แครอท สรรพคุณและประโยชน์ของแครอท 25 ข้อ ! (Carrot)

แครอท สรรพคุณและประโยชน์ของแครอท 25 ข้อ ! (Carrot)

แครอท

แครอท ชื่อสามัญ Carrot

แครอท ชื่อวิทยาศาสตร์ Daucus carota L. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)

แครอท เป็นพืชในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง เป็นที่นิยมปลูกและรับประทานทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าดินสอไปจนถึงขนาดใหญ่ และมีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีม่วง แต่ที่นิยมรับประทานนั้นจะเป็นแครอทสีส้มและยังจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วย

แครอทเป็นผักหรือผลไม้ ?

ตอบ แครอทเป็นผัก เพราะแครอทคือส่วนของราก ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพืชนั่นเอง แครอทจึงไม่ใช่ผลไม้

แครอทอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือสาร “ฟอลคารินอล” (falcarinol) ซึ่งช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เป็นต้น สำหรับประโยชน์ของแครอทนั้นที่เด่น ๆ ก็เห็นจะเป็นการนำมาใช้ประกอบอาหารได้อย่างหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว ทั้งผัด ทอด แกง ต้ม ซุป สลัด ยำ ก็มีแครอทเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น และยังมีเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างน้ำแครอทปั่นอีกด้วย ยังไม่หมดเท่านี้สรรพคุณของแครอทที่ใช้เป็นยารักษาโรคก็ใช้รักษาได้อย่างหลากหลายเช่นกัน

สรรพคุณของแครอท

  1. ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง
  2. ช่วยป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายจากมลภาวะแสงแดดต่าง ๆ
  3. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
  4. ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหงือก เล็บ ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  5. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  6. รูปแครอทช่วยสร้างสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  7. ช่วยยับยั้งต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
  8. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
  9. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  10. ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
  11. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด
  12. ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนัง
  13. ช่วยบำรุงเส้นผม
  14. ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต
  15. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว
  16. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก
  17. ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทยรอยด์เป็นพิษ
  18. ช่วยย่อยอาหาร และช่วยแก้และบรรเทาท้องผูก
  19. แครอทมีสรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
  20. ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน
  21. ช่วยรักษาฝี แผลเน่าต่าง ๆ

ประโยชน์ของแครอท

  1. นิยมนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน
  2. ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพหรือน้ำแครอท หรือนำมาทำเป็นเค้กแครอท
  3. ในด้านความงาม นำน้ำแครอทผสมมะนาว ทาผิวหน้าบำรุงผิวพรรณ ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
  4. ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น สบู่แครอท เป็นต้น

คุณค่าทางโภชนาการของแครอท ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 41 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 9.6 กรัม
  • น้ำตาล 4.7 กรัม
  • เส้นใย 2.8 กรัม
  • ไขมัน 0.24 กรัม
  • โปรตีน 0.93 กรัม
  • วิตามินเอ 835 ไมโครกรัม 104%
  • เบตาแคโรทีน 8,285 ไมโครกรัม 77%
  • ลูทีนและซีแซนทีน 256 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี 1 0.066 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินบี 2 0.058 มิลลิกรัม 5%
  • วิตามินบี 3 0.983 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี 5 0.273 มิลลิกรัม 5%
  • วิตามินบี 6 0.138 มิลลิกรัม 11%
  • วิตามินบี 9 19 ไมโครกรัม 5%
  • วิตามินซี 5.9 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินอี 0.66 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมงกานีส 0.143 มิลลิกรัม 7%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุโพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม 7%
  • ธาตุโซเดียม 69 มิลลิกรัม 5%
  • ธาตุสังกะสี 0.24 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 3.2 ไมโครกรัม

