27 ประโยชน์ของใบแปะก๊วย (Ginkgo) สรุปจากงานวิจัย !

ประโยชน์ของใบแปะก๊วย (Ginkgo biloba) ที่เป็นไปได้จากงานวิจัย

แปะก๊วย

แปะก๊วย (Ginkgo หรือ Ginkgo biloba) คือ พืชสมุนไพรเก่าแก่ที่มีใช้มาแต่โบราณโดยเฉพาะในประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ต้นแปะก๊วยจัดเป็นไม้ผลัดใบที่มีลำต้นขนาดใหญ่ ลักษณะของใบเป็นรูปพัด เป็นพืชที่จัดในวงศ์ GINKGOACEAE และมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า Maidenhair, Tanakan, Tebonin, Rökan, Ginkobaum, Bai-guo

สำหรับส่วนที่นำมาใช้ทำยาได้นั้นมีทั้งส่วนของใบและเมล็ด แต่การวิจัยสมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่สารสกัดที่ได้มาจากใบแปะก๊วยเป็นหลัก เนื่องจากใบแปะก๊วยประกอบไปด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์อย่างฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และเทอร์พีนอยด์ (Terpenoids) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด จึงอาจส่งผลดีต่อสุขภาพสมอง หัวใจ ดวงตา รวมถึงอาการอื่น ๆ อีกหลายประการ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการศึกษาถึงประโยชน์มากมายเกี่ยวกับสารสกัดจากใบแปะก๊วย แต่คนส่วนใหญ่ยังมักเลือกทานเพื่อวัตถุประสงค์ช่วยเสริมการทำงานของสมอง (เช่น ความคิด ความจำ) และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเป็นหลักเป็นหลัก

ประโยชน์ของสารสกัดจากใบแปะก๊วย

ในหัวนี้จะพูดถึงเฉพาะประโยชน์ของแปะก๊วยในรูปของ “สารสกัดจากใบแปะก๊วย” (Ginkgo biloba extract) เท่านั้น เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Ginkgo biloba extract (บางผลิตภัณฑ์อาจใช้ชื่อเรียกอื่นว่า GBE, GBE-761 หรือ EGb-761) และต่อไปนี้คือประโยชน์เด่น ๆ ของแปะก๊วยที่เราได้รวบรวมมา

1. ต้านอนุมูลอิสระ แปะก๊วยเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม (1, 2) เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และเทอร์พีนอยด์ (Terpenoids) ซึ่งมีส่วนช่วยปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาทและสมอง ตับ และจอประสาทตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ (3)

2. ลดการอักเสบ การศึกษาทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ต่างแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (4, 5) จึงอาจส่งผลดีต่อการรักษาโรคหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง, โรคข้ออักเสบ, โรคลำไส้อักเสบ, โรคหัวใจ ฯลฯ แม้ข้อมูลนี้จะมีประโยชน์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

5. ความคิดความจำ ยังเป็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแปะก๊วยในด้านนี้ แต่งานวิจัยส่วนใหญ่ระบุว่าแปะก๊วยอาจช่วยเรื่องความคิดความจำได้เล็กน้อยในผู้มีสุขภาพดี โดยเฉพาะในคนวัยกลางคนและวัยสูงอายุ แต่ยังไม่ชัดเจนมีผลต่อคนวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีหรือไม่ (11) จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพ

10. โรคจิตเภท (Schizophrenia) การเสริมแปะก๊วยในผู้ที่เป็นโรคจิตเภทดูเหมือนจะมีประโยชน์เมื่อใช้เป็นการรักษาเสริมควบคู่ไปกับการรักษาหลัก เช่น การใช้ร่วมกับยา Haloperidol (39), ยา Clozapine (40) ที่พบว่าแปะก๊วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาของยาดังกล่าวได้

