16 ประโยชน์ของผงโกโก้ & ดาร์กช็อกโกแลต !

ผงโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตกับประโยชน์ทางการแพทย์

โกโก้ & ช็อกโกแลต

ผงโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า “ฟลาวานอล” (Flavanols) การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริโภคผงโกโก้และดาร์กช็อกโกแลต (ไม่รวมช็อกโกแลตนมและไวท์ช็อกโกแลต) อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร เพิ่มความไวของอินซูลิน เสริมพรีไบโอติกในลำไส้ ดีต่อสมอง อารมณ์และความเครียด ดีต่อผิวพรรณ/ป้องกันการเกิดริ้วรอย เพิ่มการมองเห็นที่ดี ช่วยลดหรือควบคุมน้ำหนักตัว เสริมสมรรถภาพทางกาย เป็นต้น

ช็อกโกแลต (Chocolate) ทำจากเมล็ดโกโก้ซึ่งเป็นผลของต้นคาเคา (Theobroma cacao L.) นำมาผ่านกระบวนการหมัก ตาก คั่ว แล้วกะเทาะเอาเปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้ออก ได้เป็น “โกโก้นิบส์” (Cacao nibs) แล้วนำมาบดจนได้ของเหลวสีเข้มเรียกว่า “โกโก้แมส” (Cocoa mass) หรือก็คือช็อกโกแลตดิบที่ยังไม่ได้เติมส่วนผสมใด ๆ ลงไป จึงยังมี “โกโก้บัตเตอร์” (Cocoa butter) ซึ่งเป็นไขมันโกโก้อยู่* ก่อนจะนำมาแยกเอาเฉพาะโกโก้บัตเตอร์ที่มีสีเหลืองขาวและมีราคาสูง (เพราะสามารถนำไปในการทำขนม สบู่ ครีม หรือผลิตภัณฑ์เพื่อความงามได้) และอีกส่วนนำไปปั่นเป็น “ผงโกโก้” (Cocoa powder) ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า “เนื้อโกโก้” (Cocoa solids)

เมื่อนำช็อกโกแลตดิบหรือโกโก้แมสมาผ่านกระบวนการ ผสมน้ำตาล นมผง และเนยโกโก้ ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปก็ได้ออกมาเป็นช็อกโกแลตรูปแบบต่าง ๆ (ก่อนจะมาผ่านกระบวนการอบคืนตัว (Tempering) ขึ้นรูป และเติมแต่งวัตถุดิบหรือเพิ่มเทกเจอร์ต่าง ๆ เข้าไป) ได้แก่

  • ดาร์กช็อกโกแลต (Dark chocolate) มีโกโก้แมส น้ำตาล แต่จะไม่มีส่วนผสมของนม จึงมีสีเข้ม รสขมเข้ม
  • ช็อกโกแลตนม (Milk chocolate) มีโกโก้แมส เนยโกโก้ นม และน้ำตาล
  • ไวท์ช็อกโกแลต (White chocolate) มีเพียงเนยโกโก้และน้ำตาล (แทบจะไม่มีส่วนผสมของโกโก้อยู่เลย) จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไวท์ช็อกโกแลตถึงมีสีขาว และโดยทั่วไปจะไม่จัดว่าเป็นช็อกโกแลต

ส่วน “สารสกัดจากโกโก้” (Cocoa extract) นั้นจะหมายถึง สารสกัดที่ได้จากกระบวนการสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีในโกโก้ ได้แก่ ฟลาวานอล (Flavanols), โปรไซยานิดิน (Procyanidins) และอีพิคาเทชิน (Epicatechin) แม้ว่าสารเหล่านี้จะไม่ได้มีเฉพาะในโกโก้ แต่สารสกัดจากโกโก้จะมีอีพิคาเทชินที่สูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์จากพืชอื่น ๆ (สารสกัดจากโกโก้อาจรู้จักกันในชื่อ Chocolate polyphenols, Cocoa polyphenols, Cacao polyphenols, Cacao extract, Chocamine) ซึ่งสารสกัดจากโกโกนี้ก็พบได้ในรูปของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโกโก้ (Cocoa supplements)

หมายเหตุ :