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

วิธีทำน้ําแครอท

  1. อันดับแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ แครอท 1 ผล / น้ำเชื่อม 1 ถ้วย / เกลือ 2 ช้อนชา / น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ / และน้ำต้มสุก 4 ถ้วย
  2. นำแครอทมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
  3. จากนั้นนำแครอทที่ได้ใส่โถปั่น แล้วตามด้วยน้ำเชื่อม น้ำต้มสุก น้ำมะนาว และเกลือ
  4. ปั่นจนเนื้อละเอียด เป็นอันเสร็จจะได้น้ำแครอทฝีมือเราแล้ว (จะดื่มสด ๆ หรือนำไปแช่เย็นหรือเติมน้ำแข็งก็ได้ตามใจชอบเลย)
  5. หรืออีกสูตรให้นำแครอทที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ครึ่งถ้วย / น้ำเชื่อม 5 ช้อนโต๊ะ / น้ำแข็งบด 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกันก็อร่อยใช้ได้เหมือนกัน เสร็จแล้ววิธีทำน้ำแครอท

การรับประทานแครอทให้ได้คุณค่าทางอาหารอย่างสูงสุด มีคำแนะนำว่าควรปรุงให้สุกก่อนนำมารับประทาน เนื่องจากแครอทมีผนังเซลล์ที่แข็ง การรับประทานแบบดิบ ๆ จะได้รับประโยชน์ไม่เต็มที่ เพราะร่างกายได้รับสารเบตาแคโรทีนไม่ถึง 25% การทำให้สุกก่อนนำมารับประทานจะทำให้ผนังเซลล์ที่แข็งตัวสลายออกไป ทำให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนได้อย่างสูงสุด และมีคำแนะนำว่าควรรับประทานแครอทร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากเบตาแคโรทีนละลายได้ดีในไขมัน จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนได้มากกว่าครึ่งจากการรับประทานปกติ (ที่มา : หนังสือชีวจิต)

แต่มีงานวิจัยล่าสุดออกมาว่าไม่ควรหั่นแครอทเป็นชิ้น ๆ ก่อนนำมาปรุงอาหาร เพราะจะทำให้สูญเสียประสิทธิภาพของสาร “ฟอลคารินอล” ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่อยู่ในแครอท เนื่องจากการหั่นแครอทเป็นชิ้น ๆ จะไปเพิ่มพื้นที่ผิวซึ่งทำให้สารอาหารที่เราควรจะได้รับถูกกรองทิ้งลงไปรวมกับน้ำในขณะประกอบอาหาร ดังนั้นถ้าอยากให้สารอาหารครบถ้วนก็ไม่ควรนำแครอทไปหั่นก่อนการปรุงอาหาร แต่ควรนำมาหั่นหลังปรุงอาหารเสร็จแล้วจะดีกว่า

แครอทนั้นนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือสารตะกั่วที่อาจจะเป็นของแถมที่คุณไม่ต้องการ เพราะถ้าแครอทที่นำมาขายนั้นเพาะปลูกใกล้แหล่งอุตสาหกรรมหรือใกล้แหล่งน้ำที่มีสารตะกั่วปนเปื้อน จะทำให้แครอทดูดซึมสารตะกั่วเข้าไปสะสมในหัวแครอทได้ การนำมารับประทานสด ๆ จึงเท่ากับว่าร่างกายได้รับสารตะกั่วเข้าไปเต็ม ๆ แต่สารตะกั่วนั้นการปลอมปนเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติถ้าไม่เกินค่ามาตรฐานคือ 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมถือว่ารับประทานได้อย่างอย่างปลอดภัย ดังนั้นควรเลือกซื้อแครอทที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ปลอดภัย หรือเลือกรับประทานผักผลไม้ให้หลากหลาย และการรับประทานแครอทสีส้มเป็นจำมากเป็นประจำติดต่อกันอาจทำให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้ (สารตะกั่วมีผลเสียโดยตรงกับระบบประสาท ระบบการทำงานของไต ทางเดินอาหาร เซลล์ไขกระดูก อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน โรคโลหิตจาง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกง่าย)

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, หนังสือชีวจิต

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด