อาการท้องผูก…ปัญหาใกล้ตัวกว่าที่คิด!

อาการท้องผูก (Constipation)

อาการท้องผูก

อาการท้องผูก (Constipation) คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีความยากหรือความลำบากในการถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ หรืออุจจาระแข็ง เครียดขณะถ่าย รู้สึกขับถ่ายไม่สุด เป็นต้น ภาวะนี้พบบ่อยทั้งในคนทั่วไป ผู้สูงอายุ และในหญิงตั้งครรภ์ โดยสาเหตุมีได้หลากหลาย ตั้งแต่พฤติกรรม (ทานใยอาหารน้อย ดื่มน้ำน้อย ขาดการเคลื่อนไหว) ยาบางชนิด จนถึงปัญหาทางระบบทางเดินอาหารบางชนิดหรือปัญหาไทรอยด์/น้ำตาลในเลือด เป็นต้น

อาการท้องผูกเป็นปัญหาทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลก และยังเป็นความกังวลด้านสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทย จากการศึกษาพบว่าประมาณ 24% ของชาวไทยรู้สึกว่าตนเองมีปัญหาเรื่องท้องผูก อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามนิยามทางการแพทย์อย่างละเอียด พบว่าประมาณ 8% ของประชากรมีปัญหาการเบ่งอุจจาระลำบาก และ 3% มีการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้หลักของภาวะท้องผูกเรื้อรัง

อาการแบบไหนเรียกว่าท้องผูก?

อาการท้องผูกไม่ใช่แค่การขับถ่ายไม่บ่อยเท่านั้น แต่มักรวมถึงลักษณะและกระบวนการขับถ่ายที่ผิดปกติด้วย ตามคำจำกัดความของภาวะท้องผูกนั้นจะหมายถึง การที่ผู้ป่วยมีอุจจาระแข็ง, เป็นก้อนเล็ก หรือมีความถี่ในการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ อาการที่มักพบร่วมด้วย ได้แก่ อาการเจ็บขณะขับถ่าย, ท้องอืด, ท้องเฟ้อ และความรู้สึกว่าถ่ายไม่สุดหรือต้องใช้แรงเบ่งอย่างมากและนานกว่าปกติ อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอีกด้วย

เมื่อไลฟ์สไตล์และสุขภาพคือต้นตอ

สาเหตุของอาการท้องผูกมีความซับซ้อนและอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้

1. สาเหตุจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน : ปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดและเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น

  • การรับประทานอาหาร : การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย (ปกติแล้วควรได้รับกากใย 20-25 กรัมต่อวัน) และการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ไม่มีกากใยอาหารมาช่วยเพิ่มมวลและทำให้อุจจาระนิ่ม
  • การเคลื่อนไหวร่างกาย : การใช้ชีวิตแบบนั่ง ๆ นอน ๆ หรือการออกกำลังกายน้อยเกินไปส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนไหวได้ไม่ดี ทำให้ระบบย่อยและขับถ่ายทำงานด้อยลง
  • พฤติกรรมการขับถ่าย : การกลั้นอุจจาระบ่อย ๆ หรือเพิกเฉยต่อความรู้สึกอยากขับถ่ายอาจทำให้กลไกการขับถ่ายตามธรรมชาติผิดปกติไป
  • ภาวะความเครียด : สภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดส่งผลกระทบต่อระบบการกินอยู่และการขับถ่ายได้เช่นกัน

2. สาเหตุจากปัญหาสุขภาพและยา : อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณของโรคประจำตัวบางอย่างหรือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา

  • โรคประจำตัว : ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ, ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง, โรคทางระบบประสาท (เช่น โรคพาร์กินสัน) รวมไปถึงการอุดกั้นของลำไส้ (เช่น ลำไส้ตีบตีน, ลำไส้บิดพันกัน, มะเร็งหรือเนื้องอกของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก, ความผิดปกติที่ทวารหนัก) ฯลฯ
  • การใช้ยาบางชนิด : ยาหลายชนิดสามารถทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เช่น ยาคลายเครียด, ยาต้านอาการซึมเศร้า, ยาลดความดันโลหิต, ยากันชัก, ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของสารโอปิออยด์, ยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก, ลดกรดบางชนิดที่มีอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ ฯลฯ
  • อายุ : ในผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอาการท้องผูกได้สูงขึ้น เนื่องจากมักจะรับประทานอาหารและดื่มน้ำน้อยลง ประกอบกับความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของลำไส้ที่ลดลงไปตามวัย
อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่สามารถจัดการได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและเลือกใช้ยาระบายที่เหมาะสม
อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อยและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่สามารถจัดการได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและเลือกใช้ยาระบายที่เหมาะสม

เมื่อไหร่ที่ต้องพบแพทย์?

