Glucosamine Sulfate สรรพคุณ, งานวิจัย, วิธีใช้ ฯลฯ

กลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) ยาบรรเทาอาการปวดโดยลดการอักเสบ ชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อน และเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม

Glucosamine Sulfate คืออะไร ?

กลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) สามารถพบได้ในรูปแบบยาและอาหารเสริม มักใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดโดยลดการอักเสบ ชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อน และเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม* กลูคาซามีนมีความปลอดภัยและสามารถใช้ระยะยาวได้ตามคำแนะนำของแพทย์ (ปริมาณที่แนะนำคือ 1500 มก. ต่อวัน)

กลูโคซามีน (Glucosamine) เป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกาย โดยเฉพาะในกระดูกอ่อนซึ่งทำหน้าที่รองรับข้อต่อ กลูโคซามีนเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ปกติจะถูกสร้างและถูกนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารขนาดใหญ่ เช่น โปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan), ไกลโคโปรตีน (Glycoprotein), ไกลโคสามิโนไกลแคน (Glycosaminoglycan), กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นของกระดูกอ่อนและสามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกระดูกข้อต่อได้ นอกจากนี้กลูโคซามีนยังมีผลยับยั้งการทำงานของสารอักเสบได้หลายชนิด จึงมีผลลดการอักเสบของข้อด้วย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงมีการนำกลูโคซามีนมาใช้รักษาหรือชะลอการเสื่อมของข้อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม

หมายเหตุ : โรคข้อเสื่อม หรือโรคข้อกระดูกอ่อนเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่ทำให้ข้อและเนื้อเยื่อของข้อเสื่อมลง โดยเริ่มจากอาการตึงของกล้ามเนื้อและปวดเมื่อใช้งานข้อต่อนั้น ต่อมาข้อจะบวมและอาจมีลักษณะผิดรูปเมื่ออาการรุนแรงขึ้น สาเหตุหลักคือการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนเนื่องจากปริมาณโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycans) ลดลง ทำให้ความสามารถในการรองรับการเคลื่อนไหวของข้อลดลงและเกิดอาการปวดเมื่อมีการลงน้ำหนักหรือใช้งานข้อนั้น โรคนี้มักลุกลามอย่างช้า ๆ และเกิดขึ้นบ่อยในข้อต่อที่รับน้ำหนัก เช่น เข่าและสะโพก

ประเภทของ Glucosamine Sulfate

กลูโคซามีนที่มีจำหน่ายแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักตามการขึ้นทะเบียน ได้แก่ (1) ยาอันตราย และ (2) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยแต่ละประเภทมีขั้นตอนและเอกสารในการขอขึ้นทะเบียนที่แตกต่างกัน

กลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาอันตรายมีจุดประสงค์เพื่อใช้รักษาโรคข้อเสื่อม ซึ่งจำเป็นต้องมีเอกสารยืนยันผลการศึกษาทางการแพทย์เพื่อแสดงประสิทธิภาพและความปลอดภัย และการใช้ต้องอยู่ภายใต้การสั่งจ่ายจากแพทย์

สำหรับกลูโคซามีนที่ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงใช้เสริมอาหาร โดยไม่ต้องแสดงผลการศึกษาทางการแพทย์ และในหลายประเทศ Glucosamine Sulfate ถือเป็นอาหารเสริมที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ มักใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพข้อต่อมากกว่าการรักษาโรค (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจมีปริมาณ Glucosamine Sulfate แตกต่างจากที่ระบุไว้จริงในผลิตภัณฑ์)

ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้ Glucosamine Sulfate ขึ้นทะเบียนเป็น “ยาอันตราย” เท่านั้น ไม่ใช่อาหารเสริม ซึ่งทำให้มีปริมาณ Glucosamine Sulfate ที่แน่นอนกว่ารูปแบบอาหารเสริม และต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์

นอกจากนี้ ทั้งยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของกลูโคซามีนมีจำหน่ายในรูปแบบของสารประกอบเกลือหลายชนิด เช่น เกลือซัลเฟต (Glucosamine Sulfate), เกลือไฮโดรคลอไรด์ (Glucosamine hydrochloride), และเกลือคลอโรไฮเดรต (Glucosamine chlorohydrate) ซึ่งมีขนาดโมเลกุลและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และไม่สามารถใช้แทนกันได้

