วนใหญ่ยังทนต่อความร้อน (ยกเว้นโฟเลต) และไม่มีน้ำหรือน้ำมันพาเอาวิตามินออกไปเหมือนวิธีการต้มหรือทอด
- การใช้ไมโครเวฟ อีกวิธีที่ง่ายและสะดวก ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือก่อให้เกิดมะเร็ง เพราะไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แม้ตัวมันเองจะเป็นรังสีชนิดหนึ่งก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่รังสีชนิดที่จะทำให้โมเลกุลสสารเกิดแตกตัวเป็นอิออน (Non-ionizing radiation) และแม้มันจะรั่วออกมาจากเครื่องบ้าง แต่มันก็ไม่ไปน็อคยีนหรือ DNA ในเซลล์ร่างกายของเราให้เสียหาจนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้เหมือนอย่างรังสีเอ็กซเรย์ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้สสารแตกตัวเป็นอิออน
- การปั่นผักผลไม้ด้วยเครื่องปั่น ซึ่งจะปั่นด้วยความเร็วต่ำหรือความเร็วสูงต่างก็ดีทั้งคู่ แต่คนส่วนใหญ่จะชอบการปั่นด้วยความเร็วสูง เพราะการปั่นด้วยความเร็วต่ำจะต้องเอากากทิ้งไป (เพราะมันหยาบเกินไป กลืนไม่ได้หรือกลืนได้ลำบาก) ซึ่งส่วนที่ดีที่สุดของผลไม้ก็คือเมล็ดและเปลือกที่เป็นกากที่เราต้องทิ้งไปนั่นแหละ แต่การปั่นเครื่องปั่นด้วยความเร็วสูงเกิน 30,000 รอบต่อนาทีขึ้นไปมันจะสามารถปั่นเปลือกและเมล็ดให้เป็นน้ำได้เลย ทำให้เราไม่ต้องทิ้งกาก และได้ประโยชน์แบบเต็ม ๆ
- ส่วนใครที่กังวลว่าการปั่นความเร็วสูงนั้นจะทำลายโครงสร้างโมเลกุลเอนไซม์ ขอตอบเลยครับว่า “ไม่จริง” เพราะไม่ว่าจะเป็นการปั่นด้วยความเร็วสูงหรือต่ำ ด้วยใบมีดคมหรือใบมีดทื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพของอาหารเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของโมเลกุลอาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน หรือวิตามินเกลือแร่ เพราะโมเลกุลเหล่านี้มันเป็นอะไรที่เล็กมาก เราจึงไม่สามารถใช้กระบวนการทางฟิสิกส์เช่นการปั่น หั่น หรือตัดได้
- ส่วนใครที่กังวลว่าการปั่นความเร็วสูงนั้นจะทำลายโครงสร้างโมเลกุลเอนไซม์ ขอตอบเลยครับว่า “ไม่จริง” เพราะไม่ว่าจะเป็นการปั่นด้วยความเร็วสูงหรือต่ำ ด้วยใบมีดคมหรือใบมีดทื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพของอาหารเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของโมเลกุลอาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน หรือวิตามินเกลือแร่ เพราะโมเลกุลเหล่านี้มันเป็นอะไรที่เล็กมาก เราจึงไม่สามารถใช้กระบวนการทางฟิสิกส์เช่นการปั่น หั่น หรือตัดได้
สรุปนะ ถ้าถามว่าในบรรดาอุปกรณ์เครื่องครัวที่ใช้ทำอาหารในบ้าน ถ้าบังคับให้ผมต้องซื้อหรือมีแค่ 2 อย่าง ผมก็คงเลือกเป็นไมโครเวฟสำหรับการเวฟอาหารหนึ่งอย่าง และเครื่องปั่นความเร็วสูงยี่ห้อดี ๆ อีกสักเครื่องสำหรับใช้ปั่นผักผลไม้หรือทำสมูทตี้ โดยเฉพาะเครื่องปั่นแบบสุญญากาศที่มีคุณสมบัติช่วยคงคุณของสารอาหารได้ยาวนานกว่าเครื่องปั่นแบบปกติ แถมยังให้รสชาติที่ดีกว่า มีฟองน้อยกว่า เนื้อกับน้ำผสมเข้ากันดี และไม่เกิดการแยกชั้น ส่วนอย่างอื่น เช่น หม้อหุงข้าวไม่ต้องมีก็ได้นะ เพราะผมใช้ไมโครเวฟหุงได้ มีอุปกรณ์แค่สองอย่างนี้ผมก็สามารถทำอาหารอร่อย ๆ ดี ๆ ที่คงประโยชน์ได้อีกเยอะแยะสารพัดเมนูแล้ว
ทำไมต้องเครื่องปั่นสุญญากาศ ?