แม้ว่าอาการท้องผูกส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีบางกรณีที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงและจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ทันที สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกตและไม่ควรมองข้าม ได้แก่

  • มีอาการซีด หรือน้ำหนักลดลงผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด, มีมูกเลือดปน หรืออุจจาระมีสีดำ
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มีอาการท้องผูกร่วมกับปวดท้องอย่างรุนแรง, ท้องอืด หรือคลื่นไส้อาเจียน
  • ท้องผูกรบกวนมาก รับประทานยาระบายแล้วไม่ได้ผล

ปรับพฤติกรรมก่อนเริ่มใช้ยา

1. การดูแลตนเอง : ปรับพฤติกรรมเพื่อลำไส้ที่แข็งแรง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวทางแรกที่สำคัญที่สุดในการจัดการกับอาการท้องผูก แนวทางที่แนะนำได้แก่

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วหลังตื่นนอนจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และทำให้อุจจาระนิ่มลง
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง : เพิ่มผัก, ผลไม้, ธัญพืช และข้าวกล้องในมื้ออาหาร เพื่อช่วยเพิ่มมวลอุจจาระและกระตุ้นการขับถ่าย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา : ควรฝึกขับถ่ายให้เป็นกิจวัตรในเวลาเดียวกันทุกวัน โดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงานได้ดี

2. ตัวช่วย (ยาระบาย) : เมื่อการปรับพฤติกรรม เช่น การดื่มน้ำมากขึ้น รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูง และการออกกำลังกาย ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาท้องผูกได้ ยาระบายจึงถือเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปยาระบายแบ่งออกได้หลายกลุ่มตามกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้

  • กลุ่มเพิ่มกากอาหาร (Bulk-Forming Laxatives) เพิ่มมวลอุจจาระให้มีขนาดใหญ่ขึ้น กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ เหมาะกับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถดื่มน้ำได้เพียงพอ
  • กลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant Laxatives) ออกฤทธิ์โดยตรงต่อกล้ามเนื้อลำไส้ ทำให้เกิดการบีบตัวและขับถ่ายได้เร็ว แต่บ่อยครั้งผู้ใช้มีผลข้างเคียง เช่น ปวดเกร็งท้องหรือตะคริว
  • กลุ่มดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ (Saline Laxatives) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่ม เคลื่อนตัวได้สะดวก และขับถ่ายง่ายขึ้น ความโดดเด่นคือให้ผลที่ “นุ่มนวล” กว่ายาระบายกลุ่มกระตุ้น จึงไม่ค่อยทำให้เกิดอาการปวดบิดหรือตะคริวรุนแรง หนึ่งในยาที่เป็นที่รู้จักและใช้มายาวนานคือ Magnesium Hydroxide ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญของผลิตภัณฑ์ Milk of Magnesia (MOM) ที่หลายคนคุ้นเคยและเชื่อมั่น

ทำไม Magnesium Hydroxide จึงโดดเด่น?

1. แมกนีเซียม ไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide) เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่พบได้ตามธรรมชาติ สารนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพสูง โดยทำงานในลักษณะของยาระบายกลุ่มดึงน้ำ เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม สารประกอบนี้ส่วนใหญ่จะเดินทางไปยังลำไส้โดยไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะออกฤทธิ์โดยสร้างแรงดันออสโมซิส (osmotic effect) ดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้อุจจาระนิ่มขึ้น มีปริมาตรมากขึ้น และกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและไม่รุนแรง

2. ที่น่าสนใจคือ Magnesium Hydroxide ยังมีคุณสมบัติเป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เมื่อใช้ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่ใช้สำหรับรักษาท้องผูก สารนี้สามารถทำปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) เพื่อลดความเป็นกรดและบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอกได้ คุณสมบัติที่ออกฤทธิ์ได้ทั้งในระบบทางเดินอาหารส่วนบนและส่วนล่างนี้ ทำให้ Magnesium Hydroxide เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีทั้งอาการกรดไหลย้อนและท้องผูกพร้อมกัน

3. ยาระบายที่มีส่วนประกอบของ Magnesium Hydroxide มักได้รับการกล่าวถึงว่ามีการออกฤทธิ์ค่อนข้างอ่อนโยน โดยช่วยให้อุจจาระนิ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปไม่ค่อยทำให้เกิดอาการปวดเกร็งหรือตะคริวเหมือนกับยาระบายบางกลุ่ม เช่น กลุ่มกระตุ้นลำไส้

แม้ว่ามีงานวิจัยทางคลินิกที่ชี้ว่ายาระบายชนิดอื่น เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene glycol) อาจมีผลลัพธ์เชิงตัวเลขที่ดีกว่าในแง่ความถี่ของการขับถ่าย แต่การเลือกใช้ยาระบายไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ทางสถิติเพียงอย่างเดียว ความสบายในการใช้งาน เช่น การไม่ต้องทนกับอาการปวดท้องหรือการเบ่งมากเกินไป ก็เป็นปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

ดังนั้น สำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก ยาที่มี Magnesium Hydroxide จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ และยังถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลายคนคุ้นเคย เช่น Milk of Magnesia (MOM)

ตัวอย่างยา Milk of Magnesia C.B.