กลไกการออกฤทธิ์ของ Glucosamine Sulfate

กลไกการออกฤทธิ์ของ Glucosamine Sulfate ที่มีประโยชน์ต่อโรคข้อเสื่อมนั้นเชื่อว่าทำงานผ่านหลายช่องทาง ดังนี้

1. กระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อน : Glucosamine Sulfate เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Proteoglycans ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูกอ่อน ช่วยกระตุ้นเซลล์กระดูกอ่อน (Chondrocytes) ให้ผลิตสารที่จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกอ่อนใหม่ ทำให้กระดูกอ่อนหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น และสามารถซ่อมแซมกระดูกอ่อนส่วนที่สึกหรอได้ดีขึ้น

2. ลดการเสื่อมของกระดูกอ่อน : Glucosamine Sulfate อาจช่วยลดการเสื่อมของกระดูกอ่อนโดยการยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อน เช่น Collagenase และ Phospholipase จึงช่วยให้กระดูกอ่อนคงอยู่และเสื่อมสภาพช้าลง

3. เพิ่มการหล่อลื่นข้อต่อ : Glucosamine Sulfate อาจช่วยเพิ่มการผลิตของ Hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการหล่อลื่นข้อ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปอย่างราบรื่นและลดการเสียดสีระหว่างกระดูกในข้อ

4. ลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด : แม้ว่ากลไกการลดการอักเสบของ Glucosamine Sulfate จะไม่ชัดเจนเหมือนยาแก้อักเสบชนิดอื่น (มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างอ่อน ๆ) แต่การศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า Glucosamine Sulfate สามารถลดการผลิตของ Cytokines ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบในข้อได้

Glucosamine Sulfate มีบทบาทสำคัญในการบรรเทาอาการและชะลอความเสื่อมของโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) โดยเชื่อว่ามาจากกลไกกระตุ้นการสร้าง/ซ่อมแซมและชะลอการเสื่อมของกระดูกอ่อน ช่วยเพิ่มการผลิตสารหล่อลื่นในข้อต่อ นอกจากนี้ ยังช่วยลดการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อติดขัด ทำให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงและเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาของโรค ความรุนแรงของอาการ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร”

ประสิทธิภาพของ Glucosamine Sulfate

ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า Glucosamine Sulfate สามารถชะลอความรุนแรงของโรคหรือบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผลการศึกษาต่าง ๆ ยังมีความขัดแย้งกัน แม้ในต่างประเทศ Glucosamine Sulfate จะได้รับความนิยมในฐานะอาหารเสริมสำหรับโรคข้อเสื่อมอยู่มากก็ตาม

อย่างไรก็ตาม Glucosamine Sulfate ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าลองและเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ได้ เนื่องจากยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคนี้ได้โดยตรง การรักษาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ยาบรรเทาอาการปวดอย่างยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือยาแก้ปวดชนิดอื่น ๆ ในขณะที่ Glucosamine Sulfate มักถูกใช้เป็นยาเสริมการรักษาอีกทางหนึ่ง และบางครั้งแพทย์อาจพิจารณาให้ Glucosamine Sulfate เป็นตัวเลือกแรกในการรักษาโรคข้อเสื่อมสำหรับผู้ป่วยบางราย

การศึกษาที่พบประโยชน์ของ Glucosamine Sulfate ต่อโรคข้อเสื่อม มีหลายการศึกษา เช่น

  • การศึกษาเบื้องต้นโดย Towheed ในปี 2001 พบว่าการเสริม Glucosamine Sulfate วันละ 1,500 มก. เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานและลดอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมได้ แต่การศึกษา Cochrane Meta-Analysis ที่มีคุณภาพสูงกว่า ไม่สอดคล้องกันและไม่ดีเท่าการศึกษาเบื้องต้น โดยพบว่า Glucosamine Sulfate ช่วยลดอาการปวดลง 28% และปรับปรุงการทำงานได้ 21% เมื่อวัดด้วยดัชนี Lequesne แต่ผลลัพธ์จากการวัดด้วยดัชนี WOMAC ไม่พบความแตกต่างทางสถิติเมื่อเทียบกับยาหลอก (1)
  • ผลการทดลองขนาดใหญ่ 2 รายการในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้รับการตีพิมพ์หลังจากการวิเคราะห์เมตาของ Cochrane ในปี 2005 (GUIDE และ GAIT) พบว่าการเสริม Glucosamine Sulfate วันละ 1,500 มก. มีประสิทธิภาพมากกว่ายาหลอกในการลดอาการปวดและปรับปรุงการทำงาน แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการลดอาการปวดตามดัชนี WOMAC (2) (3)
  • การศึกษา Meta-Analysis ในปี 2010 พบว่า Glucosamine Sulfate มีผลในการชะลอการแคบลงของช่องว่างระหว่างข้อต่อ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการชะลอการเสื่อมของข้อเข่า เมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน 3 ปี (4)
  • การศึกษา Systematic Review และ Meta-Analysis โดย Gregori ในปี 2018 และ Ogata ในปี 2018 พบว่า Glucosamine Sulfate สามารถลดอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้ และยังช่วยลดการแคบลงของช่องว่างระหว่างข้อต่อ (5) (6)