  • บางคนอาจเรียก “โกโก้” (Cocoa) ว่า “คาเคา” (Cacao) เนื่องจากเป็นคำทับศัพท์มาจาก Theobroma cacao L. ซึ่งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นคาเคา
  • โกโก้บัตเตอร์ (Cocoa butter) มีชื่อเรียกอื่นว่า เนยโกโก้, ไขโกโก้ หรือไขมันโกโก้

ประโยชน์ของผงโกโก้ & ดาร์กช็อกโกแลต

1. ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด การบริโภคโกโก้ฟลาวานอลสูง (Cocoa flavanols) สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว และภาวะหัวใจล้มเหลว ส่วนการศึกษาอื่น ๆ พบว่าการบริโภคโกโก้ฟลาวานอลสามารถปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือด มีผลดีต่อระดับคอเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง มีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด และอาจมีประโยชน์มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ดังรายละเอียดการศึกษาด้านล่างนี้

2. ลดความดันโลหิต โกโก้ทั้งในรูปผงและในรูปของดาร์กช็อกโกแลตอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เพียงเล็กน้อยประมาณ 2-3 mmHg (มม.ปรอท) โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีผลในผู้ที่มีสุขภาพดีหรือมีภาวะความดันปกติ นอกจากนี้ ผลการลดความดันโลหิตจะมากกว่าในผู้ที่อายุน้อยเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุ

3. เพิ่มการไหลเวียนของเลือด โกโก้ฟลาวานอลสามารถเพิ่มการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ซึ่งเป็นก๊าซที่ช่วยให้การไหลเวียนของเลือด (Blood flow) และระบบการหมุนเวียนเลือด (Circulatory system) ดีขึ้นทั้งในบุคคลที่มีสุขภาพดีและสุขภาพไม่ดี

4. น้ำตาลในเลือด ภาวะดื้ออินซูลิน และเบาหวาน การบริโภคโกโก้ฟลาวานอล (วันละ 200-600 มก.) อาจช่วยลดน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารและช่วยเพิ่มความไวของอินซูลิน แต่ในขนาดที่สูงกว่านี้ไม่มีประโยชน์ และโกโก้ฟลาวานอลไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมโรคด้วยยาได้ดีอยู่แล้ว

5. ตัวช่วยลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์โกโก้ โดยเฉพาะผงโกโก้และดาร์กช็อกโกแลต 70% ขึ้นไป อาจมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะโกโก้อาจช่วยควบคุมการใช้พลังงาน ลดความอยากอาหาร/ช่วยให้รู้สึกอิ่ม และอาจเกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวและไขมันที่ลดลง แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงปริมาณที่เหมาะสม

6. เพิ่มความจำและความสามารถทางสติปัญญา การศึกษาให้ผลลัพธ์ปะปนกันไป อย่างการศึกษาขนาดเล็กหลายเรื่องพบประโยชน์ของโกโก้ฟลาวานอลต่อกระบวนการทำงานของสมอง การรู้คิด ความจำ ความเร็วในการประมวลผลของสมอง สภาวะทางอารมณ์ในเชิงบวก ลดความเหนื่อยล้าของสมอง และทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น (การทดลองส่วนใหญ่โกโก้ฟลาวานอลในปริมาณสูงประมาณ 500-900 มก./วัน) อย่างไรก็ตาม ตามการทดลองขนาดใหญ่และยาวนานที่สุดจนถึงปัจจุบันกลับไม่พบผลลัพธ์ในเรื่องดังกล่าว

7. ดีต่ออารมณ์และความเครียด การศึกษาพบว่าการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความเครียด ลดอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ และอาจเพิ่มอารมณ์ด้านบวก นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่บริโภค

8. การมองเห็นที่ดี การบริโภคดาร์กช็อกโกแลตอาจช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นจากการศึกษาหนึ่ง แต่ในการศึกษาที่เข้มงวดกว่าไม่พบประโยชน์ดังกล่าว จึงยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

9. ดีต่อสุขภาพลำไส้ โกโก้มีผลช่วยเพิ่มพรีไบโอติกในลำไส้ ซึ่งดีต่อระบบลำไส้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรง ช่วยเรื่องการเผาผลาญ และอาจมีประสิทธิภาพในด้านการต้านโรคบางชนิด