11. โรคออทิสติก (Autistic Disorder) การเสริมสารสกัดแปะก๊วย 100 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้น โดยเฉพาะอาการสมาธิสั้น หงุดหงิด ไม่สบตา และพูดจาไม่เหมาะสม จึงมีคำแนะนำว่าอาจใช้แปะก๊วยเป็นยาเสริมในการรักษาได้ (แต่ไม่มีศักยภาพเมื่อนำมาใช้เป็นยาหลัก) (41) อย่างไรก็ตาม การทดลองแบบ Double-blind กลับพบว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยวันละ 80-120 มก. ร่วมกับยาริสเพอริโดน (Risperidone) ซึ่งเป็นยารักษาหลัก ให้ผลลัพธ์ในการรักษาไม่ต่างจากกลุ่มที่ได้รับยาหลอกร่วมกับยาริสเพอริโดน (42) จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

12. โรคสมาธิสั้น (ADHD) การศึกษาพบว่าการเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วย 240 มก. เป็นเวลา 3-5 สัปดาห์ อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการรักษาเด็กที่มีสมาธิสั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม (43) ส่วนอีกการศึกษาพบว่าเด็กสมาธิสั้นที่เสริมแปะก๊วยวันละ 80-120 มก. เป็นเวลา 6 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพในการรักษา แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับยารักษาหลักอย่างเมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) ก็ตาม (44)

13. เพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ การศึกษาหนึ่งพบว่าการเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วยวันละ 240 มก. เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ได้รับยา Trimipramine สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้โดยการช่วยลดความถี่ของการตื่นนอนตอนกลางคืน และยืดระยะเวลาการนอนหลับที่ไม่ใช่ช่วง REM (Non-REM) (45)

17. ลดอาการก่อนมีประจำเดือน PMS (Premenstrual Syndrome) การศึกษาเบื้องต้นพบว่าแปะก๊วยอาจช่วยลดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนได้ โดยพบว่าการเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วย 40 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 รอบก่อนมีประจำเดือน สามารถช่วยลดอาการเจ็บคัดตึงเต้านมและอาการทางประสาทได้ (เช่น กระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน โกรธง่าย วีนเหวี่ยงผิดปกติ) (55) สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่พบว่าการเสริมในขนาดเดียวกันช่วยลดความรุนแรงโดยรวมของอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (23.68% ต่อ 8.74%) (56)

19. ลดอาการปวดจากภาวะ Diabetic sensorimotor polyneuropathy คือ ? การศึกษาขนาดเล็กใน 134 คนที่มีความเสียหายของเส้นประสาทประเภทหนึ่งเนื่องจากโรคเบาหวาน (diabetic sensorimotor polyneuropathy) แสดงให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย 120 มก. วันละครั้งหลังอาหารเช้าเป็นเวลา 6 เดือน ช่วยลดอาการปวดได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่มีอาการปวดเพิ่มขึ้น (61) และจากผลการศึกษานี้ แนวทางของ American Academy of Neurology ในปี 2021 ได้ระบุว่าแปะก๊วยอาจมีแนวโน้มที่จะช่วยอาการปวดได้มากกว่ายาหลอก (62)

21. อาจช่วยลดความถี่ของอาการปวดจากโรคเรเนาด์ (Raynaud’s disease) ซึ่งอาการมักเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ โดยการศึกษาขนาดเล็กชิ้นหนึ่งในชายและหญิงที่เป็นโรคเรเนาด์ พบว่าการใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วย 120 มก. วันละ 3 ครั้ง รวม 360 มก. เป็นเวลา 2 เดือน ช่วยลดความถี่ของอาการเกิดอาการนี้ได้ (จาก 13 เป็น 6 ครั้ง) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (จาก 14 เป็น 10 ครั้ง) แต่ไม่ช่วยลดความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่มีอาการปวด (67) สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่พบว่าการเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วยวันละ 120 มก. ช่วยลดความถี่ได้ (68) อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาที่ใหม่กว่ากลับพบว่าสารสกัดจากใบแปะก๊วยไม่ได้ช่วยลดความถี่ ระยะเวลา และความรุนแรงของโรคแต่อย่างใดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (69)