ส่วนการศึกษาที่พบว่า Glucosamine Sulfate มีประสิทธิภาพน้อยหรือไม่มี เช่น

  • การศึกษา Meta-Analysis ในปี 2011 ที่รวมการทดลอง 10 ครั้งกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม 3,803 รายที่ได้รับกลูโคซามีน คอนโดรอิทิน หรือทั้งสองอย่างรวมกัน กลูโคซามีนและคอนดรอยตินอาจช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของข้อ (กล่าวคือ ไม่มีผลต่อการชะลอการแคบลงของช่องว่างระหว่างข้อ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การเสื่อมของข้อเข่า) (7)
  • การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบในปี 2017 สรุปได้ว่า Glucosamine Sulfate ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการลดอาการปวดและปรับปรุงการทำงานในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม เมื่อเทียบกับยาหลอก ทั้งในระยะสั้น (3 เดือน) และระยะยาว (24 เดือน) ไม่ว่าจะพิจารณาตามอาการปวดขั้นต้น ดัชนีมวลกาย เพศ ความผิดปกติของโครงสร้างของข้อ หรือการอักเสบ (8)
  • การศึกษาแบบสุ่มควบคุมด้วยยาหลอกในผู้หญิงวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงสูง (จำนวน 407 คน) พบว่า Glucosamine Sulfate ไม่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือการปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย (9)
  • การศึกษาที่พบว่า Glucosamine Sulfate ชนิดรับประทานไม่ได้ดีกว่ายาหลอกในการลดอาการและสัญญาณของโรคข้อเสื่อมบริเวณข้อต่อขากรรไกรในการทดลองระยะสั้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ (10)
  • การศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า Glucosamine Sulfate วันละ 1,500 มก. นาน 2 ปี ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการลดอาการปวดและชะลอการเสื่อมของข้อในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมบริเวณสะโพก เมื่อเทียบกับยาหลอก (11)
  • การศึกษาชี้ให้เห็นว่า Glucosamine Sulfate วันละ 1,500 มก. นาน 6 เดือน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติในการลดอาการปวดหลังเรื้อรังและโรคข้อเสื่อมบริเวณเอว เมื่อเทียบกับยาหลอก (12)
  • การศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการใช้ Glucosamine Sulfate ร่วมกับ Omega-3 Fatty Acids อาจมีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าการใช้ Glucosamine Sulfate เพียงอย่างเดียว (13)

“แม้ว่าผลการศึกษายังไม่ชัดเจน แต่ Glucosamine Sulfate อาจเป็นทางเลือกเสริมที่คุ้มค่าสำหรับการรักษาโรคข้อเสื่อม”

การศึกษาอื่นของยา Glucosamine Sulfate

  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นการศึกษาในหนูทดลองโดยใช้กลูโคซามีน (ไม่ระบุชนิดเกลือ) ร่วมกับวิตามินอีในหนูทารกที่มีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบว่ามีผลช่วยลดระดับมาโลนไดอัลดีไฮด์ในพลาสมา (เป็นสารที่เกิดจากการทำลายของเซลล์ การลดลงของสารนี้แสดงถึงการช่วยป้องกันการทำลายเซลล์) และเพิ่มระดับซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส, แคทาเลส, กลูตาไธโอนรีดิวซ์, กลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส และสังกะสี (สารเหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์และชะลอการเสื่อมของร่างกาย) (14)
  • โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (Colitis) การทดลองในหนูที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ พบว่าการเสริมกลูโคซามีนสามารถช่วยลดอาการของโรคและลดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ (15)
  • การบาดเจ็บของจอประสาทตา (Retinal injury) การทดลองในหลอดทดลองพบว่ากลูโคซามีน (ไม่ระบุชนิดเกลือ) มีผลในการปกป้องจอประสาทตาในแบบจำลองการทดลองจอประสาทตา ซึ่งรวมถึงผลต้านการตายของเซลล์ ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ (16)
  • โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) การทดลองทางคลินิกพบว่าการรักษาเสริมด้วย Glucosamine Sulfate ร่วมกับยา Cyclosporine สามารถช่วยปรับปรุงอาการของโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ได้ดีกว่าการใช้ยา Cyclosporine เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีผลข้างเคียงหรือทำให้ระดับ Cyclosporine  ในซีรั่มเพิ่มขึ้น (17)
  • โรคมะเร็ง (Cancer) กลูโคซามีนแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด (18), มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (19) อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์เหล่านี้และกลไกการทำงานที่แน่ชัด