10. ปกป้องผิวพรรณ โกโก้ฟลาวานอลอาจมีประโยชน์เล็กน้อยต่อการช่วยต่อต้านริ้วรอยบนใบหน้า เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง และอาจช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี

11. อาจลดความเสี่ยงมะเร็ง การศึกษาในหลอดทดลองพบว่าสารฟลาโวนอยด์ในโกโก้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง และป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (อ้างอิง 74, 75) อย่างไรก็ตาม การศึกษาในมนุษย์นั้นมีหลักฐานยังขัดแย้ง โดยบางการศึกษาพบประโยชน์ในการลดความเสี่ยงมะเร็ง บางการศึกษาก็ไม่พบประโยชน์ และบางการศึกษายังพบว่าการบริโภคช็อกโกแลตบ่อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ จึงยังจำเป็นมีการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต

12. อาจมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด (Asthma) เชื่อว่าโกโก้อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคหอบหืด เนื่องจากโกโก้มีสารต่อต้านโรคหืด เช่น ธีโอโบรมีน (มีฤทธิ์บรรเทาอาการไอเรื้อรัง (อ้างอิง 81)) และธีโอฟิลลีน (ออกฤทธิ์ลดการอักเสบในทางเดินหายใจและคลายกล้ามเนื้อหลอดลม จึงช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น (82)) โดยการศึกษาในสัตว์ทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากโกโก้สามารถช่วยลดการตีบแคบของหลอดลมและความหนาของเนื้อเยื่อหลอดลมได้ (83, 84) อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ยังไม่ได้รับการทดลองในมนุษย์ และยังเร็วเกินไปที่สรุปได้ว่าโกโก้มีประโยชน์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทดลองในมนุษย์ก่อนจะแนะนำให้ใช้เป็นการรักษา

13. เพิ่มสมรรถภาพทางกายและการออกกำลังกาย โกโก้ฟลาวานอลอาจช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย (Physical performance) ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

14. มีคาเฟอีนและธีโอโบรมีน สารคาเฟอีน (Caffeine) และธีโอโบรมีน (Theobromine) เป็นสารที่มีอยู่ในโกโก้ทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองต่างก็มีฤทธิ์ช่วยในเรื่องของการตื่นตัว จึงช่วยลดความรู้สึกง่วง อ่อนเพลีย (โดยการไปบล็อกบล็อกสารอะดีโนซิน (Adenosine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกง่วง อ่อนเพลีย และไม่อยากทำอะไรนั่นเอง) (อ้างอิง 89) นอกจากนี้ ธีโอโบรมีนยังมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดคลายตัวและมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ในอดีตเคยถูกใช้เป็นยารักษาโรคหัวใจและขยายหลอดลม (เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น) และธีโอโบรมีนยังมีฤทธิ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ลงได้ 5.6% ในการศึกษาหนึ่งที่ใช้ธีโอโบรมีนวันละ 500 มก. เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ในผู้ชายและผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวเกินที่มีสุขภาพแข็งแรง (90)

15. เป็นแหล่งของธาตุเหล็กและทองแดง ธาตุเหล็กในผงโกโก้หรือช็อกโกแลตแต่ละชนิดจะมีปริมาณแตกต่างกันไป แต่คาดว่าจะมีประมาณ 1-2 มก. ในผงโกโก้ 5 กรัม และประมาณ 3 มก. ในดาร์กช็อกโกแลต 40 กรัม ในขณะที่ความต้องการของธาตุเหล็กต่อวันจะอยู่ที่ 7-18 มก. ขึ้นอยู่กับอายุและเพศ (91) ส่วนธาตุทองแดง (จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทที่เหมาะสม ตลอดจนสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด) พบว่าปริมาณขึ้นอยู่กับรูปแบบของโกโก้หรือช็อกโกแลต โดยในผู้ใหญ่อาจได้รับทองแดงจากแหล่งนี้ตั้งแต่ 20% ไปจนถึงมากกว่า 100% ของปริมาณทองแดงที่แนะนำต่อวันซึ่งอยู่ที่ 900 ไมโคกรัม อย่างดาร์กช็อกโกแลตจะมีทองแดงมากกว่าช็อกโกแลตนมมาก โดยดาร์กช็อกโกแลต 50 กรัม (โกโก้ 70-85%) จะให้ทองแดง 895 ไมโครกรัม ในขณะที่ช็อกโกแลตนมขนาดเท่ากันจะให้ทองแดง 246 ไมโครกรัม (92)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง : สรุปประโยชน์ของธาตุเหล็ก (Iron) จากงานวิจัย !

