รีวิว 10 วิตามินบำรุงผม & แก้ผมร่วง/ผมบาง (2023) ยี่ห้อไหนดี?

เปิดขวดรีวิวอาหารเสริมบำรุงผม แก้ผมร่วงผมบาง เส้นผมมีสุขภาพไม่ดี

อัพเดทล่าสุดปี 2023 ! : อัพเดทราคาผลิตภัณฑ์ทั้ง 10 ยี่ห้อให้เป็นราคาปัจจุบัน / ปรับแก้เกฑณ์คะแนนเรื่องราคาใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น / ลงคะแนนและจัดอันดับใหม่ (อันดับมีการเปลี่ยนแปลง 5 ยี่ห้อ ตั้งแต่อันดับ 2-6) / แก้ไขข้อมูลอ้างอิงเรื่องชื่อสำนักพิมพ์ใหม่

ปัญหาผมร่วง/ผมบาง

ปัจจัยที่ทำให้ผมร่วงมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ตั้งแต่เรื่องกรรมพันธุ์ อายุที่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ ความเครียด สุขภาพโดยรวมหรือการมีโรคบางอย่าง การใช้สารเคมีที่รุนแรงกับเส้นผมมากเกินไป การใช้ยารักษาโรคบางชนิดเป็นเวลานาน รวมถึงการขาดวิตามินหรือสารอาหารบางชนิดก็ทำให้ผมร่วงได้เช่นกัน เช่น ไบโอติน, วิตามินบี 3, วิตามินบี 6, วิตามินเอ, ธาตุเหล็ก, ธาตุสังกะสี ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับการหลุดร่วงของเส้นผม[1] ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรืออาหารเสริมใด ๆ ที่ใช้รักษาอาการผมร่วง คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังเพื่อประเมินก่อนว่าภาวะผมร่วงนั้นเกิดจากสาเหตุใด และจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมหรือไม่

การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน, บี3, บี6, สังกะสี, ธาตุเหล็ก, ซิลิกา ฯลฯ อาจช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีปัญหาผมร่วงจากการมีโภชนาการที่ไม่ดีหรือจากการขาดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเส้นผม

อย่างไรก็ตาม แม้เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยบางอย่างได้ เช่น อายุหรือกรรมพันธุ์ แต่ปัจจัยสำคัญที่เราสามารถควบคุมให้ดีขึ้นและทำให้ผมมีสขภาพแข็งแรงลดการหลุดร่วงได้ก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม หรือเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินแร่ธาตุหรือสารสำคัญดังที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ก็ได้เช่นกัน

คำแนะนำ : บทความนี้มีเนื้อหาค่อนข้างยาว เพราะประกอบไปด้วยงานวิจัยและบทวิเคราะห์จุดเด่น-จุดด้อยของผลิตภัณฑ์แต่ละยี่ห้อ จึงแนะนำให้คุณเลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจจากสารบัญด้านบน

วิตามินบำรุงผม/แก้ผมร่วง

มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอื่น ๆ หลายชนิดที่จำเป็นสำหรับการบำรุงเส้นผมและลดการหลุดร่วงได้ แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารอาหารที่มีการพูดถึงกันบ่อยแวดวงวิชาการกับสารที่พบได้บ่อย ๆ ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงเส้นผมหรือแก้ผมร่วง ผมบาง ส่วนประโยชน์นั้นจะพูดถึงเฉพาะประโยชน์ต่อเส้นผมที่มีงานวิจัยรองรับอย่างชัดเจนเป็นหลัก (มีหลายประโยชน์ที่มีการกล่าวอ้าง แต่มีหลักฐานน้อย ก็ขอเลือกที่จะไม่กล่าวถึงครับ ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมบทความทั่วไปหรือในโฆษณาอาหารเสริมมีการกล่าวถึง แต่ในบทความนี้ไม่มี)

  1. ไบโอติน หรือ วิตามินบี 7 (Biotin / Vitamin B7) เป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับการผลิตโปรตีนของเส้นผมที่เรียกว่า “เคราติน” ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าการบริโภคไบโอตินเพิ่มขึ้นสามารถช่วยในการเจริญเติบของเส้นผมในผู้ที่มีภาวะขาดไบโอตินได้ บางการศึกษาพบว่า ภายหลังการรักษาด้วยการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีไบโอติน ธาตุเหล็ก และสังกะสี เป็นระยะเวลา 6 เดือน หลังจบการรักษา ปริมาณและความหนาแน่นของเส้นผมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในกลุ่มควบคุม อย่างไรก็ตาม การศึกษายังมีขนาดเล็กและทำในผู้เข้าร่วมที่ขาดสารอาหาร[2] ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับไบโอตินพบว่า การขาดไบโอตินอาจทำให้เกิดปัญหาผมร่วง[1], ผมบางลง[3], และผมหงอกก่อนวัยได้[4] (โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะที่ร่างกายมักขาดไบโอติน) โดยมีการศึกษาในปี 2559 ในผู้หญิงจำนวน 541 คนที่พบว่า ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงถึง 38% ร่างกายมีการขาดไบโอติน[5] ด้วยเหตุนี้ อาหารเสริมที่เกี่ยวกับเส้นผมส่วนใหญ่จึงมักมีส่วนผสมของวิตามินชนิดนี้รวมอยู่ด้วย และมักได้รับการโฆษณาเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ผมมีสุขภาพดีและแข็งแรง หรือทำให้ผมหนาขึ้นมีวอลลุ่มมากขึ้น[6] อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ยังเป็นการศึกษาในผู้ที่ขาดสารอาหาร และยังไม่มีการศึกษามากนักในผู้ที่มีสุขภาพดีว่าจะได้รับประโยชน์จากการบริโภคไบโอตินที่มากขึ้นหรือไม่[7]

    โดยทั่วไปไบโอตินเป็นอาหารเสริมที่มีความปลอดภัยสูงมาก เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ปริมาณที่เกินจากที่ร่างกายรับได้จะถูกขับออกได้เองทางปัสสาวะ โดยจากการศึกษาพบว่า ไบโอตินไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงในมนุษย์เมื่อรับประทานในขนาด 10,000-50,000 mcg ต่อวัน อย่างไรก็ตาม ก็มีรายงานว่าพบผลข้างเคียงเล็กน้อยจากการได้รับไบโอตินที่สูงมาก ๆ ในบางราย (อาหารเสริมไบโอตินบางยี่ห้ออาจมีปริมาณไบโอตินมากถึง 10,000 mcg หรือมากกว่านั้น ในขณะที่อาหารเสริมไบโอตินที่ขายในไทยนั้นส่วนใหญ่จะมีปริมาณไบโอตินเพียง 150 mcg) ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่รับประทานไบโอตินที่มีปริมาณต่อเม็ดมากเกินไป เพราะยังไม่มีงานวิจัยรับรองถึงประสิทธิภาพดังกล่าว ว่าการทานครั้งละมาก ๆ จะให้ผลแตกต่างจากการทานในปริมาณที่พอดีหรือตามที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำหรือไม่