ตัวอย่างยา Glucosamine Sulfate

ยา Glucosamine Sulfate ที่เป็นยาต้นแบบจะเป็นของยี่ห้อ Viartril-S® (ไวอาร์ตรีล-เอส) ผลิตโดยบริษัทรอตต้าฟาร์ม ประเทศไอร์แลนด์ (ROTTAPHARM LTD., Ireland) ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม และรูปแบบผงละลายน้ำใช้ชงดื่มขนาด 1500 มิลลิกรัม โดยทั้งสองรูปแบบนี้มีส่วนประกอบหลักเหมือนกันคือ กลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) แต่จะเป็นกลูโคซามีนที่ผลิตออกมาในรูปของผลึก หรือที่เรียกว่า “คริสตัลกลูโคซามีนซัลเฟต” (Crystalline Glucosamine Sulfate – CGS)

ความแตกต่างระหว่างกลูคาซามีนซัลเฟตที่อยู่ในรูปผลึก (CGS) กับกลูโคซามีนซัลเฟตแบบทั่วไป (GS) มีดังนี้

  • ความเสถียร : กลูโคซามีนซัลเฟตในรูปผลึก CGS เป็นรูปแบบที่มีความเสถียรสูงกว่า โดยมีการผลิตให้อยู่ในรูปแบบของผลึกที่ช่วยให้สารมีความเสถียรและสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของสารได้ดีกว่า (ทำให้มีลักษณะเป็นผลึกหรือเม็ดละเอียดที่มีความบริสุทธิ์สูง) จึงมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า และมักใช้ในผลิตภัณฑ์ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพสูง ส่วนกลูโคซามีนซัลเฟตแบบทั่วไป (GS) มักมีลักษณะเป็นผงหรือของเหลว ซึ่งอาจมีความบริสุทธิ์และความเสถียรที่น้อยกว่า CGS
  • การดูดซึม : ด้วยความเสถียรที่สูงกว่า CGS อาจมีการดูดซึมในร่างกายที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีกว่า ส่วนการดูดซึมของ GS แบบทั่วไปมักขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่อาจแตกต่างกันไปตามกระบวนการผลิตของแต่ละแบรนด์
  • การศึกษาวิจัย : CGS มักถูกใช้ในงานวิจัยและการทดลองทางการแพทย์ เนื่องจากมีคุณภาพที่เสถียรและคาดการณ์ผลได้ดีกว่า สำหรับผลการศึกษาที่เกี่ยวกับคุณภาพหรือรูปแบบของกลูโคซามีนมีดังนี้
    • การศึกษาที่พบว่าคุณภาพของ Glucosamine Sulfate ที่ใช้ในการศึกษาแต่ละครั้งมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะของบริษัทรอตต้า ซึ่งพบว่า Glucosamine Sulfate ของบริษัทนี้ (CGS) มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดมากกว่ายาหลอก ในขณะที่ยี่ห้ออื่น ๆ ไม่พบความแตกต่างทางสถิติ นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษาที่พบว่าปริมาณของ Glucosamine Sulfate ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์จริงของยี่ห้ออื่นอาจแตกต่างจากที่ระบุไว้บนฉลากได้มากกว่า 100% (1) (20)
    • การศึกษาที่พบว่า Glucosamine Sulfate ของบริษัทรอตต้า (CGS) ช่วยลดอาการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่การทดลองที่ใช้ยี่ห้ออื่น ๆ กลับไม่พบการลดอาการปวดอย่างต่อเนื่อง (21)
  • ประสิทธิภาพ : CGS มักจะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจากความบริสุทธิ์ที่สูงกว่า
  • ราคา : CGS มีราคาแพงกว่า GS เนื่องจากมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า
  • การเลือกใช้ : หากต้องการคาดหวังผลลัพธ์ด้านผลการรักษา ควรเลือกผลิตภัณฑ์กลูโคซามีนในรูปผลึก CGS เป็นหลัก แต่ถ้าต้องการใช้เพื่อเสริมสุขภาพของข้อทั่วไป อาจเลือกกลูโคซามีนแบบทั่วไป (GS) ที่มักอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ใช้ได้เหมือนกัน