16. ประโยชน์ของโกโก้ในด้านอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต

  • อาจช่วยให้อายุยืนยาวและยืดอายุขัย การศึกษาในสัตว์ทดลองกับหนูอายุมากที่ได้รับอีพิคาเทชิน 1 มก./กก. ดูเหมือนจะช่วยยืดอายุหรือชะลอการชราภาพลงได้เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (อ้างอิง 93)
  • โรคหืดจากภูมิแพ้ (Allergic asthma) ในการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อประเมินผลของผงโกโก้ (ไม่หวาน) ต่อโรคหืดจากภูมิแพ้ พบว่าในหนูตะเภาที่ได้รับโกโก้ แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ต้านโรคหืดที่ขึ้นอยู่กับปริมาณเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (94)
  • เอชไอวี (HIV) การศึกษาในหลอดทดลองแสดงให้เห็นว่าอีพิคาเทชินที่พบในช็อกโกแลตมีศักยภาพในการจำกัดความผิดปกติในการทำงานของเซลล์ประสาท (Neuronal dysfunction) ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาว่าสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเอชไอวีได้หรือไม่ (95)
  • อาจเป็นประโยชน์ต่อสภาวะที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียกล้ามเนื้อ เช่น ภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย (Sarcopenia) และกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle weakness) จากการศึกษาหนึ่ง (อ้างอิง 87)