    แล้วปริมาณแค่ไหนที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ? คำตอบก็คือ ถ้าทานเพื่อป้องกันการขาดไบโอติน อาหารเสริมไบโอตินส่วนใหญ่ในไทยมักจะมีปริมาณไบโอตินเริ่มต้นที่ 150 mcg อยู่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เพียงพอที่ควรได้รับในแต่ละวัน (เพราะปริมาณขั้นต่ำที่ควรได้รับต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือวันละ 30-100 mcg และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขาดวิตามินชนิดแต่อย่างใด) แต่ถ้าจะทานเพื่อหวังผลเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยให้รากผมแข็งแรง และลดการหลุดร่วงของเส้นผม (แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนถึงประโยชน์ดังกล่าว) ปริมาณที่แนะนำจากการศึกษาของมหาวิทลัยฮาร์วาร์ดคือไบโอตินวันละ 1,000 mcg[8] แต่บางงานวิจัยก็แนะนำในขนาดถึงวันละ 5,000 mcg[9] ส่วนปริมาณที่แนะนำโดยนักโภชนากรต่างประเทศส่วนใหญ่จะแนะนำไว้ที่ปริมาณ 1,000-2,500 mcg แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนแนะนำว่า ไบโอตินวันละ 1,000 mcg คือปริมาณที่เหมาะสม เพราะเป็นปริมาณที่ไม่มากเกินไป (ที่ยังออกฤทธิ์ได้ดี) และไม่น้อยเกินไปจนสงสัยได้ว่ามันจะออกฤทธิ์จริงหรือไม่ อีกทั้งหากต้องการเพิ่มปริมาณไบโอตินให้มากขึ้นก็สามารถเพิ่มโดสการรับประทานเป็นวันละ 2 มื้อเช้าและเย็นได้อย่างปลอดภัย ซึ่งร่างกายน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าการรับประทานไบโอตินปริมาณมาก ๆ ในคราวเดียว
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม สุขภาพผมแข็งแรง ช่วยให้ผมหนาขึ้นดูมีวอลลุ่มมากขึ้น การขาดไบโอตินมักเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ผมร่วง ผมบาง และผมหงอกก่อนวัย
    • อาหารที่พบได้มาก : ตับวัว, ตับหมู, ไข่ไก่, นมผง, ถั่วลิสงคั่ว, ถั่วเหลือง, ดอกกะหล่ำ
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 30 ไมโครกรัมต่อวัน (ยังไม่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่รับได้ในแต่ละวัน และการได้รับไบโอตินในรูปของเม็ดยาถึง 300 เท่าของปริมาณที่ได้รับจากอาหารปกติไม่พบอาการเป็นพิษ และการให้ไบโอตินวันละ 200 มิลลิกรัมในรูปยาเม็ดและฉีดเข้าเส้นเลือด 20 มิลลิกรัมในเด็กที่มีปัญหาการดูดซึมไบโอตินก็ไม่พบภาวะเป็นพิษ)[10]
  2. วิตามินบี 3 หรือไนอาซิน (Vitamin B3 / Niacin) เป็นวิตามินที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังหนังศีรษะ ลดการอักเสบของหนังศีรษะ ช่วยในการสังเคราะห์เคราติน และซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย โดยรวมแล้วจึงช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม และการขาดวิตามินชนิดนี้จะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดีและอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมหลุดร่วงและรากผมอ่อนแอได้[11],[12],[13]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม การขาดอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมร่วง
    • อาหารที่พบได้มาก : ปลาทูน่า, เนื้อไม่ติดมัน, อะโวคาโด, มันฝรั่ง, ถั่วเหลือง, ถั่วลิสง
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 14-16 มิลลิกรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย คือ 35 มิลลิกรัม)[10]
  3. วิตามินบี 5 หรือกรดแพนโทเทนิก (Vitamin B5 / Pantothenic Acid) เป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารและช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ผลิตภัณฑ์ปลูกผมหลายยี่ห้อมักมีส่วนผสมของวิตามินบี 5 เพราะวิตามินชนิดนี้สามารถช่วยเพิ่มเจริญเติบโตของเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม ความคุมการทำงานของต่อมไขมัน ป้องกันผมหงอกก่อนวัย เร่งการสร้างเมลานิน และช่วยฟื้นคืนสภาพสีผมเดิม[14] (มีการศึกษาในหนูทดลองแล้วพบว่า การขาดวิตามินบี 5 และอิโนซิทอล (Inositol) จะทำให้หนูไม่มีขน[15])
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : เพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย ช่วยฟื้นคืนสภาพสีผมเดิม และเร่งการสร้างเมลานิน
    • อาหารที่พบได้มาก : ไข่, ไก่, ปลา, เนื้อวัว, ตับไก่, มันฝรั่ง, โยเกิร์ต, ผลิตภัณฑ์จากนม, ถั่วลิสง
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 5 มิลลิกรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย คือ 10-20 มิลลิกรัม ยกเว้นในบางรายที่อาจมีอาการท้องเสียเล็กน้อย)[10]
  4. วิตามินบี 6 (Vitamin B6) เป็นวิตามินที่มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพเส้นผมและการเจริญเติบโตของเส้นผม จำเป็นต่อการสร้างฮีโมโกลบินที่มีหน้าที่นำออกซิเจนส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมทั้งเส้นผม และยังมีบทบาทในการเผาผลาญโปรตีน ซึ่งเส้นผมเป็นผลพลอยได้จากการสังเคราะห์โปรตีน[15] หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 อาจทำให้มีอาการต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น ผมแห้ง ปากแตก เหนื่อยล้า[4] และทำให้ผมร่วง[17]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม และช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี เส้นผมไม่แห้ง การขาดอาจเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วง
    • อาหารที่พบได้มาก : เนื้อไม่ติดมัน, อกไก่, ไข่, ข้าวขาว, ถั่วงอก, บรอกโคลี, ผักโขม, มันฝรั่ง, ซีเรียลโฮลเกรน, ผลไม้ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ส้ม
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 1.3-1.7 มิลลิกรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย คือ 100 มิลลิกรัม)[10]
  5. วิตามินเอ (Vitamin A) จากการศึกษาพบว่าวิตามินเอมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพแข็งแรง และการขาดวิตามินเออาจทำให้ผมร่วง[18] ผมแห้งได้ โดยวิตามินเอจะช่วยให้ต่อมไขมันในชั้นผิวหนังหลั่งซีบัม (Sebum) เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่หนังศีรษะและทำให้ผมแข็งแรง การขาดวิตามินเออาจนำไปสู่ปัญหาหลายประการ รวมทั้งผมร่วง และในผู้ที่เป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) มักมีระดับวิตามินเอในเลือดต่ำ[15] แต่การเสริมวิตามินเอมากเกินไปก็อาจทำให้ผมร่วงได้เช่นกัน[1]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง การขาดอาจเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงและผมแห้ง
    • อาหารที่พบได้มาก : แครอท, มันเทศเหลือง, ฟักทอง, ตำลึง, ผักบุ้ง, มะละกอสุก น้ำมันตับปลา, ตับสัตว์, เนื้อสัตว์, ไข่, ผลิตภัณฑ์จากนม
    • ปริมาณขั้นต่ำที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 600-700 ไมโครกรัมของ retinol ต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียง คือ 3,000 ไมโครกรัม/วัน)[10]
  6. วิตามินซี (Vitamin C) มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องรูขุมขนจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่มีอยู่ตามชาติในร่างกายและสิ่งแวดล้อม[19] ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินซีเพื่อผลิตคอลลาเจน[20] ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม ป้องกันไม่ให้เส้นผมเปราะบาง[21] และวิตามินซียังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร  ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม[1] นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าการขาดวิตามินซีอาจทำให้เกิดอาการเส้นผมบิดเป็นเกลียว (Corkscrew hairs)[22], ทำให้ผมแห้ง แตก และหยาบกร้านได้[15]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม การขาดวิตามินซีอาจทำให้เปราะบาง ผมบิดเป็นเกลียว ผมแห้ง แตก และหยาบกร้าน
    • อาหารที่พบได้มาก : ฝรั่ง, สาลี่, มะขามป้อม, มะขามเทศ, เงาะ, ลูกพลับ, สตรอว์เบอร์รี, ส้มโอ, พุทรา, แอปเปิ้ล, พริกหวานแดง, พริกหวานเขียว, ผักคะน้า, บรอกโคลี, ผักโขม
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 95-110 มิลลิกรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียง คือ 2,000 มิลลิกรัม)[10]
  7. วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยช่วยเพิ่มการไหลเวียนในหนังศีรษะและปกป้องผิวหนังจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เส้นผมมีสุขภาพไม่ดีและรูขุมขนน้อยลงได้[15],[23] โดยมีหลายงานวิจัยที่สำคัญ เช่น การศึกษาที่พบว่า การใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินอี (Tocotrienol) สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพผมของผู้ที่มีปัญหาผมร่วงและช่วยป้องกันผมร่วงได้[23], การศึกษาในผู้ที่มีปัญหาผมร่วงที่เสริมวิตามินอีเป็นเวลา 8 เดือน พบว่ามีผมงอกเพิ่มข้น 34.5% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ผมงอกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1%[24], การศึกษาในผู้ที่เป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) มักมีความเข้มข้นของวิตามินอีในเลือดต่ำกว่าปกติ[25] และการศึกษาที่พบว่าการขาดวิตามินอีอาจทำให้ผมร่วงได้ แต่หลักฐานยังขัดแย้งกันอยู่[26] ส่วนในบางคนเลือกที่จะใช้น้ำมันวิตามินอีทาลงบนหนังศีรษะโดยตรง โดยเชื่อว่าจะช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผมใหม่ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนในเรื่องนี้[27]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : เพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม และป้องกันผมร่วง