Crystalline Glucosamine Sulfate (CGS) เป็นรูปแบบของกลูโคซามีนซัลเฟตที่มีลักษณะเป็นผลึก มีความบริสุทธิ์สูง มักใช้ในผลิตภัณฑ์ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพสูง และอาจมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเนื่องจากมีความเสถียรและการดูดซึมที่ดีกว่า”

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยา

  • โปรดทราบว่า Glucosamine Sulfate ไม่ใช่ยาที่ช่วยรักษาโรคข้อเสื่อมได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมของข้อ
  • ก่อนใช้ยา Glucosamine Sulfate คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพของคุณ เพื่อให้เกิดความถูกต้องในการใช้ยา รวมถึงข้อควรระวัง อาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ และอาจมีการกำหนดให้ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์
  • เนื่องจากผลิตภัณฑ์กลูโคซามีนอาจสังเคราะห์มาจากสัตว์ทะเล (จากเปลือกหอย กุ้ง หรือปู) จึงมีความกังวลว่าอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงในผู้ที่แพ้อาหารทะเลได้ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังการใช้ในผู้มีประวัติการแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้งหรือปู
  • หากคุณกำลังรับประทานยาอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อน เพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้น เช่น
    • ไทลินอลหรือพาราเซตามอล (Acetaminophen) ที่หากรับประทานร่วมกับ Glucosamine Sulfate อาจลดประสิทธิภาพของดังกล่าวและกลูโคซามีนได้ 
    • วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพราะกลูโคซามีนอาจเพิ่มประสิทธิภาพของยาวาร์ฟาริน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกได้
  • ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมโรคไม่ดี (22), โรคตับที่ควบคุมโรคได้ไม่ดี (23), ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด (กลูโคซามีนอาจทำให้โรคหอบหืดแย่ลง (24)) และในผู้ที่เป็นโรคต้อหิน (มีความกังวลว่ากลูโคซามีนอาจทำให้ความดันตาสูงขึ้น (25)) หากคุณมีโรคเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา Glucosamine Sulfate

ขนาดและวิธีใช้ Glucosamine Sulfate

โดยทั่วไปผู้ที่ต้องการใช้ยา Glucosamine Sulfate เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม แพทย์มักแนะนำให้รับประทานในขนาดวันละ 1500 มก.* ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน (สูงสุดไม่เกิน 3 ปี) หรือตามที่แพทย์สั่ง

  • แบบแคปซูลขนาด 500 มก. รับประทานพร้อมอาหาร วันละ 3 ครั้ง
  • แบบผง 1500 มก. (เป็นซอง) แนะนำให้รับประทานพร้อมอาหาร วันละ 1 ซอง ครั้งเดียว

หมายเหตุ : มีการศึกษาที่สนับสนุนถึงความปลอดภัยเมื่อใช้ Glucosamine Sulfate ในขนาดวันละ 2,000 มก. และการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการใช้ในขนาดสูงสุดถึงวันละ 3,200 มก. ยังพบว่าปลอดภัย แต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการเพิ่มขนาดยานี้จะเพิ่มประสิทธิภาพ

ความปลอดภัยและผลข้างเคียง

โดยทั่วไปการรับประทาน Glucosamine Sulfate ในปริมาณที่เหมาะสมถือว่ามีความปลอดภัย แม้จะใช้ในระยะยาว ในหญิงตั้งครรภ์สามารถใช้ได้ (26) และผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เช่น

  • ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น อาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย แสบท้อง (อาจบรรเทาอาการด้วยการรับประทานพร้อมอาหาร)
  • ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น มึนงง ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ ผื่นแพ้ผิวหนัง แพ้แสง ปากคอบวม หัวใจเต้นเร็ว หรือกระตุ้นให้เกิดการจับหืดได้

“โดยสรุป Glucosamine Sulfate เป็นยาที่มีความปลอดภัยที่ใช้ในการบรรเทาอาการและชะลอความเสื่อมของโรคข้อเสื่อม โดยออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมกระดูกอ่อน เพิ่มการหล่อลื่นในข้อต่อ และลดการอักเสบ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้”

