การมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ & ท้องแล้วมีเซ็กซ์ได้ไหม ?

เพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

เรื่องเพศเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตคู่ คู่สมรสทุกคู่จำเป็นต้องมีการปรับตัวทางเพศและแสดงบทบาทในเรื่องเพศอย่างถูกต้องเหมาะสม จึงจะทำให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิตคู่ได้ แต่คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศ บางคนก็รู้แบบผิด ๆ ถูก ๆ บางคนก็มีความเชื่อผิด ๆ และถือว่าการพูดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอาย จึงมักไม่มีใครกล้าถามคุณหมอเพื่อหาความรู้อย่างถูกต้อง แอบไปถามกันเองก็มี บ้างก็ไปหาอ่านจากในหนังสือ ซึ่งบางทีก็อาจถูก หรือบางทีก็บอกผิดเพราะเป็นความเชื่อหรือข้อมูลที่เก่าแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์หลายรายมักกังวลกับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด เพราะกลัวว่าการร่วมเพศจะทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อย หรือเกิดความรู้สึกอึดอัดจากการมีรูปร่างเปลี่ยนไป ทำให้หมดโอกาสในการร่วมเพศในท่าที่คุ้นเคย บ้างก็เกิดความวิตกกังวลหรือทำให้เกิดคำถามว่าควรจะหยุดมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ และควรจะหยุดเมื่อไหร่ ฯลฯ

เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน ในบทความนี้ผมจะขออธิบายถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการร่วมเพศขณะตั้งครรภ์ ตอบปัญหาคาใจต่าง ๆ รวมทั้งบอกท่าร่วมเพศที่เหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งคาดว่าคุณแม่คงจะได้รับประโยชน์และความเข้าใจที่ถูกต้องไม่มากก็น้อย

ปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์

ในระหว่างการตั้งครรภ์อาจทำให้คุณแม่เกิดความไม่สบายใจ ทั้งความวิตกกังวลต่าง ๆ สภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปและอารมณ์ที่แปรปรวน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้คุณแม่ขาดความกระตือรือร้นและไม่มีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์เท่าที่ควร แต่ก็ยังพบว่าปัญหาที่เป็นสิ่งกีดขวางต่อการมีเพศสัมพันธ์นั้นก็ยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