ข้อควรรู้และคำแนะนำ

  • ผลิตภัณฑ์ที่มีโกโก้ต่ำ เช่น ช็อกโกแลตนมและไวท์ช็อกโกแลต ไม่มีประโยชน์และไม่สามารถใช้ทดแทนผงโกโก้ (ไม่หวานและไม่ผ่านกระบวนการดัตซ์), ดาร์กช็อกโกแลต (โกโก้อย่างน้อย 70% แต่ที่แนะนำคือ 85% ขึ้นไป) และสารสกัดจากโกโก้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมได้
  • โปรดทราบว่า “% cocoa” หรือ “% cacao” ในช็อกโกแลตหมายถึงปริมาณผงโกโก้ทั้งหมดรวมกับเนยโกโก้ (Cocoa butter) เมื่อเทียบกับส่วนผสมอื่น ๆ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตมักไม่เปิดเผยอัตราส่วนของผงโกโก้ต่อเนยโกโก้ในช็อกโกแลต ดังนั้น “% cocoa” จึงเป็นเพียงตัวเลขคร่าว ๆ ของปริมาณผงโกโก้ในผลิตภัณฑ์และช็อกโกแลตว่าอาจมีปริมาณสารฟลาวานอลมากน้อยเพียงใด
  • ยังไม่มีการกำหนดปริมาณฟลาวานอลที่มีประสิทธิภาพเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะใด ๆ แม้การศึกษาหลายเรื่องจะพบผลลัพธ์เชิงบวกเมื่อใช้ในปริมาณตั้งแต่ 50-200 มก. หรือมากกว่านี้ทุกวัน
  • ผลิตภัณฑ์โกโก้ในยุโรปที่มีสารฟลาวานอลอย่างน้อย 200 มก./วัน ได้รับอนุญาตให้กล่าวอ้างสรรพคุณได้ว่า “อาจมีผลช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดให้เป็นปกติ”
  • ในการได้รับฟลาวานอล 200 มก. จากผงโกโก้ธรรมชาติที่ไม่หวานและไม่ผ่านกระบวนการดัตซ์ ต้องใช้ผงโกโก้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (5 กรัม) ในขณะที่การบริโภคผงโกโก้แบบชงดื่มเอง 1 แก้ว โดยทั่วไปแล้วจะใช้ผงโกโก้ประมาณ 1-2.5 ช้อนโต๊ะ (5-15 กรัม) อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์โกโก้บางยี่ห้อก็ผลิตเพื่อให้มีฟลาวานอลที่มีความเข้มข้นสูงโดยเฉพาะจะมีปริมาณฟลาวานอลที่มากกว่านี้
  • ปริมาณฟลาวานอลในโกโก้และผลิตภัณฑ์โกโก้อาจแตกต่างกันได้มาก และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มักไม่ได้ระบุปริมาณของสารฟลาวานอลเอาไว้
  • ผลิตภัณฑ์จากผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการดัตช์หรือดัตช์โพรเซส (Dutched / Dutch-Process) เพื่อลดความขมและทำให้สีของโกโก้เข้มขึ้น พบว่าจะทำให้ปริมาณสารฟลาวานอลลดลงอย่างมากตามความหนักเบาของกระบวนการ โดยหากผ่านกระบวน Dutching ระดับเบา (Light dutching) จะทำให้มีปริมาณฟลาวานอลหายไป 60%, Dutching ระดับปานกลาง (Medium dutching) หายไป 75% และ Dutching ระดับหนัก (Heavy dutching) หายไปถึง 90% ตามการศึกษาหนึ่ง (อ้างอิง 96) และน่าเสียดายที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักไม่ได้ระบุว่าใช้กระบวนการ Dutching ในระดับใดในการผลิต เพื่อได้รับประโยชน์จากโกโก้อย่างเต็มที่จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคที่ผ่านกระบวนการดัตซ์
  • แคลอรี (Calorie) แคลอรีในผลิตภัณฑ์โกโก้และดาร์กช็อกโกแลตส่วนใหญ่จะมาจากเนยโกโก้ (9 แคลอรี/กรัม) และน้ำตาล (4 แคลอรี/ต่อกรัม) โดยในผงโกโก้ที่ไม่หวาน (ไม่มีน้ำตาล) โดยทั่วไปจะมีเนยโกโก้เพียงเล็กน้อย ซึ่ง 1 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 5 กรัม) มักจะให้พลังงานเพียง 10-20 แคลอรี, ในขณะที่ดาร์กช็อกโกแลตที่จะประกอบไปด้วยเนยโกโก้และน้ำตาล ซึ่งในขนาด 40 กรัมจะให้พลังงานประมาณ 250 แคลอรี (หรือประมาณ 200 แคลอรีถ้าไม่ใส่น้ำตาล) ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโกโก้หรือสารสกัดจากโกโก้มักจะมีน้ำตาลน้อยหรือไม่มีเลยและมีเนยโกโก้น้อยที่สุด จึงให้แคลอรีน้อย
  • คาเฟอีน (Caffeine) ผลิตภัณฑ์จากโกโก้จะมีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะน้อยกว่าในกาแฟหนึ่งแก้ว (ประมาณ 100 มก.) แต่ดาร์กช็อกโกแลต 40 กรัม โดยทั่วไปก็มีคาเฟอีนประมาณ 25-85 มก. หรือในผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ (5 กรัม) จะมีคาเฟอีนประมาณ 10-20 มก. ส่วนอาหารเสริมโกโก้นั้นจะมีคาเฟอีนประมาณ 1-30 มก. และโกโก้นิบส์ (Cocoa nibs) 30 กรัม อาจมีคาเฟอีน 45-85 มก.
  • ธีโอโบรมีน (Theobromine) สารที่มีรสขมและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงก็พบได้ในผลิตภัณฑ์จากโกโก้เช่นกัน โดยในดาร์กช็อกโกแลตแท่งพบว่ามีปริมาณตั้งแต่ 51.4 มก. ถึงมากกว่า 600 มก. ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค, ในอาหารเสริมจะมีปริมาณตั้งแต่ประมาณ 15-155 มก., ในผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ (5 กรัม) จะมีธีโอโบรมีนประมาณ 100-120 มก. (แต่อาจน้อยกว่านี้มากหากผ่านกระบวนการดัตช์) และโกโก้นิบส์ (Cocoa nibs) 3 ช้อนโต๊ะจะมีธีโอโบรมีนประมาณ 300 มก.

