รังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะ สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาอย่างถูกวิธี

รักษารังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะ

รังแคและเชื้อราบนผิวหนังและหนังศีรษะ

รังแค (Dandruff) คือภาวะที่หนังศีรษะลอกเป็นสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง มักเกิดร่วมกับอาการคันและแดง โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ โรคผิวหนังอักเสบชนิดเซบอร์รีค หรือโรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ซึ่งเป็นการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น หนังศีรษะ ใบหน้า และลำตัว ส่วน เชื้อราบนผิวหนังและหนังศีรษะ (Fungal Skin Infections) คือการติดเชื้อจากเชื้อรา เช่น เชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes หรือ Candida ซึ่งทำให้เกิดผื่นแดง คัน และอาจมีขอบนูนชัดเจน

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดแค่หนังศีรษะ แต่ยังเกิดได้ตามส่วนต่าง ๆ เช่น

  • หนังศีรษะ : รังแค คัน และผมร่วงบางส่วน
  • ใบหน้าและคอ : ผื่นแดง คัน โดยเฉพาะบริเวณคิ้ว จมูก และคาง
  • ลำตัวและแขนขา : กลาก (Ringworm) หรือเกลื้อน (Tinea Versicolor) ซึ่งเป็นจุดด่างขาวหรือน้ำตาล
  • เท้าและเล็บ : เชื้อราที่เท้า (Athlete’s Foot) ทำให้ผิวแตก คัน ระหว่างนิ้วเท้า
  • ขาหนีบ : เชื้อราที่ขาหนีบ (Jock Itch) ทำให้คันและแดงในที่อับชื้น

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ เชื้อราอาจแพร่กระจาย ทำให้อาการหนักขึ้นและรักษายาก

ความแตกต่างระหว่างรังแคกับเชื้อราบนหนังศีรษะ

รังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะมีอาการคล้ายกัน เช่น คันและมีสะเก็ด แต่แท้จริงแล้วทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันบางส่วน แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด โดยสามารถแยกออกได้ดังนี้

รังแค (Dandruff) คือภาวะที่หนังศีรษะลอกเป็นสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง มักเกิดจากโรคผิวหนังอักเสบชนิดเซบอร์รีค (Seborrheic Dermatitis) ซึ่งเป็นการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น หนังศีรษะ สาเหตุหลักมาจากการเติบโตเกินปกติของเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนหนังศีรษะของคนส่วนใหญ่ตามธรรมชาติ แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น น้ำมันส่วนเกินบนผิว (Sebum) ความเครียด หรือสภาพอากาศชื้น เชื้อรานี้จะทำให้ผิวอักเสบและลอกออกมาเป็นรังแค

อย่างไรก็ตาม รังแคไม่ใช่ “การติดเชื้อรา” แบบรุนแรง มันเป็นปฏิกิริยาของผิวต่อเชื้อรา ไม่ได้ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือลุกลามไปส่วนอื่นมากนัก อาการทั่วไปคือสะเก็ดขาวที่ร่วงลงบนไหล่ คันเบา ๆ และหนังศีรษะมันเยิ้มหรือแห้ง

เชื้อราบนหนังศีรษะ (Scalp Fungal Infection) คือ การติดเชื้อจากเชื้อราโดยตรง เช่น เชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes (ทำให้เกิด Tinea Capitis หรือกลากบนหนังศีรษะ) หรือ Candida (ทำให้เกิด Yeast Infection บนหนังศีรษะ) เชื้อราเหล่านี้บุกรุกชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นแดง คันรุนแรง สะเก็ดหนา และอาจมีผมร่วงเป็นวงกลมหรือหย่อม ๆ เพราะเชื้อราไปทำลายรูขุมขน

สาเหตุเกิดจากการสัมผัสเชื้อราโดยตรง เช่น ใช้หวีหรือหมวกที่ปนเปื้อนเชื้อรา สภาพอากาศร้อนชื้น หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เชื้อราประเภทนี้สามารถลุกลามไปยังใบหน้า คอ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ ถ้าปล่อยไว้ อาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือผมร่วงถาวร

เกี่ยวข้องกันยังไง? รังแคหลายกรณีเกิดจากเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นเชื้อราแบบเดียวกับที่ทำให้เกิดการติดเชื้อราเบา ๆ บนหนังศีรษะ ดังนั้น บางครั้งรังแคอาจเป็น “จุดเริ่มต้น” ของปัญหาเชื้อราที่รุนแรงกว่า ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกเคสรังแคที่เป็นเชื้อรา บางครั้งอาจเกิดจากผิวแห้งหรือแพ้ผลิตภัณฑ์สระผมเท่านั้น

แตกต่างกันยังไง?

  • ตำแหน่งและการลุกลาม : รังแคอยู่เฉพาะหนังศีรษะและไม่ลามมาก แต่เชื้อราอาจลุกลามไปหู คอ หรือใบหน้า
  • อาการรุนแรง : รังแคทำให้คันเบาและสะเก็ดร่วง แต่เชื้อราทำให้คันมาก ผมร่วงเป็นหย่อม และอาจมีหนองหรือกลิ่นเหม็น
  • สาเหตุ : รังแคเป็นปฏิกิริยาผิวต่อเชื้อรา ไม่ใช่การติดเชื้อโดยตรง ในขณะที่เชื้อราบนหนังศีรษะเป็นการติดเชื้อจริง ๆ ที่ต้องการยาต้านเชื้อราแรง ๆ
  • การรักษา : รังแคแก้ด้วยแชมพูขจัดรังแคทั่วไป แต่เชื้อราต้องใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น Ketoconazole หรือไปพบแพทย์ถ้าอาการหนัก

ถ้าคุณมีอาการคันมาก ผมร่วง หรือผื่นแดง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจให้แน่ชัด เพราะบางครั้งอาจเป็นโรคอื่น เช่น โรคสะเก็ดเงินบนหนังศีรษะ (Scalp Psoriasis) ซึ่งคล้ายกันแต่ต่างสาเหตุ

สรุปคือ รังแคกับเชื้อราบนหนังศีรษะไม่ใช่คนละอย่างกันเสียทีเดียว เพราะรังแคมักเกี่ยวข้องกับเชื้อรา แต่เชื้อราที่แท้จริงรุนแรงกว่าและต้องการการรักษาที่ต่างกัน การดูแลหนังศีรษะให้สะอาดและแห้งจะช่วยป้องกันทั้งสองปัญหาได้

สาเหตุของรังแคและเชื้อราบนผิวหนัง

สาเหตุหลักคือเชื้อรา โดยเฉพาะ Malassezia ที่อาศัยบนหนังศีรษะคนส่วนใหญ่ แต่เติบโตเกินเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น น้ำมันส่วนเกิน ความเครียด หรืออากาศชื้น สำหรับเชื้อราบนผิวส่วนอื่น มักจาก Candida หรือ Dermatophytes ที่ชอบความชื้นและร้อน เช่น การใส่เสื้อผ้าอับหรือใช้ของร่วมกัน

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่

  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ใช้ยาปฏิชีวนะมากเกิน
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ
  • การดูแลผิวไม่ดี เช่น ไม่สระผมบ่อยหรือใช้ผลิตภัณฑ์ระคายเคือง

อาการที่พบบ่อย

อาการของรังแคและเชื้อราจะแตกต่างกันตามบริเวณที่เกิด แต่โดยทั่วไปรวมถึง

  • สะเก็ดขาวหรือเหลืองบนหนังศีรษะหรือผิวหนัง
  • คันและแดง โดยเฉพาะตอนเหงื่อออก
  • ผิวแห้งลอกหรือมันเยิ้ม
  • กลิ่นไม่พึงประสงค์บางครั้ง
  • หากเป็นเชื้อราบนผิว อาจมีผื่นวงกลมหรือจุดด่าง

อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการรุนแรง เช่น มีแผลหรือติดเชื้อแบคทีเรียร่วม ควรพบแพทย์ทันที

รังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะ รักษาด้วย คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) 2%

วิธีรักษาและป้องกันรังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะ

การรักษาหลักคือการใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งทำงานโดยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและลดการอักเสบ งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันประสิทธิภาพของคีโตโคนาโซล 2% ในการลดอาการรังแคและเชื้อรา เช่น การศึกษาของ C Piérard-Franchimont (2002) พบว่าการใช้คีโตโคนาโซล 2% ช่วยลดอาการได้ถึง 73% ในผู้ป่วย อีกการศึกษาจาก Karger แสดงว่าคีโตโคนาโซล 2% มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาอื่น ๆ

หรือการศึกษาของ J Faergemann (1990) แบบ Double-blind Placebo-controlled กับผู้ป่วย 36 คนที่มี Seborrhoeic Dermatitis ของหนังศีรษะ พบว่า Ketoconazole 2% สองครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จำนวน 16 จาก 18 คน (89%) อาการหายหรือดีขึ้น