หนึ่งในยาระบายที่ใช้ Magnesium Hydroxide เป็นส่วนประกอบหลักคือ Milk of Magnesia ซึ่งมีหลายยี่ห้อให้เลือก ตัวอย่างเช่น Milk of Magnesia C.B. ที่เป็นยาน้ำแขวนตะกอน (มีจำหน่ายตามร้านขายยา) ที่ช่วยจัดการอาการท้องผูกและกรดไหลย้อน โดยมีคุณสมบัติที่น่าสนใจดังนี้

  1. คุณภาพของตัวยา : Magnesium Hydroxide ที่ใช้เป็นวัตถุดิบมีการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งผ่านมาตรฐานการผลิตที่เชื่อถือได้ ช่วยให้มั่นใจในคุณภาพและความสม่ำเสมอของตัวยา
  2. ออกฤทธิ์เร็ว : สำหรับการบรรเทาอาการท้องผูก มักเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 30 นาทีถึง 6 ชั่วโมง ส่วนในกรณีที่ใช้เพื่อลดกรดในกระเพาะอาหาร ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า โดยอาจเห็นผล
  3. ความปลอดภัย : Magnesium Hydroxide จัดอยู่ในกลุ่มยาที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เพียงเล็กน้อย จึงถือว่ามีความปลอดภัยสูง และสามารถใช้ได้แม้ในสตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ภายใต้คำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรได
  4. รูปแบบยาน้ำแขวนตะกอน (Oral Suspension) : เนื่องจากเป็นของเหลว จึงออกฤทธิ์ได้รวดเร็วกว่ายาเม็ด และสะดวกสำหรับผู้ที่กลืนยาเม็ดลำบาก นอกจากนี้ สูตรยายังถูกออกแบบให้เนื้อยากระจายตัวสม่ำเสมอ ไม่ตกตะกอนง่าย เพียงแค่เขย่าก่อนรับประทานเพียงนิดเดียว
  5. รสชาติและความสะดวกในการรับประทาน : ผลิตภัณฑ์นี้มาในรสมินต์ที่สดชื่น ช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น ให้ความรู้สึกเย็นสบายท้องหลังรับประทาน ลดความรู้สึกขม หรือกลิ่นยาแรง ทำให้เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบทานยาน้ำทั่วไป
Milk of Magnesia C.B. ยาน้ำแขวนตะกอนที่ช่วยจัดการอาการท้องผูกและกรดไหลย้อน

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้

เพื่อให้การใช้ยา Milk of Magnesia C.B. เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

การใช้ยาอย่างถูกวิธี

1. เขย่าขวดก่อนใช้ : เนื่องจากยาเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ควรเขย่าขวดทุกครั้งก่อนดื่ม เพื่อให้ตัวยากระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ

2. ขนาดที่แนะนำ : รับประทานยาก่อนนอนตามปริมาณที่ระบุบนฉลาก (ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 วัน) โดยทั่วไปขนาดยาคือ

  • ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 2-3 ช้อนโต๊ะ (30-45 มล.) ก่อนนอน
  • เด็ก อายุ 6-12 ปี กินครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ (15-30 มล.) ก่อนนอน
  • เด็ก อายุ 1-6 ปี กินครั้งละ 1-3 ช้อนชา (5-15 มล.) ก่อนนอน

3. ดื่มน้ำตามมาก ๆ : ควรดื่มน้ำตามอย่างน้อย 1 แก้วเต็ม เพื่อช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่และลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำในลำไส้

ข้อควรระวังและกลุ่มผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

1. ผู้ที่มีภาวะไตบกพร่อง (Kidney disease) หรือมีอาการบวมจากภาวะน้ำเกินในร่างกาย

2. ในเด็กควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ

3. ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคอื่นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากยานี้อาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นได้

4. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง, คลื่นไส้ หรืออาเจียนโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีการขับถ่ายผิดปกติมานานกว่า 2 สัปดาห์

5. หากจำเป็นต้องใช้ยาระบายติดต่อกันนานกว่า 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการท้องผูกที่แท้จริง

โดยสรุป

อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่ส่วนใหญ่สามารถจัดการได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการดูแลตนเองที่เหมาะสม การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นแนวทางพื้นฐานที่ควรทำเป็นประจำ

เมื่อการปรับพฤติกรรมยังไม่เพียงพอ ยาระบาย สามารถเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพได้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มี Magnesium Hydroxide เป็นตัวยาสำคัญ เช่น Milk of Magnesia (MOM) ซึ่งมีข้อดีคือออกฤทธิ์นุ่มนวล ไม่ก่อให้เกิดอาการปวดบิด และปลอดภัยต่อผู้ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น สตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร รูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนยังช่วยให้ยาออกฤทธิ์เร็ว เนื้อยาไม่ตกตะกอน และรสชาติดื่มง่าย ทำให้การใช้ยาเป็นไปอย่างสะดวกสบาย

ท้ายที่สุด การดูแลสุขภาพลำไส้ที่ยั่งยืนควรเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ยาอย่างถูกวิธีภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร และการสร้างนิสัยการรับประทานอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม หากอาการท้องผูกยังคงอยู่หรือพบสัญญาณผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ. สุเทพ กลชาญวิทย์, “ท้องผูก (Constipation)” สาขาวิชาโรคทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2025

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