ข้อกังวลและข้อควรระวัง

  • ความปลอดภัย : ผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตโดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูง โดยจากการศึกษาเป็น 3 เดือนในผู้ชายและผู้หญิงที่มีสุขภาพแข็งแรง พบว่าการได้รับโกโก้ฟลาวานอลสูงถึง 1,000-2,000 มก. พบว่ามีความปลอดภัย ความดันโลหิตไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการทำงานของเกล็ดเลือด คอเลสเตอรอล หรืออัตราการเต้นของหัวใจ (อ้างอิง 19)
  • โปรดจำไว้ว่าผลิตภัณฑ์จากโกโก้บางชนิด โดยเฉพาะช็อกโกแลตจะมีน้ำตาลและไขมันในปริมาณสูงและให้แคลอรีจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากน้ำตาล ไขมัน และแคลอรีมากเกินไปอาจลบล้างประโยชน์เชิงบวกของสารฟลาวานอลในโกโก้ได้
  • ฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด : อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าในผู้ที่มีสุขภาพดีและอาจเพิ่มผลกระทบของยาต้านเกล็ดเลือดบางชนิด เพราะการศึกษาพบว่าการบริโภคดาร์กช็อกโกแลต 30 กรัม (โกโก้ 65%) ทุกวัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ มีผลเพิ่มฤทธิ์ของยาต้านเกล็ดเลือดโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) หรือ Plavix® อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีผลเพิ่มฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยาแอสไพรินด้วยเล็กน้อย (อ้างอิง 17)
  • อาจกระตุ้นไมเกรน : มีรายงานการบริโภคโกโก้และ/หรือช็อกโกแลตแล้วกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ในบางคน อย่างไรก็ตาม หลักฐานในเรื่องนี้มีปะปนกันไปและยังไม่มีความชัดเจนว่าโกโก้กระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้อย่างไร แต่จากการศึกษา เราพบว่าโกโก้มีเอมีน Phenylethylamine และ Tyramine (ประมาณ 0.1-2.8 ไมโครกรัม/กรัม และ 3.6-8.3 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ) ซึ่งพบได้ในอาหาร เช่น ไวน์และชีส ซึ่งผู้ที่เป็นไมเกรนมักได้รับคำแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยง และโกโก้ยังมีผลเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วอาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้ในบางคน (อ้างอิง 60) อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางคลินิกในผู้ที่เป็นไมเกรนก็มีผลลัพธ์ที่หลากหลาย โดยบางรายงานพบว่ามีอุบัติการณ์การเกิดไมเกรนเพิ่มขึ้น แต่บางรายงานบางรายก็พบว่าไม่มี (อ้างอิง 97, 98, 99) หรืออย่างในการศึกษาทดลองทางคลินิกที่ควบคุมด้วยยาหลอก ก็พบว่าการบริโภคช็อกโกแลต 44-62 กรัม ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของไมเกรนในผู้ที่มีประวัติเป็นไมเกรน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (100)
  • อาจกระตุ้นสิว : แม้ว่าการศึกษาบางส่วนที่บริโภคช็อกโกแลตแท่งไม่พบว่าทำให้สิวแย่ลงหรือกระตุ้นการเกิดสิว แต่การศึกษาขนาดเล็กที่ควบคุมด้วยยาหลอกที่ให้ผงโกโก้ 100% ในผู้ชายอายุ 18-35 ปี พบความสัมพันธ์ในระดับปานกลางของจำนวนสิวที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ได้รับโกโก้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยผู้วิจัยสรุปว่าในผู้ชายที่เป็นสิวง่าย การบริโภคช็อกโกแลตมีความสัมพันธ์กับการกำเริบของสิวที่มากขึ้น (101)