    • อาหารที่พบได้มาก : น้ำมันจมูกข้าวสาลี, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันข้าวโพด, เมล็ดแฟลกซ์, ผักโขม, อัลมอนด์
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 11-13 กรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่ก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพ คือ 300 มิลลิกรัม)[10]
  8. ธาตุเหล็ก (Iron) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยเป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย การขาดธาตุเหล็กนอกจากจะเป็นสาเหตุหลักของโรคโลหิตจางแล้วยังทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมาได้ด้วย เช่น เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร เล็บเปราะ ฯลฯ รวมถึงอาการผมร่วง ผมเปราะ และผมหงอกก่อนวัย (โดยเฉพาะในผู้ที่รับประทานมังสวิรัติหรือวีแก้น ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาก และผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง)[4],[15],[28]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม การขาดอาจธาตุเหล็กอาจทำให้ผมร่ว ผมเปราะ และผมหงอกก่อนวัย
    • อาหารที่พบได้มาก : เนื้อแดง, อาหารทะเล, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียวเข้ม, พืชตระกูลถั่ว, ผลไม้แห้ง
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 10-11.5 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ชายและหญิงวัยหมดประจำเดือน และ 20 มิลลิกรัมต่อวันในผู้หญิง (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียง คือ 45 มิลลิกรัม)[10]
  9. ธาตุทองแดง (Copper) แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญและดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างเซล์เม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดแร่ธาตุชนิดนี้จะทำให้การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างไม่เหมาะสมและเซลล์ผมได้รับสารอาหารที่จำเป็นไปเลี้ยงน้อยลงได้ ทำให้มีผลไปชะลอการเจริญเติบโตของเส้นผม[15] นอกจากนี้ ธาตุทองแดงยังจำเป็นต่อการผลิตเมลานินอีกด้วย ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หน้าที่ให้สีผิว ดวงตา และสีผม ดังนั้น การขาดแร่ธาตุชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้ผมหงอกก่อนวัย[4] และมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยจากการวิจัยในหลอดทดลองระบุว่าทองแดงอาจช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม[29]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยการเจริญเติบโตของเส้นผม การขาดธาตุทองแดงอาจทำให้ผมหงอกก่อนวัย
    • อาหารที่พบได้มาก : เนื้อสัตว์ต่าง ๆ, อาหารทะเล เช่น หอยนางรม, ถั่วเมล็ดแห้ง, โกโก้, เชอร์รี, เห็ด, ธัญพืช
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 1.6 มิลลิกรัม/วันในผู้ชาย และ 1.3 มิลลิกรัม/วันในผู้หญิง (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียง คือ 5 มิลลิกรัม)[10]
  10. ธาตุสังกะสีหรือซิงค์ (Zinc) เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้และจำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม โดยปกติร่างกายจะได้รับจากการอาหารที่รับประทานในแต่ละวันอยู่แล้ว แต่ก็อาจพบภาวะการขาดธาตุสังกะสีได้ในผู้ที่มีปัญหาการดูดซึม ซึ่งภาวะการขาดสังกะสีก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมร่วง บาง และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมได้[30] และการเสริมแร่ธาตุชนิดนี้อาจช่วยลดอาการผมร่วงในผู้ที่มีภาวะผมร่วงเป็นหย่อมที่มีระดับสังกะสีในเลือดต่ำได้[31] นอกจากนี้ ยังมีบางรายงานระบุด้วยว่า การขาดธาตุสังกะสีอาจทำให้ผมหยาบ แห้ง และแตกปลายได้ด้วย
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยลดอาการผมร่วงในผู้ที่ขาดธาตุสังกะสี การขาดอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมร่วง ผมบาง และส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
    • อาหารที่พบได้มาก : หอยนางรม, เนื้อแดง, เครื่องในสัตว์, สัตว์ปีก, ปลา
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 9-11.6 มิลลิกรัมต่อวัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่มีความเสี่ยงต่อผลเสียทางสุขภาพ คือ 40 มิลลิกรัม)[10]
  11. ซีลีเนียม (Selenium) เป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อที่เกิดจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ ได้ การได้รับซีลีเนียมร่วมกับธาตุสังกะสีจะช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม ร่างกายของคนเราต้องการแร่ธาตุชนิดนี้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากการได้รับมากเกินไปอาจทำให้ผมร่วง แตกปลาย เล็บเปราะ อ่อนล้า และมีอาการหงุดหงิดได้[15]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมมีสุขภาพแข็งแรง
    • อาหารที่พบได้มาก : ปลาทูสด, ไข่แดง, ไข่ทั้งฟอง, ปลาจาระเม็ด, ปลาดุก, เนื้อปู, หอยแครง, หอยแมลงภู่, หอยนางรม, กุ้งกุลา
    • ปริมาณที่ควรได้รับสำหรับคนไทย (ผู้ใหญ่) : 55 ไมโครกรัม/วัน (ส่วนปริมาณสูงสุดที่สามารถรับได้ในแต่ละวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียง คือ 400 ไมโครกรัม/วัน)[10]
  12. ซิลิกา (Silica) เป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่มีความสำคัญเส้นผม พบได้มากในหญ้าหางม้า (Horsetail หรือในชื่อวิทยาศาสตร์ : Equisetum avense) จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เชื่อว่ามีประโยชน์ต่อเส้นผม ผิวหนัง เล็บ และกระดูก โดยจะช่วยลดการเสื่อมสภาพของเส้นผมที่เกิดจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ และพบว่าปริมาณซิลิกาที่สูงขึ้นในเส้นผมจะส่งผลให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง อัตราการหลุดร่วงของเส้นผมลดน้อยลง เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการแตกหักของเส้นผม เส้นผมหนาขึ้น รวมถึงเพิ่มความเงางามหรือความเปล่งประกายของเส้นผม[32],[33],[34] นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่า ในผู้หญิงที่ผมร่วงกลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมจากหญ้าหางม้าจะมีการเจริญเติบโตของเส้นผมและความแข็งแรงของเส้นผมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม[35] ส่วนการศึกษาอื่น ๆ ก็พบผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน[36]
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพแข็งแรง ลดอัตราการหลุดร่วงของเส้นผม เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการแตกหักของเส้นผม ทำให้ผมหนาขึ้น และเพิ่มความเงางามให้เส้นผม
    • อาหารที่พบได้มาก : ถั่วเขียว, กล้วย, ผักใบเขียว, ข้าวกล้อง, ซีเรียล รวมถึงในสมุนไพรหญ้าหางม้า 
  13. แอล-เมไทโอนีน (L-Methionine) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้และจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร การขาดแอล-เมไทโอนีนอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์โปรตีนและส่งผลต่อการผลิตเคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเส้นผม และแอล-เมไทโอนีนยังมีบทบาทในการสังเคราะห์คอลลาเจน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน โดยรวมแล้วกรดอะมิโนชนิดนี้จึงช่วยให้การเจริญเติบโตของเส้นผมเป็นไปอย่างปกติ ช่วยเสริมความแข็งแรงของรากผมและเส้นผม ชะลอการเกิดผมหงอกก่อนวัย และหลายแหล่งข้อมูลยังระบุด้วยว่าช่วยให้ผมเรียบลื่นและเงางาม[37]
    • อาหารที่พบได้มาก : เนื้อสัตว์, ปลา, ไข่, ผลิตภัณฑ์จากนม, ธัญพืช, เมล็ดงา
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : เสริมความแข็งแรงของรากผมและเส้นผม ชะลอผมหงอกก่อนวัย และช่วยให้ผมเรียบลื่นและเงางาม
  14. แอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine) เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็นที่ร่างกายสังเคราะห์มาจาก L-Methionine กรดอะมิโนชนิดนี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างเคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเส้นผม ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงและลดการหลุดร่วงของเส้นผม และบางข้อมูลยังระบุว่า แอล-ซิสเทอีนสามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (ป้องกันผมแห้ง) และรักษาความหนาของเส้นผม และการได้รับแอล-ซีสเทอินร่วมกับวิตามินบีรวม อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้[38]
    • อาหารที่พบได้มาก : หมู, เนื้อวัว, ไก่, ปลา, ไข่, โยเกิร์ตไขมันต่ำ, เมล็ดทานตะวัน, ชีส
    • บทบาทสำคัญต่อเส้นผม : ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วงของเส้นผม รักษาความหนาของเส้นผมและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่เส้นผม
  15. วิตามินหรือสารอื่น ๆ อีก 11 ชนิด ได้แก่
คำแนะนำในการเลือกซื้ออาหารเสริมบำรุง/แก้ผมร่วง
คำแนะนำในการเลือกซื้ออาหารเสริมบำรุง/แก้ผมร่วง