Ketoconazole เป็นยาต้านเชื้อรา (Antifungal) ที่ใช้รักษาการติดเชื้อจากเชื้อราและยีสต์ มันทำงานโดยเข้าไปขัดขวางการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อรา ทำให้เชื้อราหยุดเติบโตหรือตายไปในที่สุด ความเข้มข้น 2% เป็นระดับมาตรฐานสำหรับใช้ภายนอก เช่น ในรูปแบบสเปรย์ แชมพู หรือครีม ซึ่งปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับปัญหาบนผิวและหนังศีรษะ

สำหรับหนังศีรษะโดยเฉพาะ Ketoconazole 2% มีประสิทธิภาพดีกับเชื้อรา Malassezia ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรังแคและอาการคันหนังศีรษะ มันช่วยลดจำนวนเชื้อรา ลดการอักเสบ และทำให้สะเก็ดขาวลดลง โดยไม่ทำให้ผมร่วงเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเชื้อราบนหนังศีรษะแบบรุนแรง เช่น Tinea Capitis (กลากบนหนังศีรษะหรือ ringworm) ซึ่งทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ Ketoconazole 2% แบบ Topical (ใช้ภายนอก) อาจไม่พอ เพราะเชื้อราอยู่ลึกในรูขุมขน ต้องใช้ยาแบบกิน (Oral antifungal) ร่วมด้วยหรือแทนที่ ดังนั้น ถ้าอาการหนัก เช่น มีผื่นแดง มีหนอง หรือผมร่วงเยอะ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด

สำหรับการป้องกัน แนะนำว่า

  • รักษาความสะอาด อาบน้ำและสระผมเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงความชื้น ใช้เสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว
  • หากมีโรคประจำตัว ควรควบคุมให้ดีเพื่อลดความเสี่ยง

ตัวอย่าง: ผลิตภัณฑ์สเปรย์ขจัดรังแคและเชื้อรา Funginox

ฟังจิน็อกซ์ (Funginox) เป็นสเปรย์ขจัดรังแคและเชื้อราที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล 2% ซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเชื้อรา Malassezia และ Dermatophytes ที่เป็นสาเหตุหลักของรังแค กลาก เกลื้อน และเชื้อราบนหนังศีรษะกับผิวหนังส่วนอื่น ๆ

ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก เพราะใช้งานง่าย เพียงพ่นลงบนบริเวณที่มีอาการโดยตรง ไม่ต้องล้างออกเหมือนแชมพู หรือทาซ้ำบ่อยเหมือนครีม

รักษารังแค ด้วย Funginox (ฟังจิน็อกซ์) ที่มีตัวยาคีโตโคนาโซล 2%

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ฟังจิน็อกซ์

  • ออกฤทธิ์รวดเร็ว : คีโตโคนาโซล 2% หยุดยั้งเชื้อราได้ทั่วถึง ครอบคลุมทั้งหนังศีรษะและผิวหนังส่วนอื่น ๆ เช่น ขาหนีบหรือเท้า
  • รูปแบบสเปรย์ : ใช้งานง่าย สะดวก ไม่ต้องล้างออก หัวสเปรย์พ่นได้ทั้งบริเวณกว้างหรือเฉพาะจุด ไม่เลอะมือ ลดการสัมผัสเชื้อราโดยตรง
  • ไม่เหนียวเหนอะหนะ : สูตรน้ำซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบ ทำให้ใช้ได้ทุกวันโดยไม่รู้สึกอึดอัด
  • กลิ่นหอมอ่อน ๆ : ไม่มีกลิ่นยาแรง เพิ่มความสบายใจระหว่างใช้
  • ช่วยบำรุงผิว : มีส่วนผสม Propylene Glycol ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดผิวแห้งลอก และฟื้นฟูผิวให้กลับสู่ปกติ
สรุป

รังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะกับผิวหนังเป็นปัญหาที่จัดการได้ รังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด โดยรังแคเป็นภาวะอักเสบจากเชื้อรา Malassezia ส่วนเชื้อราจริง ๆ เป็นการติดเชื้อที่ลึกกว่าและรุนแรงกว่า

การดูแลหนังศีรษะให้สะอาด แห้ง และเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคีโตโคนาโซล 2% อย่าง ฟังจิน็อกซ์ จะช่วยลดเชื้อรา ปรับสมดุลหนังศีรษะ และป้องกันการเกิดซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2025

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