  • ออกซาเลตกับความเสี่ยงนิ่วในไต : มูลนิธิโรคไต (The National Kidney Foundation) แนะนำให้ผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดนิ่วในไตจากแคลเซียมออกซาเลต (นิ่วในไตชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด) ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคโกโก้และช็อกโกแลต เนื่องจากในโกโก้และช็อกโกแลตมีปริมาณของออกซาเลตในระดับปานกลางถึงสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ในบางคน โดยในการศึกษาเล็ก ๆ ในกลุ่มผู้หญิงที่บริโภคดาร์กช็อกโกแลต 68 กรัม (โกโก้ 72%) มีผลเพิ่มปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะโดยเฉลี่ย 69% ในช่วงเวลา 6 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้บริโภค (102) โดยปริมาณออกซาเลตในผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะจะมีประมาณ 36 มก. ในขณะที่ดาร์กช็อกโกแลต 50 กรัมอาจมีออกซาเลตถึง 100 มก. ซึ่งเหล่านี้คือว่าใกล้เคียงหรือเกินจากปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน (โดยปกติแล้วควรจำกัดปริมาณออกซาเลตจากอาหารอยู่ที่ 50-80 มก./วัน)
  • คาเฟอีนและธีโอโบรมีน (Caffeine & Theobromine) : ปริมาณของสารทั้งสองนี้ที่พบในโกโก้และช็อกโกแลตอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานในขณะที่ท้องว่าง เช่น แสบร้อนกลางอก โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ วิตกกังวล และหัวใจเต้นผิดจังหวะในบางคน นอกจากนี้ การบริโภคโกโก้วันละ 50-100 กรัมต่อวัน (ให้ธีโอโบรมีน 800-1,500 มก.) อาจทำให้เกิดอาการตัวสั่น เหงื่อออก ปวดศีรษะอย่างรุนแรง (103) อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนในบางคน (104) หรืออาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (มีผลเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อได้รับในขนาดวันละ 500 มก. เป็นเวลา 4 สัปดาห์) ในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้จึงควรจำกัดการบริโภคดาร์กช็อกโกแลตไม่ให้เกิน 2 มื้อ/สัปดาห์ ส่วนในสัตว์เลี้ยง คาเฟอีนและธีโอโบรมีนยังเป็นพิษต่อสุนัขและแมว (โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลต) ทำให้สุนัขและแมวเกิดอาการกระหายน้ำมาก อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด และกระวนกระวาย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการชัก โคม่า และตายได้ จึงห้ามให้นำมาให้สัตว์เลี้ยงกิน
  • แคดเมียม (Cadmium) : สหภาพยุโรปได้กำหนดขีดจำกัดของแคดเมียมไว้ที่ 0.6 ไมโครกรัม/ผงโกโก้หนึ่งกรัม (แคดเมียมในช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 30-50% คือ 0.3 ไมโครกรัม/กรัม ส่วนช็อกโกแลตที่มีโกโก้มากกว่า 50% อย่างดาร์กช็อกโกแลต คือ 0.8 ไมโครกรัม/กรัม ส่วนในช็อกโกแลตนมจะอยู่ที่ 0.1 ไมโครกรัม/กรัม เนื่องจากมีความกังวลเป็นพิเศษในเด็กที่มักกินช็อกโกแลตนมมากกว่าดาร์กช็อกโกแลต)
    • การศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2018 โดยนักวิจัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ตรวจผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตจำนวน 144 รายการ (ไม่ระบุยี่ห้อ) ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าความเข้มข้นของแคดเมียมสูงสุดในผงโกโก้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.7 ไมโครกรัม/กรัม), โกโก้นิบส์เฉลี่ย 0.62 ไมโครกรัม/กรัม, ดาร์กช็อกโกแลตเฉลี่ย 0.27 ไมโครกรัม/กรัม และช็อกโกแลตนมในระดับต่ำมาก คือ เฉลี่ย 0.06 ไมโครกรัม/กรัม (105)
    • แคดเมียมเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งที่อาจเป็นพิษต่อไต สามารถทำให้กระดูกอ่อนลง ทำให้เกิดอาการปวดกระดูก และอาจส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนัก 150 ปอนด์สามารถทนต่อการสัมผัสแคดเมียมอย่างต่อเนื่องทุกวัน (นั่นคือ จากแหล่งรับสัมผัสทั้งหมด เช่น อาหาร เครื่องดื่ม อากาศ) ได้ถึง 25 ไมโครกรัม ในขณะที่เด็กที่มีน้ำหนักเพียงครึ่งหนึ่งสามารถทนได้ ประมาณ 12 ไมโครกรัม (106)