การเลือกซื้ออาหารเสริมบำรุง/แก้ผมร่วง

  • เลือกแบรนด์หรือยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการยอมรับ ผลิตจากโรงงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัย ฉลากระบุถึงส่วนประกอบสำคัญและปริมาณอย่างชัดเจนไม่สับสน และต้องได้รับรองการขึ้นทะเบียนตำรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยเฉพาะอาหารเสริมนำเข้าทั้งหลายที่บางส่วนยังไม่ได้ขอ อย.
    • สิ่งนี้บอกอะไร ? ยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือมักบ่งบอกได้ถึงการมีมาตรฐานการผลิตที่ดี, มีความถูกต้องของปริมาณสารที่ระบุไว้ในฉลาก, วัตถุดิบที่ใช้มีคุณภาพและมีความบริสุทธิ์หรือปราศจากสารปนเปื้อนหรือเป็นอันตราย รวมถึงมีความโปร่งใสของฉลากในการระบุรายละเอียดจำเป็นต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคควรรู้และไม่ทำสับสน
  • ยี่ห้อที่มีราคาแพงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดเสมอไป ในขณะที่ยี่ห้อที่ถูกกว่าอาจมีคุณภาพที่ดีกว่าก็เป็นได้ เพราะราคาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในท้องตลาดมักตั้งจากต้นทุนในการผลิตและค่าโฆษณา ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดจึงควรเลือกจากยี่ห้อที่น่าเชื่อถือก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ซื้อจากการรีวิวหรือจากการโฆษณา
  • ตรวจสอบวันหมดอายุเสมอ โดยเฉพาะเมื่อซื้อจากช่องทางออนไลน์ รวมถึงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ของคุณ (ถ้ามี) เพื่อหลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่ส่วนผสมดังกล่าว
  • ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากร้านที่เชื่อถือได้และมีหลักแหล่งหรือที่อยู่แน่นอน โดยเฉพาะร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำอยู่ เพื่อจะได้ปรึกษาสอบถามถึงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ ขนาดหรือสูตรที่เหมาะสม ความจำเป็นในการใช้ รวมถึงเพิ่มความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพอาหารเสริมจากการจัดเก็บที่ดี (เก็บผลิตภัณฑ์ในอุณหภูมิที่เหมาะสมและไม่ร้อนจนอาหารเสริมหรือวิตามินอาจเสื่อมสภาพ)
  • ไม่แนะนำให้ผู้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีปริมาณไบโอตินสูงมากเกินไปหรือสูงเกินกว่า 5,000 ไมโครกรัม เนื่องจากไม่จำเป็น เพราะอาจให้ผลไม่ต่างกัน และเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ (ที่ปกติก็ไม่ค่อยพบและถึงพบก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แม้ว่าจะมีรายงานถึงมีความปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่สูงมาก ๆ เป็นหมื่นถึงแสนไมโครกรัมต่อวันก็ตาม)
  • มองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีไบโอติน 1,000 ไมโครกรัมขึ้นไป และไม่เกิน 5,000 ไมโครกรัม เพราะเป็นขนาดที่มีงานวิจัยรองรับและผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำ (ในสูตรของต่างประเทศมักมีไบโอตินเริ่มต้นที่ 1,000 ไมโครกรัม ไปจนถึง 10,000 ไมโครกรัมหรือมากกว่านั้น แต่ปริมาณที่พบบ่อยในอาหารเสริมไบโอติน คือ 2,500-5,000 มิลลิกรัม ทั้งนี้เป็นเพราะปริมาณดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่ก็ยังไม่ข้อมูลหรืองานวิจัยใดที่ยืนยันได้ว่า การรับประทานในขนาด 1,000 กับ 5,000 ไมโครกรัม หรือปริมาณมากกว่านี้จะให้ผลต่อการบำรุงเส้นผมต่างกันหรือไม่ อย่างไร จึงเป็นเหตุผลให้หลายยี่ห้อเลือกที่จะใส่ไบโอตินเข้าไปจำนวนมากแทน ๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่าไม่จำเป็น ขอแค่รับเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างมากก็เพิ่มมื้อรับเป็นประทานเป็นวันละ 2 ครั้งพร้อมอาหารก็เพียงพอแล้ว)
  • สำหรับการใช้อาหารเสริมไบโอตินเพื่อป้องกันและรักษาการขาดไบโอติน แค่ปริมาณไบโอติน 150 ไมโครกรัมก็เพียงพอแล้ว ซึ่งเป็นปริมาณที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ในอาหารเสริมไบโอตินของไทย เพราะร่างกายต้องการไบโอตินแค่เพียงวันละ 30 ไมโครกรัม และคำแนะนำตาม Thai RDI (ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้คนไทยบริโภคต่อวัน) คือ ไบโอตินวันละ 150 ไมโครกรัม
  • มองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของสารสำคัญที่หลากหลายนอกเหนือจากไบโอติน แม้ไบโอตินจะเป็นวิตามินที่โดดเด่นในด้านนี้ แต่ก็ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผมมีสุขภาพดีได้เช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นการดีกว่าที่จะมีวิตามินและสารสำคัญอย่างอื่นที่ช่วยในการบำรุงผมด้วย เพราะสุขภาพผมน่าจะได้รับการบำรุงที่มากกว่าและครอบคลุมกว่า อีกทั้ง ปัญหาสุขภาพผม ปัญหาผมร่วง ผมบางก็ไม่ได้เกิดจากการขาดไบโอตินเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดได้จากการขาดวิตามินและแร่ธาตุอย่างอื่นด้วย ตั้งแต่วิตามินบี3, บี6, บี12, วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินดี, ธาตุเหล็ก, สังกะสี, ทองแดง, แมกนีเซียม และซิลิกา
  • พิจารณาจากรูปแบบของวิตามินที่เหมาะสม เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้านนี้จะมีรูปแบบให้เลือกทานอย่างหลากหลาย ตั้งแต่แบบเม็ด ซอฟเจล แคปซูล และกัมมี่ รวมถึงขนาดที่แตกต่างตั้งแต่เม็ดเล็กเม็ดใหญ่ คุณจึงไม่จำเป็นต้องลำบากในการทานอาหารเสริมในรูปแบบที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เช่น ไม่ชอบทานแคปซูล เพราะมีปัญหาการกลืนก็อาจเลือกทานแบบซอฟเจล หรือถ้าไม่ชอบทานแบบเป็นเม็ดก็เลือกเป็นแบบกัมมี่ได้ แต่ต้องระวังปริมาณน้ำตาลที่ได้รับ เพราะบางยี่ห้ออาจต้องกินหลายเม็ด เป็นต้น และไม่ว่าจะแบบใดต่างก็ดูดซึมได้ดีเท่า ๆ กัน
  • เลือกแบรนด์หรือยี่ห้อที่ผ่านการทดสอบโดยบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีประสิทธิภาพ คุณภาพดี และมีความบริสุทธิ์ (ถ้ามี)
  • เปรียบเทียบความคุ้มค่าเพิ่มเติมโดยดูจากราคาเฉลี่ยต่อเม็ด จำนวนและปริมาณของสารสำคัญที่ได้รับ (ควรอ่านและทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของสารสำคัญแต่ละชนิดตามงานวิจัย ไม่ใช่จากคำโฆษณา และควรรู้ถึงปริมาณที่เหมาะสมในการออกฤทธิ์ หรือดูว่าสารดังกล่าวมีปริมาณน้อยกว่าหรือมากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวันหรือไม่อย่างไร)

อาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วงยี่ห้อไหนดี ?

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วงในปัจจุบันมีให้เลือกซื้อหลากหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมักมีส่วนผสมและปริมาณที่แตกต่างกันไป ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเปิดขวดและรีวิวรวมทั้งหมด 10 ตัว! พร้อมกับให้คะแนนและจัดอันดับแบบคร่าว ๆ โดยการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่นำมารีวิวนี้ เราจะเน้นเลือกเฉพาะยี่ห้อที่เป็นที่นิยมในไทยและหาซื้อได้สะดวกในร้านขายยาหรือตามเว็บไซต์ไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม การรีวิวนี้เป็นรีวิวจากผู้เขียนเพียงผู้เดียว จึงอาจไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงใด ๆ ได้ เพราะเกณฑ์การเลือกซื้อและน้ำหนักการให้คะแนนอาจแตกต่างกันได้ในแต่ละบุคคล เช่น บางคนเน้นดูที่ยี่ห้อเป็นหลัก บางคนดูแต่ส่วนผสมและปริมาณ หรือบางคนก็ดูราคาจากราคาและความคุ้มค่าเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่ายี่ห้อที่มีคะแนนน้อยกว่าจะมีคุณภาพด้อยกว่าเสมอไป ประกอบกับความจำเป็นหรือความต้องการวิตามินในร่างกายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือ ผู้เขียนแนะนำว่าไม่ควรเลือกซื้ออาหารเสริมใด ๆ จากคำโฆษณา จากคำบอกเล่า หรือจากรีวิวนี้เพียงอย่างเดียว จนกว่าคุณจะได้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ของคุณ

รีวิวเปรียบเทียบอาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วงยี่ห้อไหนดี ?
เปรียบเทียบอาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วงทั้ง 10 ยี่ห้อ

ส่วนเกณฑ์การให้คะแนนและจัดอันดับแบบคร่าว ๆ ในรีวิวนี้จะมีเกณฑ์ดังนี้ครับ (คะแนนเต็ม 30 คะแนน)

1. ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : คะแนนรวม 10 คะแนน (อาหารเสริมนำเข้าที่ไม่มี อย. -0.5 คะแนน)

  • เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการเลือกซื้ออาหารเสริม เพราะสิ่งนี้บ่งบอกข้อมูลได้หลายอย่าง เช่น มาตรฐานการผลิตที่มี, ความถูกต้องของปริมาณสารที่ระบุไว้ในฉลาก, คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้, ความบริสุทธิ์ของส่วนผสม, ความปลอดภัยปราศจากสารปนเปื้อนหรือเป็นอันตราย, ความโปร่งใสของฉลากในการระบุรายละเอียดจำเป็นต่าง ๆ (ที่ผู้บริโภคควรรู้และไม่ทำสับสน) เป็นต้น โดยการให้คะแนนในส่วนนี้หลัก ๆ จะดูจากมูลค่าและทุนจดทะเบียนบริษัท การมีข้อมูลสินค้าที่แสดงบนเว็บไซต์ชัดเจนและระบุมาตรฐานการผลิต ลักษณะของโรงงานที่ผลิต ความจำเพาะในการดำเนินธุรกิจ (หากดำเนินการธุรกิจหลายอย่าง หรือเป็นโรงงานที่ผลิตหลายอย่าง นอกเหนือจากการผลิตอาหารเสริม เภสัชภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค คะแนนก็จะน้อยลงตามสัดส่วน)

2. จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : คะแนนรวม 10 คะแนน โดยแบ่งเป็น

  • คะแนนจากไบโอติน : 5 คะแนน (สาเหตุที่ให้คะแนนส่วนนี้มากที่สุด เพราะไบโอตินป็นวิตามินหลักที่มีการพูดถึงมากที่สุดและอาหารเสริมทุกยี่ห้อเกี่ยวกับการบำรุงเส้นผมและลดผมหลุดร่วงต่างก็มีวิตามินชนิดนี้ อีกทั้งมีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพผมก็ค่อนข้างจะครอบคลุมมากกว่าวิตามินหรือสารอื่น ๆ แม้ว่าจะยังมีหลักฐานไม่ชัดเจนก็ตาม ส่วนเกณฑ์การให้คะแนนตามปริมาณของไบโอตินนั้นจะพิจารณาจากงานวิจัย ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และนักโภชนาการส่วนใหญ่เป็นหลัก)
    • ไบโอติน 150 ไมโครกรัม = 2 คะแนน
    • ไบโอติน 500 ไมโครกรัม = 3 คะแนน
    • ไบโอติน 600 ไมโครกรัม = 3.5 คะแนน
    • ไบโอติน 1,000 ไมโครกรัม = 4.5 คะแนน
    • ไบโอตินมากกว่า 1,000 ไมโครกรัม = 5 คะแนน
  • คะแนนจากวิตามินและแร่ธาตุ : 2 คะแนน (สาเหตุที่ให้คะแนนส่วนนี้น้อยกว่าส่วนอื่นเป็นเพราะการเพิ่มปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยลดอาการผมร่วงครับ แต่การขาดอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งก็พบได้ไม่บ่อยครับ) โดยส่วนนี้จะเป็นการให้คะแนนโดยดูจากจำนวนและปริมาณของวิตามินและแร่ธาตุเป็นหลัก แล้วจำลองการอันดับเฉพาะส่วนนี้ว่ายี่ห้อใดมีภาษีดีกว่าแล้วทำการให้คะแนนแบบคร่าว ๆ
  • คะแนนจากสำคัญอื่น ๆ และสารสกัดจากหญ้าหางม้า : 3 คะแนน (สาเหตุที่ให้คะแนนส่วนนี้มากกว่าวิตามินและแร่ธาตุ เพราะมีสารหลายตัวที่มีงานวิจัยรองรับชัดเจนว่าช่วยลดอาการผมได้จากเพิ่มปริมาณการรับประทานให้มากขึ้น) โดยส่วนนี้จะเป็นการกะเกณฑ์แล้วให้คะแนนแบบคร่าว ๆ เพราะไม่สามารถสร้างเกณฑ์ที่ชัดเจนในการให้คะแนนได้ เนื่องจากแต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างกันทั้งชนิดของสารและปริมาณ รวมถึงประโยชน์ของสารแต่ละชนิดที่ต่างกันด้วย

3. ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : คะแนนรวม 10 คะแนน

  • เนื่องจากยี่ห้อที่มีราคาต่อเม็ดถูกที่สุด คือ 3.056 บาท (BIOTIN ZINC คณะเภสัชศาสตร์ จุฬา) และแพงสุด คือ 29.667 บาท (LYO ซึ่งมีราคาแพงกว่า 3.163 เท่า) เราจึงให้ยี่ห้อที่มีราคาถูกสุดได้เต็ม 10 คะแนน และเมื่อนำคะแนนเต็ม 10 มาหารด้วย 3.163 เท่า ก็จะได้ 3.162 นั่นหมายความว่ายี่ห้อที่มีราคาต่อเม็ดแพงที่สุดจะได้คะแนนเพียง 3.162 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน

#1 REGENEZ

รีวิวอาหารเสริมรีจีเนซ (REGENEZ) จากเมก้าวีแคร์ (MEGA We care)
รีวิวอาหารเสริมรีจีเนซ (REGENEZ) จากเมก้าวีแคร์ (MEGA We care)

รีจีเนซ (REGENEZ) จากเมก้าวีแคร์ (MEGA We care) แบรนด์อาหารเสริมที่ไว้ใจได้ในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานการผลิต เพราะผลิตโดยโรงงานผลิตยาแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยที่ผ่านการรับมาตรฐานการผลิต (GMP) ระดับสากลถึง 2 สถาบัน คือ TGA จากประเทศออสเตรเลีย และ BfArM จากประเทศเยอรมัน ที่เป็นที่ยอมรับในยุโรป และมีกำลังการผลิตสูงส่งออกไปต่างประเทศกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

จุดเด่น : ผลิตจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง และเป็นสูตรรวมสารอาหารที่สำคัญสำหรับเส้นผมอย่างครบถ้วน โดยมีปริมาณไบโอตินปริมาณสูงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ คือ 1,000 ไมโครกรัม (ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้ผมหนาขึ้นดูมีวอลลุ่ม ช่วยลดผมร่วง ผมบาง และผมหงอกก่อนวัย), มีวิตามินบี 5 สูงที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น (ให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นผม), มีซิลิกา 15 มิลลิกรัม (จากสารสกัดหญ้าหางม้าสูง 215 มิลลิกรัม ตัวช่วยให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการแตกหักของเส้นผม และเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผม) อีกทั้งยังมีธาตุเหล็กและทองแดงที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นได้ดี ฯลฯ นอกจากนี้ตัวบรรจุภัณฑ์ยังมารูปของแผงฟอยล์ที่ง่ายต่อการพกพาและแยกวิตามินแต่ละเม็ดออกจากกัน (ป้องกันออกซิเจนและความชื้น คงสภาพและปริมาณของสารสำคัญระหว่างรอการบริโภค)

จุดด้อย : ราคาเฉลี่ยต่อเม็ดค่อนข้างแพง ซึ่งอาจเป็นเพราะต้นทุนจากบรรจุภัณฑ์

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 10 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 8.5 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 4.5/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 1,000 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (7 ชนิด) : 2/2 คะแนน
      • วิตามินซี : 100 มิลลิกรัม
      • วิตามินบี 3 : 15 มิลลิกรัม
      • วิตามินบี 5 : 25 มิลลิกรัม
      • วิตามินบี 6 : 2 มิลลิกรัม
      • ธาตุสังกะสี : 15 มิลลิกรัม
      • ธาตุเหล็ก : 1 มิลลิกรัม
      • ธาตุทองแดง : 1 มิลลิกรัม
    • สารสำคัญอื่น ๆ (1 ชนิด) : 2/3 คะแนน
      • สารสกัดจากหญ้าหางม้า : ประมาณ 215 มิลลิกรัม (ให้ซิลิกา 15 มิลลิกรัม)
  • ราคา : 8.044 /10 คะแนน
    • 1 กล่อง (30 เม็ด แบ่งเป็น 3 แผงฟอยล์ แผงละ 10 ซอฟเจล) ราคา 320 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 10.667 บาท
  • คะแนนรวม : 26.544 /30 คะแนน

#2 BLACKMORES BIOTIN H+

รีวิวแบลคมอร์ส ไบโอติน เอช+ (BLACKMORES BIOTIN H+) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากออสเตรเลีย
รีวิวแบลคมอร์ส ไบโอติน เอช+ (BLACKMORES BIOTIN H+) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากออสเตรเลีย

แบลคมอร์ส ไบโอติน เอช+ (BLACKMORES BIOTIN H+) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากออสเตรเลีย มีความน่าเชื่อถือสูง ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในบ้านเรา เพราะเป็นยี่ห้อแรก ๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดอาหารเสริมในไทย โดดเด่นในเรื่องของการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ผลิตตามข้อกำหนดและมาตรฐานระดับสากล (มาตรฐานการผลิต GMP และมาตรฐานการผลิต PIC/S จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาที่ใช้กันเป็นกฎหมายในทวีปยุโรป) และเป็นอาหารเสริมที่นำเข้ามาทั้งขวดไม่ได้ผลิตในบ้านเรา