  • รูปร่างที่เปลี่ยนไป เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ในช่วงแรกคุณแม่อาจรู้สึกว่ามีความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากความรู้สึกของคุณแม่เอง พออายุครรภ์มากขึ้น เต้านมและหน้าท้องก็ขยายใหญ่ขึ้น เอวจะหายไป สะโพกจะขยายออก ต้นขาก็ใหญ่ขึ้น จึงทำให้คุณแม่บางคนขาดความมั่นใจ รู้สึกว่าตนเองอุ้ยอ้ายไม่น่าดู จึงทำให้อายที่จะเปิดเผยให้คุณพ่อได้เห็นรูปร่างที่เปลี่ยนไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจทำให้ความต้องการทางเพศของคุณแม่ลดลงได้ คุณพ่อควรแสดงออกถึงการเอาใจใส่ดูแล ให้กำลังใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคุณแม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงท่าร่วมเพศอาจจะพอช่วยในเรื่องนี้ได้ครับ
  • ไม่มีอารมณ์ทางเพศ ในช่วงการตั้งครรภ์อ่อน ๆ คุณแม่ส่วนใหญ่มักมีอาการแพ้ท้อง ทานอาหารไม่ได้ ร่างกายอ่อนเพลีย จิตใจซึมเศร้า จึงทำให้คุณแม่ยังไม่พร้อมที่จะมีความสุขในเรื่องนี้ แต่อาการเหล่านี้จะเริ่มหายไปในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งในช่วงนี้ คุณแม่จะเริ่มทานอาหารได้ รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ในระยะนี้จึงทำให้คุณแม่มีความต้องการทางเพศสูงขึ้น และจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์จนถึงระยะใกล้คลอด ฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์จะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว คุณแม่จึงมีอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย บางทีก็สดชื่น บางครั้งก็ซึมเศร้าซึ่งจะมีผลต่อความรู้สึกทางเพศด้วย ถ้าคุณแม่รู้สึกเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียก็ควรจะบอกกล่าวให้คุณพ่อได้รับรู้ด้วย ส่วนคุณพ่อก็ขอให้เข้าใจถึงเหตุผลของความสับสนทางอารมณ์ว่าเป็นเรื่องปกติและควรแสดงออกถึงความเข้าใจเห็นใจคุณแม่
  • ความวิตกกังวล คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ มักมีอารมณ์แปรปรวน อ่อนไหว หงุดหงิด โกรธง่าย น้อยใจง่าย และอาจมีความวิตกกังวลมากเป็นพิเศษว่าการมีเพศสัมพันธ์จะไม่ปลอดภัยต่อลูกในครรภ์ จึงทำให้การมีเพศสัมพันธ์ที่มีความสุขและผ่อนคลายเกิดขึ้นได้ยาก อารมณ์ทางเพศจึงมีน้อยลง แต่เมื่อครรภ์แก่ขึ้น อารมณ์จะคงที่มากขึ้น ทว่าเมื่อถึงระยะใกล้คลอดคุณแม่ก็อาจเกิดความวิตกกังวลต่อการคลอดขึ้นมาได้อีก โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการคลอดที่ผิดปกติจากคนอื่น ๆ คุณแม่ก็เลยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร เมื่อมัวแต่คิดกังวล อารมณ์ทางเพศก็เลยน้อยลงด้วย จึงมักแยกตัวจากคุณพ่อ พอแยกตัวเข้าจริงก็เกิดความว้าเหว่ หงุดหงิด เนื่องจากคนท้องมักจะต้องการคนคอยดูแลเอาใจใส่ หากคุณแม่ยังมีความกังวล เครียด และหงุดหงิด คุณแม่และคุณพ่อก็ควรจะพูดคุยปรึกษากัน เปิดเผยความรู้สึกและความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายให้เข้าใจตรงกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเก็บความวิตกกังวลในเรื่องนี้ไว้ในใจเพียงแต่ฝ่ายเดียว เพราะจะเป็นการปล่อยให้ปัญหานี้สะสมไปเรื่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อขจัดข้อกังวลต่าง ๆ ให้หมดไป
  • ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา เป็นอีกเรื่องที่มีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์อย่างมาก ในครอบครัวที่อยากมีลูก เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ทั้งคู่จะมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น จึงส่งผลให้การมีเพศสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณพ่อบางคนที่ไม่อยากมีลูก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของคุณแม่และภาระที่จะเพิ่มขึ้นในการเป็นคุณพ่อ อาจทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุข ไม่สนใจเอาใจใส่คุณแม่ และบางทีก็เกิดการนอกใจซึ่งนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีก เป็นต้นว่าคุณแม่ไม่สนใจดูแลลูกน้อยเพราะมัวแต่ไปตามหึงหวงสามี หรือคุณพ่อนำโรคติดต่อจากผู้หญิงอื่นมาสู่คุณแม่ ฯลฯ
  • ความรู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัว ในระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เต้านมและอวัยวะเพศของคุณแม่ขยายใหญ่ขึ้นและไวต่อการสัมผัสมากขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้อาจทำให้คุณแม่บางคนรู้สึกอึดอัดรำคาญได้ในบางครั้ง แต่ก็มีผลให้ความต้องการทางเพศสูงขึ้นได้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ เต้านมที่โตขึ้นจะทำให้คัดตึงและเจ็บได้ง่าย คุณแม่จึงควรอธิบายเรื่องนี้ให้คุณพ่อเข้าใจเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่รุนแรงเกินไปในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ เมื่อขนาดของครรภ์ใหญ่ขึ้น จะทำให้คุณแม่รู้สึกอุ้ยอ้ายอึดอัดและเป็นอุปสรรคต่อการมีเพศสัมพันธ์ คุณแม่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในท่าที่กดทับหน้าท้อง ในบางครั้งอาการบวมของอวัยวะเพศก็อาจทำให้คุณแม่รำคาญได้เช่นกันโดยเฉพาะในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ จึงทำให้คุณแม่ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีนี้คุณพ่ออาจสัมผัสร่างกายภายนอกของคุณแม่ด้วยความรักใคร่ คุณแม่ก็มีความสุขแล้ว