สำหรับใครที่เคยใช้เครื่องปั่นแบบธรรมดาปั่นน้ำผลไม้กินเองอยู่เป็นประจำแบบผมก็คงต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้กันแทบจะทั้งนั้น คือ ไม่ว่าคุณจะปั่นด้วยความเร็วสูง ปั่นแบบใส่น้ำน้อยหรือใส่น้ำมาก สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังปั่นเสร็จก็คือ การมีฟองจำนวนมากอยู่ด้านบนและเนื้อที่ปั่นอยู่ด้านล่าง หรือบางทีก็รวม ๆ กัน ตอนทานรสชาติมันก็ไม่ค่อยดี พอวางทิ้งไว้สักสักพัก ฟองด้านบนมันจะค่อย ๆ หายไป ตามมาด้วยการแยกชั้นเป็นกากลอยอยู่ด้านบนและน้ำอยู่ด้านล่าง ! เวลาเทออกมาก ๆ แก้วแรก ๆ จะมีแต่กาก น้ำน้อย เวลาทานก็จะหนืดคอแบบสุด ๆ ส่วนแก้วท้าย ๆ ก็จะเหลว ๆ จนแทบจะเหลือแต่น้ำ ยิ่งวิตามินแทบไม่ต้องพูดถึง…
แต่พอได้ดูการสาธิตเครื่องปั่นสุญญากาศที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านและได้ลองซื้อมาใช้ดูก็พบว่ามันดีกว่าเครื่องปั่นแบบธรรมดาที่ใช้อยู่จริง ๆ คือใช้แล้วมันจบ หมดปัญหาที่เคยพบมา แม้ราคาจะสูงแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคา (โดนไปหมื่นต้น ๆ ตามรูปด้านล่าง) โดยเครื่องที่ผมซื้อมาใช้นี้ก็เป็นของยี่ห้อ PHILIPS รุ่น HR3752 ครับ เพราะราคาอยู่ในระดับกลาง ๆ ที่พอซื้อได้ ประกอบกับการมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบถ้วนตอบโจทย์ และนี่คือข้อสรุปถึงข้อดีของเครื่องปั่นแบบสุญญากาศที่ผมได้ลองใช้มาครับ (เปรียบเทียบกับเครื่องปั่นธรรมดาที่เคยใช้อยู่เดิม)
- น้ำผลไม้ที่ปั่นมีสีสันสดใสดูเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งดูน่ารับประทานมากกว่า
- เนื้อกับน้ำผสมเข้ากันดี ดูเนียนละเอียด จึงช่วยให้ทานได้ง่ายมาก ๆ
- มีฟองน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย
- รักษาอุณหภูมิขณะปั่นได้ดี จึงไม่ทำลายคุณค่าของสารอาหาร (จากการทดสอบเมื่อปั่นด้วยความเร็วสูงสุด พบว่าอุณหภูมิของเครื่องดื่มอยู่ที่ 31.4 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าระดับที่วิตามินจะเสื่อมสลายมาก คือที่ 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป)
- ให้รสชาติที่ดีกว่าอย่างรู้สึกได้ รสไม่เหม็นเขียว ให้กลิ่นดีพอประมาณ
- วางทิ้งไว้เป็นชั่วโมง ๆ ก็ไม่เกิดการแยกชั้น
- ช่วยคงคุณค่าวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าและยาวนานกว่า 8 ชั่วโมง !
- ช่วยให้ผมบริโภคผักผลไม้ได้มากขึ้นและได้ในปริมาณที่แนะนำ (องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าเราควรรับประทานผักผลไม้ให้ได้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันการบริโภคผักผลไม้ให้ได้ในปริมาณนี้มันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ ครับ การทานแบบสมูทตี้จึงค่อนข้างจะตอบโจทย์ผมมากในเรื่องนี้ เพราะมันสะดวก อร่อย ทานได้ง่าย แถมยังปั่นตอนเช้าเก็บไว้กินระหว่างวันในที่ทำงานก็ได้ โดยที่ยังคุณค่าของสารอาหาร !)
การปั่นแบบสุญญากาศช่วยคงคุณค่าวิตามินได้ดี
การปั่นแบบสุญญากาศสามารถช่วยคงคุณค่าวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าการปั่นแบบธรรมดา เพราะการปั่นด้วยระบบสุญญากาศจะช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในขณะปั่นได้ (ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเป็นปฎิกริยาที่ออกซิเจนหรืออากาศเข้าไปทำลายวิตามินในผักผลไม้)
โดย The University of Natural Resources and Life Sciences กรุงเวียนนา (BOKU) ได้ทำการวิจัยโดยการใช้เครื่องสุญญากาศ PHILIPS รุ่น HR3752 แล้วได้ผลพบว่า
- การทดสอบด้วยการปั่นมะเขือเทศ เมื่อเวลาผ่านไป 8 ชั่วโมงการปั่นแบบสุญญากาศสามารถเก็บรักษาวิตามินซีได้มากถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการปั่นแบบไม่ใช้ฟังก์ชั่นสุญญากาศ
- การทดสอบด้วยการปั่นแอปเปิ้ล เมื่อเวลาผ่านไป 8 ชั่วโมง พบว่าการปั่นแบบสุญญากาศมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 60% เมื่อเปรียบเทียบกับการปั่นแบบไม่ใช้ฟังก์ชั่นสุญญากาศ
เปรียบเทียบการปั่นสุญญากาศ Vs ธรรมดา
รูปเปรียบเทียบน้ำปั่นสองแก้วระหว่าง การปั่นแบบสุญญากาศ Vs การปั่นแบบธรรมดา โดยเปรียบเทียบทั้งขณะหลังปั่นเสร็จใหม่ ๆ และหลังจากปั่นไปแล้วเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นได้ว่าน้ำผลไม้ที่ปั่นแบบสุญญากาศจะมีสีสันดูน่ารับประทานมากกว่า มีฟองน้อยกว่า เนื้อกับน้ำยังผสมเข้ากันดี และไม่เกิดการแยกชั้นเมื่อวางทิ้งไว้
“เครื่องปั่นสุญญากาศฟิลิปส์ (PHILIPS) ให้มากกว่าความอร่อยเพื่อสุขภาพที่ดีของครอบครัว”
ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิก : www.philips.co.th