จุดเด่น : เป็นอาหารเสริมนำเข้าที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากในไทย เป็นยี่ห้อที่มีจำนวนของสารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมมาก โดยเฉพาะสารสำคัญอื่นที่นอกจากจะมีสารสกัดจากหญ้าหางม้าที่ให้ซิลิกาแล้วยังประกอบไปด้วย

  • สารสกัดจากเมล็ดข้าวฟ่าง (มิลเลท) เป็นสารสกัดที่ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม เพิ่มความเงางาม และอาจช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม[42]
  • สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผม เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุจำเป็นหลายชนิด เช่น วิตามินเอ, บี1, บี2, วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินอี, สังกะสี, ไอโอดีน, แมกนีเซียม, เหล็ก, ทองแดง, โพแทสเซียม, แคลเซียม[43]
  • สารสกัดจากชาขาว ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผมและป้องกันผมร่วงก่อนวัยอันควร[44]
  • สารสกัดจากพริก (แคปชิคุม) ช่วยเพิ่มการไหลเวียดของเลือดไปเลี้ยงศีรษะ จึงช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม[16]

จุดด้อย : มีไบโอตินน้อย และในสูตรจะไม่ได้เน้นไปที่วิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมมากนัก แต่จะเน้นไปที่สารสำคัญอย่างอื่นแทน และแม้จะมีสารสำคัญหลากหลาย แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีปริมาณมากนัก และราคาเฉลี่ยต่อเม็ดก็ค่อนข้างแพง (เนื่องนำเข้าจากออสเตรเลียมาทั้งขวดและไม่ได้ผลิตในไทย) และอีกเล็กน้อยที่ฉลากอาจสร้างความสับสนและทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะตอนแรกผู้เขียนเข้าใจยี่ห้อนี้มีสารสกัดจากหญ้าหางม้าถึง 500 มิลลิกรัม แต่พอเปิดเอกสารดูด้านในก็ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ เพราะความจริงแล้วมีสารสกัดจากหญ้าหางม้าเพียง 40 มิลลิกรัม (ซึ่งมาจากหญ้าหางม้าแห้งปริมาณ 500 มิลลิกรัม) ส่วนสารสกัดอื่น ๆ ก็เช่นกัน เช่น สารสกัดจากเมล็ดข้าวฟ่าง 40 มิลลิกรัม ไม่ใช่ 400 มิลลิกรัมตามหน้าฉลาก

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 10 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 6.2 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 2/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 150 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (4 ชนิด) : 1.2/2 คะแนน
      • วิตามินซี : 60 มิลลิกรัม
      • วิตามินอี : 2.25 หน่วยสากล
      • ธาตุสังกะสี : 15 มิลลิกรัม
      • ซีลีเนียม : 70 ไมโครกรัม
    • สารสำคัญอื่น ๆ (5 ชนิด) : 3/3 คะแนน
      • สารสกัดจากหญ้าหางม้า : 40 มิลลิกรัม (จากหญ้าหางม้าแห้ง 500 มิลลิกรัม)
      • สารสกัดจากเมล็ดข้าวฟ่าง (มิลเลท) : 40 มิลลิกรัม (จากเมล็ดข้าวฟ่างแห้ง 400 มิลลิกรัม)
      • สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ : 50 มิลลิกรัม (จากสาหร่ายเคลป์สด 500 มิลลิกรัม)
      • สารสกัดจากชาขาว : 50 มิลลิกรัม (จากชาขาวแห้ง 300 มิลลิกรัม)
      • สารสกัดจากพริก (แคปชิคุม) : 1.3 มิลลิกรัม (จากพริกแคปชิคุมแห้ง 26 มิลลิกรัม)
  • ราคา : 8.096 /10 คะแนน
    • 1 ขวด (60 เม็ด) ราคา 628 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 10.467 บาท
  • คะแนนรวม : 24.296 /30 คะแนน

#3 NATURE’S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES

รีวิวเนเจอร์ส บาวน์ตี้ แฮร์ สกิน แอนด์ เนลส์ กัมมี่ (NATURE'S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES)
รีวิวเนเจอร์ส บาวน์ตี้ แฮร์ สกิน แอนด์ เนลส์ กัมมี่ (NATURE’S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES)

เนเจอร์ส บาวน์ตี้ แฮร์ สกิน แอนด์ เนลส์ กัมมี่ (NATURE’S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES) เป็นอาหารเสริมนำเข้าและผลิตจากประเทศอเมริกา ผลิตโดยบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริม The Bountiful Company ซึ่งแบรนด์อาหารเสริมอื่นจากต่างประเทศที่บริษัทนี้ผลิตคุณอาจคุ้นเคย เช่น Puritan’s Prid, SOLGAR, SUNDOWN และ Ester-C

จุดเด่น : รูปแบบรับประทานมาในรูปแบบของกัมมี่ ทำให้ทานได้ง่ายมาก ส่วนรสชาติก็อร่อยหมือนกัมมี่ทั่วไปที่คนไทยคุ้นเคย เรื่องกลิ่นก็ใช้ได้ค่อนข้างหอม ตัวสินค้านำเข้าจากอเมริกา และมีปริมาณไบโอตินสูงถึง 2,500 ไมโครกรัม

จุดด้อย : ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้อง (ไม่มี อย. จึงทำให้ไม่มีร้านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับของไม่มีคุณภาพหรือเป็นของปลอมได้ครับ), ขาดความหลากหลายของสารสำคัญที่จำเป็นสำหรับเส้นผม, ฝาขวดเปิดยากมาก (ต้องออกแรงกดและหมุนมากเป็นพิเศษ ), มีเมือกเล็กน้อยที่ก้นขวด, เมื่อเปิดขวดทานบ่อย ๆ ตัวกัมมี่จะเหนียวติดกันเป็นก้อน และเริ่มมีกลิ่นไม่ค่อยน่ารับประทาน (อาจเป็นเพราะจากสภาพอากาศบ้านเราที่ค่อนข้างร้อนก็ได้ครับ)

รีวิว NATURE'S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES
รีวิว NATURE’S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES

เมื่อเทียบกับกระปุกเดิมที่เคยทานอยู่ กระปุกที่ได้มาใหม่ไม่แน่ใจว่าเป็นของปลอมหรือเปล่านะครับ เพราะมีข้อแตกต่างอยู่ 4 จุด (ก่อนซื้อยี่ห้อนี้แนะนำให้ระวังให้มากเป็นพิเศษเลยครับ)

  • สีฝาขวดสีไม่เหมือนกัน (กระปุกเดิมสีเข้มกว่า)
  • ฟอนต์ฝาขวด (กระปุกเดิมฟอนต์หนากว่า)
  • ก้นขวด (กระปุกเดิมก้นมน ส่วนกระปุกใหม่ก้นเหลี่ยม และรหัสตัวเลขไม่เหมือนกัน)
  • เศษก้อน (กระปุกเดิมไม่มี ส่วนกระปุกใหม่มีเศษแบบนี้ประมาณ 4-5 ก้อน ไม่รู้ว่าคืออะไร ซึ่งมันไม่ควรมี)

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9.5 /10 คะแนน  (ไม่มี อย. -0.5 คะแนน)
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 5.5 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 5/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 2,500 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (2 ชนิด) : 0.5/2 คะแนน
      • วิตามินซี : 15 มิลลิกรัม
      • วิตามินอี : 6.7 มิลลิกรัม (เทียบเท่า 6.7 หน่วยสากล)
    • สารสำคัญอื่น ๆ (0 ชนิด) : 0/3 คะแนน
  • ราคา : 9.152 /10 คะแนน
    • 1 กระปุก (140 เม็ด) ราคา 890 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด :  6.357 บาท
  • คะแนนรวม : 24.152 /30 คะแนน

#4 VISTRA REGOW

รีวิววิสทร้า รีโกว์ (VISTRA REGOW) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ที่คนไทยคุ้ยเคยกันดี
รีวิววิสทร้า รีโกว์ (VISTRA REGOW) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ที่คนไทยคุ้ยเคยกันดี

วิสทร้า รีโกว์ (VISTRA REGOW) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ที่คนไทยคุ้ยเคยกันดี จ้างผลิตโดยบริษัทโปรโนวา แลบบอราทอรีส์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตอาหารเสริม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ (ผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP, HACCP, DMSc)