    • ผลิตภัณฑ์ “ออร์แกนิก” โดยทั่วไปมักมีการปนเปื้อนแคดเมียมมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ออร์แกนิก เพราะปริมาณแคดเมียมในเมล็ดโกโก้จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณแคดเมียมในดินที่ปลูกและเมื่อดินมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น (107)
  • นิกเกิล (Nickel) : ผงโกโก้และช็อกโกแลตมักมีนิกเกิลค่อนข้างสูงและอาจก่อให้เกิดผื่นแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) ในบุคคลที่ไวต่อนิกเกิล ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณมากหรือร่วมกับอาหารอื่น ๆ ที่มีนิกเกิลสูง เช่น ถั่วและถั่วต่างๆ อาหารกระป๋อง หอย ข้าวโอ๊ต (รวมถึงกราโนลา) ถั่วลิสง เฮเซลนัท วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน (108)
  • สารตะกั่วและสารหนู (Lead & Arsenic) : อาจมีพบบ้างเล็กน้อยในโกโก้และช็อกโกแลต (เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิต) แต่ทุกยี่ห้อจากหลายการทดสอบมักมีปริมาณไม่เกินค่ามาตรฐาน
  • อะคริลาไมด์ (Acrylamide) : เป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาทและน่าจะเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นเมื่อเมล็ดโกโก้ถูกคั่ว (เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตทั่วไป) การทดสอบขององค์การอาหารและยาในปี 2002 พบปริมาณอะคริลาไมด์ในผงโกโก้และช็อกโกแลตแท่งต่าง ๆ มีตั้งแต่ 0.29-4.5 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค อะคริลาไมด์ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกได้ ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียต้องมีฉลากเตือนบนอาหารที่มีอะคริลาไมด์มากกว่า 0.2 ไมโครกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภคต่อวัน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยต่อระบบประสาทหากได้รับน้อยกว่าวันละ 140 ไมโครกรัมก็ตาม (109)
  • โอคราทอกซิน เอ (Ochratoxin A) : เมล็ดโกโก้สามารถปนเปื้อนเชื้อราซึ่งผลิตสารพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการอบแห้งและการเก็บรักษา โดย Ochratoxin A นี้เป็นสารก่อมะเร็งและเป็นพิษต่อไต เป็นหนึ่งในสารพิษจากเชื้อราที่พบได้บ่อยที่สุดในเมล็ดโกโก้ อย่างไรก็ตาม สารพิษนี้ส่วนใหญ่จะพบในเปลือกของเมล็ดถั่ว ซึ่งจะถูกคัดออกระหว่างการผลิต โดยจากการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตรวม 85 รายการที่ขายในแคนาดาในระหว่างปี 2011-2012 พบว่ามีผงโกโก้เพียง 2 รายการที่มีปริมาณสาร Ochratoxin A เกินขีดจำกัดของยุโรป (110)
  • ส่วนผสมของนมในดาร์กช็อกโกแลต (ควรระวังในผู้ที่แพ้นม) : ในผู้ที่แพ้นมควรระวังว่าดาร์กช็อกโกแลตแท่งที่อาจมีนมเป็นส่วนผสมอยู่ เนื่องจากผลการทดสอบที่เผยแพร่ในปี 2020 โดย FDA กับดาร์กช็อกโกแลตแท่งและช็อกโกแลตชิปจำนวน 119 รายการที่ในฉลากระบุว่า “ปราศจากนม” พบว่าในจำนวนเหล่านี้มีประมาณถึง 10% ที่มีนมผสมอยู่ด้วย (111)

สรุปเรื่องผงโกโก้ & ดาร์กช็อกโกแลต

  • โกโก้อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร เพิ่มความไวของอินซูลิน เสริมพรีไบโอติกในลำไส้ ดีต่อสมอง อารมณ์และความเครียด ดีต่อผิวพรรณ/ป้องกันการเกิดริ้วรอย เพิ่มการมองเห็นที่ดี ช่วยลดหรือควบคุมน้ำหนักตัว เสริมสมรรถภาพทางกาย เป็นต้น
  • ผลิตภัณฑ์โกโก้ที่ให้ประโยชน์ตามงานวิจัย ได้แก่ ผงโกโก้ (ไม่หวานและไม่ผ่านกระบวนการดัตซ์), ดาร์กช็อกโกแลต (โกโก้อย่างน้อย 70%) และสารสกัดจากโกโก้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
  • หลีกเลี่ยงผงโกโก้ที่ผ่านกระบวนการดัตซ์ (Dutched) เพราะจะมีทำให้สารสำคัญอย่างฟลาวานอลลดลงอย่างมากจนไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
งานวิจัยอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