22. ลดอาการของภาวะ Tardive Dyskinesia (TD) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถควบคุมได้และมีสาเหตุมาจากการใช้ยาต้านโรคจิตเป็นเวลานาน โดยจากการทดลองพบว่าการเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วย 240 มก. ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถเพิ่มระดับความเข้มข้นของ BDNF และช่วยลดหรือบรรเทาอาการของภาวะนี้ได้ (BDNF เป็นโปรตีนที่ผลิตขึ้นในสมองและมีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ประสาทในสมอง ในผู้ที่มีภาวะ TD มักมีระดับ BDNF ที่ต่ำกว่าปกติ นั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวที่ไม่สามารถควบคุมได้อาจเกิดจากการทำลายเซลล์ประสาทในสมอง ซึ่งส่งผลต่อระดับ BDNF ในระยะยาว) (70)

23. โรคด่างขาว (Vitiligo) การเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วย 40 มก. วันละ 3 ครั้ง (รวม 120 มก.) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ พบว่ามีการสร้างเม็ดสีใหม่และหยุดการแพร่กระจายของโรคด่างขาวได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (71) สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่การเสริมสารสกัดจากใบแปะก๊วยวันละ 120 มก. ทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ สัมพันธ์กับอัตราการสร้างเม็ดสีใหม่เพิ่มขึ้น 15% และลดขนาดรอยโรคได้ 0.4% (72)

24. ภาวะสูญเสียการได้ยิน การศึกษาในผู้ป่วยที่มีภาวะประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ (ISSHL) ที่สูญเสียการได้ยินอย่างน้อย 15 เดซิเบลขึ้นไป จำนวน 106 คน พบว่าการรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วย 120 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความเร็วในฟื้นตัวของผู้ป่วยที่มีภาวะนี้ (73)

25. สุขภาพผิว ครีมบำรุงผิวบางผลิตภัณฑ์อาจมีการใช้แปะก๊วยเป็นส่วนผสม เนื่องจากแปะก๊วยมีสารฟลาโวนอยด์และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาผลของการใช้ครีมบำรุงผิวหนัง (มีสารฟลาโวนอยด์จากใบแปะก๊วย 0.3%) เป็นเวลา 28 วัน พบว่าความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (27.88%), ผิวเรียบเนียนขึ้น (4.32%), ความหยาบกร้านของผิวลดลง (0.4%) และริ้วรอยลดลง (4.63%) (74)

26. สุขภาพผม การศึกษาในหลอดทดลองพบว่าสารสกัดเอทานอล 70% จากใบแปะก๊วยช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม (75)

27. ประสิทธิภาพการออกกำลังกาย การใช้สารสกัดจากใบแปะก๊วยร่วมกับสมุนไพร Rhodiola crenulata ในอัตราส่วน 1:9 (รวม 1,080 มก.) ที่เรียกว่า Rhodiola-Ginkgo Capsule (RGC) ในผู้ชายที่มีสุขภาพดี เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายแบบใช้ความอดทน โดยเพิ่มการใช้ออกซิเจนและป้องกันความเหนื่อยล้า (VO2 Max เพิ่มขึ้น) (76)

ผลข้างเคียงและความปลอดภัย

โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแปะก๊วยค่อนข้างมีความปลอดภัย แต่ในบางรายก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ (โดยเฉพาะเมื่อใช้ในขนาดสูงเกินกว่าที่ฉลากแนะนำ) เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว ปวดท้อง ผื่น เกิดอาการแพ้ หรือระดับโซเดียมต่ำ ส่วนข้อกังวลด้านความปลอดภัยอื่น ๆ นั้นมีคำแนะนำดังนี้

คำแนะนำและข้อควรรู้

ขนาดที่แนะนำตามงานวิจัย

ขนาดที่แนะนำต่อไปนี้เป็นขนาดที่ใช้ในงานวิจัยและพบว่าได้ผลดี โดยจากปริมาณต่อวันแนะนำให้แบ่งรับประทานเป็นวันละ 3 ครั้งพร้อมอาหาร เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและเพิ่มการดูดซึมของร่างกาย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแปะก๊วย