จุดเด่น : เชื่อถือได้ในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย เป็นสูตรที่เน้นไปที่สารอื่น ๆ มากกว่าวิตามินและแร่ธาตุ แม้จะมีไบโอตินน้อย แต่ใส่สารอาหารค่อนข้างหลากหลาย เพราะในสูตรจะเสริมมาด้วยวิตามินเอ (ช่วยให้ผมแข็งแรง), หญ้าหางม้า (ลดผมร่วง เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการแตกหัก และเพิ่มความเงางามให้แก่เส้นผม), L-Methionine (ชะลอผมหงอกก่อนวัย ช่วยให้ผมเรียบลื่นและเงางาม) และสารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์มาให้อีกพอประมาณ

จุดด้อย : มีปริมาณไบโอตินน้อย เป็นสูตรที่ไม่ได้เน้นวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมมากนัก ส่วนสารสำคัญอื่น ๆ ที่เสริมเข้ามา แม้จะหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณมากนัก

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 6.7 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 2/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 150 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (6 ชนิด) : 1.7/2 คะแนน
      • วิตามินเอ : 2,000 หน่วยสากล
      • วิตามินอี : 10 หน่วยสากล
      • วิตามินบี 9 : 0.2 มิลลิกรัม
      • ซีลีเนียม : 35 ไมโครกรัม
      • ธาตุทองแดง : 1 มิลลิกรัม
      • แมงกานีส : 1.7 มิลลิกรัม
    • สารสำคัญอื่น ๆ (3 ชนิด) : 3/3 คะแนน
      • สารสกัดจากสนหางม้า : 100 มิลลิกรัม
      • แอล-เมไทโอนีน : 100 มิลลิกรัม
      • สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ : 150 มิลลิกรัม
  • ราคา : 8.027 /10 คะแนน
    • 1 ขวด (30 เม็ด) ราคา 322 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 10.733 บาท
  • คะแนนรวม : 23.727 /30 คะแนน

#5 VISTRA L-Cysteine PLUS Biotin

รีวิววิสตร้า แอล-ซิสเทอีน พลัส ไบโอติน (VISTRA L-Cysteine PLUS Biotin)
รีวิววิสตร้า แอล-ซิสเทอีน พลัส ไบโอติน (VISTRA L-Cysteine PLUS Biotin)

วิสตร้า แอล-ซิสเทอีน พลัส ไบโอติน (VISTRA L-Cysteine PLUS Biotin) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ไทยอีกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงในไทย (จัดได้เป็นแบรนด์ Top 3 ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทย)

จุดเด่น : เป็นสูตรที่คัดมาเฉพาะสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมมากที่สุดเท่านั้น คือ ไบโอติน, วิตามินบี 3, วิตามินบี 5, ธาตุสังกะสี และธาตุเหล็ก แต่พระเอกของสูตรนี้จริง ๆ จะเป็นตัวแอล-ซิสเทอีน (L-Cysteine) ที่ให้มาในปริมาณมาก โดยตัวนี้จะเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพแข็งแรงและช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม (บางข้อมูลยังระบุว่า แอล-ซิสเทอีนสามารถช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (ป้องกันผมแห้ง) และรักษาความหนาของเส้นผม และการได้รับแอล-ซีสเทอินร่วมกับวิตามินบีรวม อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้) 

จุดด้อย : ราคาเฉลี่ยต่อเม็ดที่แพง (แพงเป็นอันดับ 2 รองจากยี่ห้อ LYO) มีปริมาณของไบโอตินน้อย

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 6.2 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 2/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 150 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (4 ชนิด) : 1.2/2 คะแนน
      • วิตามินบี 3 : 20 มิลลิกรัม
      • วิตามินบี 5 : 6 มิลลิกรัม
      • ธาตุสังกะสี : 7.5 มิลลิกรัม
      • ธาตุเหล็ก : 10 มิลลิกรัม
    • สารสำคัญอื่น ๆ (1 ชนิด) : 3/3 คะแนน
      • แอล-ซิสเทอีน : 500 มิลลิกรัม
  • ราคา : 8.267 /10 คะแนน
    • 1 ขวด (30 เม็ด) ราคา 294 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 9.8 บาท
  • คะแนนรวม : 23.467 /30 คะแนน

#6 NATURE’S BOUNTY Biotin 1000 mcg

รีวิวเนเจอร์ส บาวน์ตี้ ไบโอติน 1000 ไมโครกรัม (NATURE'S BOUNTY Biotin 1000 mcg)
รีวิวเนเจอร์ส บาวน์ตี้ ไบโอติน 1000 ไมโครกรัม (NATURE’S BOUNTY Biotin 1000 mcg)

เนเจอร์ส บาวน์ตี้ ไบโอติน 1000 ไมโครกรัม (NATURE’S BOUNTY Biotin 1000 mcg) แบรนด์เดียวกับตัวกัมมี่

จุดเด่น : มีปริมาณไบโอตินต่อเม็ดสูงตามงานวิจัย เป็นอาหารเสริมนำเข้าที่ผลิตจากประเทศอเมริกา และมีราคาเฉลี่ยต่อเม็ดไม่แพง

จุดด้อย : ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้าอย่างถูกต้อง (ไม่มี อย.) มีไบโอตินเพียงอย่างเดียว ทำให้ขาดความหลากหลายของสารที่จำเป็นต่อสุขภาพเส้นผม ซึ่งอย่างที่บอกไปครับว่าสาเหตุผมหลุดร่วงสุขภาพจากการขาดสารอาหาร ไม่ได้เกิดจากไบโอตินได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ได้ด้วย

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9.5 /10 คะแนน (ไม่มี อย. -0.5 คะแนน)
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 4.5 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 4.5/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 1,000 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (0 ชนิด) : 0/2 คะแนน
    • สารสำคัญอื่น ๆ (0 ชนิด) : 0/3 คะแนน
  • ราคา : 9.251 /10 คะแนน
    • 1 กระปุก (100 เม็ด) ราคา 597 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 5.97 บาท
  • คะแนนรวม : 23.251 /30 คะแนน

#7 DHC Biotin

รีวิวดีเอชซี ไบโอติน (DHC Biotin) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากญี่ปุ่น
รีวิวดีเอชซี ไบโอติน (DHC Biotin) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากญี่ปุ่น

ดีเอชซี ไบโอติน (DHC Biotin) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากญี่ปุ่น และ DHC ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น

จุดเด่น : เป็นวิตามินแบบ Time-Release คือละลายช้าให้ร่างกายค่อย ๆ ดูดซึม, เป็นยี่ห้อที่มีปริมาณไบโอตินพอประมาณ (500 ไมโครกรัม) คือ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป, ราคาต่อเม็ดไม่แพง และค่อนข้างไว้ใจได้ในเรื่องของคุณภาพ

จุดด้อย : ไม่มี อย. มีไบโอตินเพียงอย่างเดียว ทำให้ขาดความหลากหลายของวิตามินหรือสารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม นอกจากนี้ ยังไม่มีงานวิจัยรองรับว่า วิตามินแบบ Time-Release จะได้ผลดีกว่าแบบธรรมดาหรือไม่ (มีงานวิจัยอื่น ๆ ที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับไบโอตินโดยตรง แต่เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับวิตามินซีที่พบว่าวิตามินซีสูตรละลายช้าเมื่อทานอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานประมาณ 2 เดือน พบว่าร่างกายมีระดับวิตามินซีไม่แตกต่างจากแบบปกติ ดังนั้น ประเด็นของรูปแบบยาจึงไม่มีผลต่อการออกฤทธิ์ในร่างกายในกรณีที่รับประทานเป็นเวลานาน และบางรายงานยังพบว่าประสิทธิภาพการดูดซึมของวิตามินละลายช้าน้อยลงด้วยเมื่อเทียบกับแบบปกติ) อีกทั้งปริมาณของไบโอตินที่ให้มาก็ไม่ได้สูงมากถึงขนาดที่ต้องปล่อยให้ละลายช้า ๆ

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9 /10 คะแนน (ไม่มี อย. -0.5 คะแนน)
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 3.5 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 3 + 0.5 (จากสูตรละลายช้า) = 3.5 /5 คะแนน
      • ไบโอติน : 500 ไมโครกรัม (สูตรละลายช้า)
    • วิตามินและแร่ธาตุ (0 ชนิด) : 0/2 คะแนน
      • สารสำคัญอื่น ๆ (0 ชนิด) : 0/3 คะแนน
  • ราคา : 9.543 /10 คะแนน
    • 1 ซอง (30 เม็ด) ราคา 145 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 4.833 บาท
  • คะแนนรวม : 22.043 /30 คะแนน

#8 BIOTIN ZINC คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รีวิวไบโอติน ซิงค์ (BIOTIN ZINC) โดยร้านยาโอสถศาลาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รีวิวไบโอติน ซิงค์ (BIOTIN ZINC) โดยร้านยาโอสถศาลาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไบโอติน ซิงค์ (BIOTIN ZINC) โดยร้านยาโอสถศาลาของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอาหารเสริมที่ผลิตโดยสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน โอสถศาลา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย

จุดเด่น : มั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย และเป็นยี่ห้อที่มีราคาเฉลี่ยต่อเม็ดถูกสุด (3.9 บาท/เม็ด) จึงเหมาะอย่างมากสำหรับใช้ป้องกันและรักษาการขาดไบโอติน

จุดด้อย : มีปริมาณไบโอตินน้อย และขาดความหลากหลายของสารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม (ในยี่ห้ออื่นแม้จะมีปริมาณไบโอตินน้อยแต่ก็ยังเสริมมาด้วยสารสำคัญอื่น ๆ) ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ขาดไบโอตินมากกว่าผู้ที่ต้องการเสริมไบโอตินเพื่อหวังผลให้ผมมีสุขภาพดีขึ้น กล่าวคือหากร่างกายของคุณไม่ได้ขาดไบโอติน การรับประทานไบโอตินสูตรนี้อาจไม่ได้ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 9.5 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 2.3 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 2/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 200 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (1 ชนิด) : 0.3/2 คะแนน
      • ธาตุสังกะสี : 15 มิลลิกรัม
    • สารสำคัญอื่น ๆ (0 ชนิด) : 0/3 คะแนน
  • ราคา : 10 /10 คะแนน
    • 1 ขวด (90 เม็ด) ราคา 275 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 3.056 บาท
  • คะแนนรวม : 21.8 /30 คะแนน

#9 NATURE BALANCE BIOTIN

รีวิวเนเจอร์ บาลานซ์ ไบโอติน (NATURE BALANCE BIOTIN)
รีวิวเนเจอร์ บาลานซ์ ไบโอติน (NATURE BALANCE BIOTIN)

เนเจอร์ บาลานซ์ ไบโอติน (NATURE BALANCE BIOTIN) แม้โรงงานผลิตจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่โรงงานผลิตก็มีความเฉพาะทาง เพราะประกอบธุรกิจประเภทการผลิตเกี่ยวกับเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค จึงมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย

จุดเด่น : มีปริมาณไบโอตินพอประมาณ (ไม่น้อยจนเกินไป) ราคาต่อเม็ดถูกเป็นอันดับ 2 (รองจาก Biotin Zinc คณะเภสัชศาสตร์ จุฬา) และมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย

จุดด้อย : มีไบโอตินเพียงอย่างเดียว จึงขาดความหลากหลายของสารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม ตัวผลิตภัณฑ์หรือแพคเกจจิ้งดูธรรมดามากเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น และเว็บไซต์ไม่มีข้อมูลการติดต่อชัดเจน กล่าวคือข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่จัดจำหน่ายและผลิตในฉลากกับในเว็บไซต์มีข้อมูลไม่ตรงกัน

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 7 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 3.5 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 3.5/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 600 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (0 ชนิด) : 0/2 คะแนน
    • สารสำคัญอื่น ๆ (0 ชนิด) : 0/3 คะแนน
  • ราคา : 9.543 /10 คะแนน
    • 1 กระปุก (60 แคปซูล) ราคา 290 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 4.833 บาท
  • คะแนนรวม : 20.043 /30 คะแนน

#10 LYO BIOTIN PLUS HORSETAIL 

รีวิวไลโอ ไบโอติน พลัส ฮอร์สเทล (LYO BIOTIN PLUS HORSETAIL)
รีวิวไลโอ ไบโอติน พลัส ฮอร์สเทล (LYO BIOTIN PLUS HORSETAIL)

ไลโอ ไบโอติน พลัส ฮอร์สเทล (LYO BIOTIN PLUS HORSETAIL) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่แจ้งว่าผลิตและนำเข้าจากประเทศอเมริกา

จุดเด่น : ผลิตและนำเข้าจากอเมริกา เป็นวิตามินเป็นสูตรที่ให้วิตามินช่วยเรื่องเส้นผมหลายชนิด แม้ยี่ห้อนี้จะมีไบโอตินน้อย แต่ก็เสริมมาด้วยสารสกัดจากหญ้าหางม้าพอประมาณ (ช่วยให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการแตกหักของเส้นผม และเพิ่มความเงางามให้กับเส้นผม) ให้วิตามินที่จำเป็นเส้นผม และมี L-Methionine (ชะลอผมหงอกก่อนวัย ช่วยให้ผมเรียบลื่นและเงางาม)

จุดด้อย : ราคาเฉลี่ยต่อเม็ดที่สูงมาก (29.667 บาท) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คะแนนรวมไม่ดี* (แต่ถ้าไม่ได้วัดเรื่องราคา ยี่ห้อนี้ก็ถือว่าอยู่ในอันดับกลาง ๆ มีคะแนนเป็นรองแค่ยี่ห้อ Nature’s Bounty และ VISTRA) และยังมีปัญหาเรื่องของฉลากที่สร้างความสับสนเล็กน้อย คือ

  • หน้ากล่องระบุว่าเป็นไบโอติน 4,500 ไมโครกรัม ถ้าไม่ได้ดูฉลากดี ๆ ก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้เลยว่าคือปริมาณต่อเม็ด เพราะเมื่อพลิกดูที่ฉลากหลังกล่องก็จะพบว่าปริมาณไบโอตินต่อเม็ดจริง ๆ คือ 150 ไมโครกรัม (ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า 4,500 คงมาจากจำนวนเม็ดในกระปุกที่คูณด้วย 150 ไมโครกรัม รวมเป็น 4,500 ไมโครกรัม ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน)
  • ปริมาณของซีลีเนียมที่ระบุไว้ 7 มิลลิกรัม ถ้าคิดจาก 1% ของ Selenium Amino Acid Chelate จะเท่ากับ 70 ไมโครกรัม
  • ปริมาณของธาตุสังกะสีหรือซิงค์ที่ระบุไว้ 75 มิลลิกรัม ถ้าคิดจาก 20% ของ Zinc Amino Acid Chelate จะเท่ากับ 15 มิลลิกรัม

คะแนน :

  • ความน่าเชื่อถือ (แบรนด์) : 8 /10 คะแนน
  • จำนวนและปริมาณของสารสำคัญ : 5.7 /10 คะแนน
    • ไบโอติน : 2/5 คะแนน
      • ไบโอติน : 150 ไมโครกรัม
    • วิตามินและแร่ธาตุ (3 ชนิด) : 1.7/2 คะแนน
      • วิตามินบี 5 : 6 มิลลิกรัม
      • ธาตุสังกะสี : 15 มิลลิกรัม (จาก 20% ของ Zinc Amino Acid Chelate)
      • ซีลีเนียม : 70 ไมโครกรัม (จาก 1% ของ Selenium Amino Acid Chelate)
    • สารสำคัญอื่น ๆ (2 ชนิด) : 2/3 คะแนน
      • หญ้าหางม้า : 125 มิลลิกรัม
      • แอล-เมไทโอนีน : 75 มิลลิกรัม
  • ราคา : 3.162 /10 คะแนน
    • 1 กระปุก (30 เม็ด) ราคา 890 บาท
    • ราคาเฉลี่ยต่อเม็ด : 29.667 บาท
  • คะแนนรวม : 16.862 /30 คะแนน

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่ได้กังวลเรื่องราคายี่ห้อนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่ายี่ห้ออื่นแต่อย่างใด เพราะถ้าตัดคะแนนเรื่องราคาออกไป ยี่ห้อ LYO จะอยู่อันดับ 7 รองจากยี่ห้อ Nature’s Bounty และ VISTRA

หมายเหตุ : สำหรับการจัดอันดับโดยไม่อิงคะแนนเรื่องราคา โดยวัดเฉพาะความน่าเชื่อถือกับจำนวนและปริมาณสารสำคัญ จะมีการเปลี่ยนแปลงของอันดับดังนี้ (เต็ม 20 คะแนน)

  1. REGENEZ : 18.5 คะแนน
  2. BLACKMORES BIOTIN H+ : 16.2 คะแนน
  3. VISTRA REGOW : 15.7 คะแนน
  4. VISTRA L-Cysteine PLUS Biotin : 15.2 คะแนน
  5. NATURE’S BOUNTY HAIR SKIN & NAILS GUMMIES : 15 คะแนน
  6. NATURE’S BOUNTY Biotin 1000 mcg : 14 คะแนน
  7. LYO BIOTIN PLUS HORSETAIL : 13.7 คะแนน
  8. DHC Biotin : 12.5 คะแนน
  9. BIOTIN ZINC คณะเภสัชศาสตร์ จุฬา : 11.8 คะแนน
  10. NATURE BALANCE BIOTIN : 10.5 คะแนน

ตารางเปรียบเทียบอาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วง

ตารางเปรียบเทียบอาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วง
ตารางเปรียบเทียบอาหารเสริมบำรุงผม/แก้ผมร่วง (อัพเดท 2023)

คำแนะนำอื่น ๆ

ข้อมูลและงานวิจัยอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