การศึกษาอ้างอิง
  1. Cochrane Database of Systematic Reviews. “Glucosamine therapy for treating osteoarthritis”. (2005)
  2. The New England Journal of Medicine. “Glucosamine, chondroitin sulfate, and the two in combination for painful knee osteoarthritis”. (2006)
  3. Arthritis & Rheumatology. “Glucosamine sulfate in the treatment of knee osteoarthritis symptoms: a randomized, double-blind, placebo-controlled study using acetaminophen as a side comparator”. (2007)
  4. Rheumatology International. “Effect of glucosamine or chondroitin sulfate on the osteoarthritis progression: a meta-analysis”. (2010)
  5. JAMA. “Association of Pharmacological Treatments With Long-term Pain Control in Patients With Knee Osteoarthritis”. (2018)
  6. Clinical Rheumatology. “Effects of glucosamine in patients with osteoarthritis of the knee: a systematic review and meta-analysis”. (2018)
  7. Database of Abstracts of Reviews of Effects. “Effects of glucosamine, chondroitin, or placebo in patients with osteoarthritis of hip or knee: network meta-analysis”. (2010)
  8. Annals of the Rheumatic Diseases. “Subgroup analyses of the effectiveness of oral glucosamine for knee and hip osteoarthritis: a systematic review and individual patient data meta-analysis from the OA trial bank”. (2017)
  9. The American Journal of Medicine. “Prevention of knee osteoarthritis in overweight females: the first preventive randomized controlled trial in osteoarthritis”. (2015)
  10. Oral Surgery, Oral Medicine, Oral Pathology and Oral Radiology. “No effect of glucosamine sulfate on osteoarthritis in the temporomandibular joints–a randomized, controlled, short-term study”. (2011)
  11. Osteoarthritis and Cartilage. “Effect of glucosamine sulphate on joint space narrowing, pain and function in patients with hip osteoarthritis; subgroup analyses of a randomized controlled trial”. (2008)
  12. JAMA. “Effect of glucosamine on pain-related disability in patients with chronic low back pain and degenerative lumbar osteoarthritis: a randomized controlled trial”. (2010)
  13. Advances in Therapy. “Effect of glucosamine sulfate with or without omega-3 fatty acids in patients with osteoarthritis”. (2009)
  14. Biomedicine & Pharmacotherap. “Synergistic effect of glucosamine and vitamin E against experimental rheumatoid arthritis in neonatal rats”. (2018)
  15. Journal of Gastroenterology and Hepatology. “Effects of dietary supplementation of glucosamine sulfate on intestinal inflammation in a mouse model of experimental colitis”. (2013)
  16. Investigative Ophthalmology & Visual Science. “Protective effects of glucosamine on oxidative-stress and ischemia/reperfusion-induced retinal injury”. (2015)
  17. Dermatologic Therapy. “Combination of glucosamine and low-dose cyclosporine for atopic dermatitis treatment: a randomized, placebo-controlled, double-blind, parallel clinical trial”. (2015)
  18. Cancer Causes & Control. “Use of glucosamine and chondroitin and lung cancer risk in the VITamins And Lifestyle (VITAL) cohort”. (2011)
  19. International Journal of Cancer. “Use of glucosamine and chondroitin supplements in relation to risk of colorectal cancer: Results from the Nurses’ Health Study and Health Professionals follow-up study”. (2016)
  20. Current Medical Research and Opinion. “A review of glucosamine for knee osteoarthritis: why patented crystalline glucosamine sulfate should be differentiated from other glucosamines to maximize clinical outcomes”. (2016)
  21. Arthritis Care Res (Hoboken). “Risk of bias and brand explain the observed inconsistency in trials on glucosamine for symptomatic relief of osteoarthritis: a meta-analysis of placebo-controlled trials”. (2014)
  22. The Journal of Family Practice. “Clinical inquiries: Do glucosamine and chondroitin worsen blood sugar control in diabetes?”. (2006)
  23. World Journal of Gastroenterology. “Hepatotoxicity associated with glucosamine and chondroitin sulfate in patients with chronic liver disease”. (2013)
  24. Journal of the American Board of Family Medicine. “Asthma exacerbation associated with glucosamine-chondroitin supplement”. (2002)
  25. Eye. “Effect of glucosamine on intraocular pressure: a randomized clinical trial”. (2017)
  26. Journal of women’s health (Larchmont). “Glucosamine use in pregnancy: an evaluation of pregnancy outcome”. (2007)

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