แปะก๊วยเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พบการปลอมปนมากที่สุดในท้องตลาด โดยผลการทดสอบจาก ConsumerLab พบผลิตภัณฑ์แปะก๊วยยอดนิยม (ยี่ห้อชื่อดัง) ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบมากถึง 6 จาก 10 รายการ โดยบางผลิตภัณฑ์ตรวจพบว่ามีสารสกัดจากใบแปะก๊วยไม่ถึง 3% ของปริมาณที่ระบุไว้ในฉลาก แต่ยี่ห้อที่เหลือนั้นดูเหมือนจะตรวจพบการเจือปนของสารประกอบจากพืชชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แปะก๊วย (ตัวอย่างเช่น แม้แปะก๊วยจะมีสาร Quercetin ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอลไกลโคไซด์ แต่ส่วนใหญ่แล้วสารนี้จะถูกไฮโดรไลซ์ในระหว่างการสกัด แต่ผลการทดสอบกลับพบว่ามี Quercetin ที่ไม่ผ่านการไฮโดรไลซ์ในปริมาณมากผิดปกติในผลิตภัณฑ์ที่มีเฉพาะส่วนผสมของแปะก๊วยเพียงอย่างเดียว นี่จึงเป็นหลักฐานว่ามีการใช้พืชชนิดอื่นที่มีสาร Quercetin เสริมเข้าไปในแปะก๊วยคุณภาพต่ำเพื่อลดต้นทุน เนื่องจากแปะก๊วยที่มีคุณภาพดีนั้นเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพง เพราะต้องใช้ใบแห้งถึง 50 ปอนด์เพื่อให้ได้สารสกัดที่ออกฤทธิ์ได้เพียง 1 ปอนด์)

ดังนั้นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปะก๊วย จึงควรเลือกจากยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือสูงและมีมาตรฐานที่ดีในการผลิต ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ GINKGO BILOBA EXTRACT 40 MG (จิงโก บิโลบาสกัด 40 มก.) ของ MEGA We care ที่เราได้นำมาวิเคราะห์ถึงจุดเด่นจุดด้อยให้ผู้อ่านดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้เกิดไอเดียในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นี้

รีวิวผลิตภัณฑ์ GINKGO BILOBA EXTRACT 40 MG (จิงโก บิโลบาสกัด 40 มก.)

อย่างแรกมาเริ่มกันที่ความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิตก่อนครับ แน่นอนว่าหลายคนรู้จักยี่ห้อนี้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ ของผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทย แต่ทราบหรือไม่ว่า เมก้านั้นเป็นโรงงานผลิตยาเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ผ่านการรับมาตรฐานการผลิต (GMP) ระดับสากลถึง 2 สถาบัน คือ TGA จากประเทศออสเตรเลีย และ BfArM จากประเทศเยอรมนี โดยทุก ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจะต้องผ่านขั้นตอนการวิจัยการผลิต การควบคุมคุณภาพ และการตรวจสอบสารปนเปื้อนและโลหะหนักก่อนเสมอ และในกระบวนการผลิตยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูง คือ ? ดังนั้น ในเรื่องมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยจึงนับว่าเชื่อถือได้ครับ

มาที่ตัวผลิตภัณฑ์กันบ้างครับ ตัว GINKGO BILOBA EXTRACT 40 MG นั้นเป็นผลิตภัณฑ์แปะก๊วยที่อยู่ในรูปของแคปซูลนิ่มที่แตกตัวและดูดซึมได้ดีกว่าแบบเม็ดหรือแบบแคปซูลทั่ว ๆ ไป ตัวบรรจุภัณฑ์ภายนอกออกแบบมาดีตามมาตรฐานการผลิตยา ขวดเป็นพลาสติกเกรดยาทึบแสง 100% ฝาขวดเปิดปิดได้แน่นสนิทมาก ส่วนเรื่องปริมาณความเข้มข้นของสารสกัดจากใบแปะก๊วยคือ 40 มิลลิกรัม/แคปซูล ตรงนี้นับว่าเป็นขนาดความเข้มข้นที่เหมาะสม คือ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และสามารถบริหารขนาดยาได้ดีกว่า เพราะถ้าเราอ้างอิงงานวิจัยที่ใช้ในการรักษาหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นใช้ในขนาดวันละ 120 มิลลิกรัม ซึ่งการแบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งพร้อมอาหารก็ถือว่าครบพอดีตามงานวิจัย อีกทั้งยังได้ผลดีกว่าในเรื่องการดูดซึม เพราะถ้าเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์แปะก๊วยที่มีความเข้มข้นหรือขนาดสูงกว่านี้ เช่น 80 หรือ 120 มก./แคปซูล แล้วรับประทานเพียงครั้งเดียว จะดูดซึมได้ดีไม่เท่าการแบ่งรับประทานวันละหลายครั้ง นอกจากนี้ ในบางอาการก็แนะนำให้ใช้ในขนาด 40 มก. วันละ 3 ครั้ง มากกว่าการใช้เพียงครั้งเดียว เช่น อาการก่อนมีประจำเดือน PMS ของคุณผู้หญิง ซึ่งจะให้ผลดีกว่า เป็นต้น

สำหรับด้านการวิเคราะห์คุณภาพ ถ้าเราดูจากฉลาก ใน 1 แคปซูล จะมีสารสกัดจากใบแปะก๊วย 40 มก. (เทียบเท่าใบแปะก๊วย 2,000 มก. และให้สารสกัดฟลาโวนอลไกลโคไซด์ 9.6%) ตรงนี้ก็วิเคราะห์ได้ง่าย ๆ ว่าผลิตภัณฑ์นี้มีคุณภาพเดียวกับที่ใช้ในงานวิจัย เนื่องจากมีความเข้มข้นของสารสกัดมากกว่าใบแห้งประมาณ 50 เท่า (ใบแห้ง 2,000 มก. : สารสกัด 40 มก.) และมีสารฟลาโวนอลไกลโคไซด์ (Flavonglycosides) 9.6 มก. หรือคิดเป็น 24% และส่วนที่เหลือจะเป็นเทอร์พีนแลคโตน (Terpene Lactones) 6% ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าผ่านเช่นกันครับ

จุดเด่น :
  • ไว้ใจได้ในเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย
  • เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตภายใต้มาตรฐานการผลิตยาในระดับสากล
  • ความเข้นข้นเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
  • ออกฤทธิ์ได้ตามงานวิจัย
  • ให้ประโยชน์ครอบคลุมเมื่อทานวันละ 3 ครั้ง
  • แคปซูลนิ่มที่แตกตัวและดูดซึมได้ดีกว่า
  • บรรจุภัณฑ์ได้มาตรฐาน บรรจุในพลาสติกเกรดยา
  • ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแปะก๊วย
ข้อควรพิจารณา :
  • ปริมาณสารสกัดน้อยกว่าบางยี่ห้อ
  • อาจต้องทานวันละ 3 ครั้ง

โดยรวมแล้วผลิตภัณฑ์ GINKGO BILOBA EXTRACT 40 MG เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือได้สูงและได้มาตรฐานตามงานวิจัย ความเข้มข้นของสารสกัดอยู่ในปริมาณกำลังดีตามงานวิจัย ใช้แคปซูลแบบนิ่มที่แตกตัวและดูดซึมได้ดีกว่าแคปซูลทั่วไป การรับประทานวันละ 3 ครั้ง (120 มก.) ให้ประโยชน์ครอบคลุมเกือบทุกอาการสำคัญโดยเฉพาะประโยชน์ด้านสมองและการไหลเวียนเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์จากใบแปะก๊วยที่ควรเริ่มจากปริมาณน้อยก่อนแล้วถ้าอาการไม่ดีขึ้นค่อยเพิ่มปริมาณตามคำแนะนำของแพทย์

สรุป

แปะก๊วยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างปลอดภัย มีหลายรูปแบบ และดูหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพเมื่อรับประทานในขนาดวันละ 120-240 มก. โดยเฉพาะการเพื่อวัตถุประสงค์ช่วยเสริมการทำงานของสมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าแปะก๊วยเป็นผลิตภัณฑ์ที่พบการปลอมปนมากที่สุด ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่ไว้ใจได้และมีความน่าเชื่อถือสูงเท่านั้น และเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่น ๆ ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

งานวิจัยอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อวันที่ 05 พ.ค. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