ปัจจัยที่กล่าวมานี้ล้วนแต่มีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน ถ้าถามถึงสามีภรรยาแต่ละคู่ก็จะได้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ถ้าถามถึงความต้องการทางเพศของผู้ที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ บางคู่ก็บอกว่าลดลง แต่สำหรับบางคู่ก็อาจมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น แต่เมื่อครรภ์แก่ขึ้น ความต้องการทางเพศของคุณแม่ส่วนใหญ่ก็จะลดลง ความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ก็น้อยลง และความรู้สึกถึงจุดสุดยอดก็ลดลงไปด้วยตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มิใช่ความผิดปกติแต่อย่างใด เพราะหลังจากคลอดแล้วทุกอย่างก็จะกลับสู่สภาพปกติเหมือนเดิมครับ

มีเพศสัมพันธ์ตอนตั้งครรภ์

ท้องแล้วมีเซ็กซ์ได้ไหม

เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ไม่ใช่ข้อห้ามแต่อย่างใด แต่มียกเว้นในกรณีที่คุณหมอสั่งห้ามด้วยเหตุผลทางการแพทย์บางประการ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงสามารถมีความสุขกับเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างสบายใจ และหลายคนก็พบว่าตัวเองตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศได้ดีกว่าตอนที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่ตามปกติแล้วในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะมีความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากอาการแพ้ท้อง แต่จะมีความต้องการมากขึ้นในช่วง 3 เดือนต่อมา และจะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าคุณแม่ทุกคนจะมีอาการเช่นเดียวกันหมด ในแต่ละช่วงอาจมีความต้องการทางเพศและความสุขในการร่วมเพศแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างก็ได้ และไม่ใช่แต่คุณแม่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่มีความต้องการทางเพศเปลี่ยนไป สำหรับคุณพ่อบางคนที่มีความวิตกกังวลต่อลูกในท้องก็อาจทำให้มีความต้องการลดน้อยลงได้เช่นกัน

“หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นเรื่องต้องห้าม แต่คุณเชื่อหรือไม่ ว่าในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์เลยทีเดียว”

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีเพศสัมพันธ์เมื่อใด

โดยปกติแล้วคุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามต้องการตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงระยะใกล้คลอด (ถ้าไม่มีข้อห้ามจากแพทย์ในกรณีที่ตรวจพบอาการผิดปกติ) เพราะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของคุณแม่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีเพศสัมพันธ์ตลอดการตั้งครรภ์ที่ดำเนินมาอย่างปกติ (ยกเว้นเมื่อคุณแม่เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ตลอด) เพียงแต่จะมีบางช่วงเวลาเท่านั้นที่ควรลดการมีเพศสัมพันธ์ลงบ้าง เช่น ในช่วงที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ เพราะคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะมีอาการแพ้ท้อง อ่อนเพลียง่าย วิงเวียนศีรษะ และอีกช่วงหนึ่งคือ ช่วงที่ใกล้คลอดมาก ๆ แล้ว เพราะในช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะค่อนข้างอึดอัดอุ้ยอ้าย แค่นั่งหรือเดินตามปกติก็เหนื่อยแล้ว ถ้ามีเพศสัมพันธ์กันอีกในตอนนี้จะทำให้เหนื่อยได้มากกว่าปกติ อีกทั้งการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ยังอาจทำให้ถุงน้ำคร่ำที่ล้อมรอบตัวเด็กเกิดการแตกหรือรั่ว ทำให้มีน้ำคร่ำไหลออกมาก่อนเจ็บครรภ์คลอดได้ ซึ่งผลดังกล่าวอาจทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเข้าไปในโพรงมดลูกได้

ประโยชน์ของการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

  1. เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้น การมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างนี้จะไม่มีอันตรายต่อลูกในครรภ์แต่อย่างใด เพราะลูกในครรภ์จะสุขสบายอยู่ในน้ำคร่ำที่มีถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มอยู่ภายนอกเพื่อทำหน้าที่ป้องกันอันตราย ส่วนบริเวณปากมดลูกก็จะมีมูกข้นเหนียวอุดไว้เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหลุดเข้าไปถึงโพรงมดลูกได้
  2. เพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ การใช้ท่วงท่าที่เหมาะสมจะไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์แต่อย่างใด แถมยังช่วยทำให้ลูกน้อยมีความสุขได้อีกด้วย เพราะในขณะที่คุณแม่มีความสุขอย่างเต็มที่ ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะถ่ายทอดไปยังลูกในครรภ์ด้วยนั่นเอง
  3. ในการตั้งครรภ์ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การหดเกร็งตัวของมดลูกในขณะถึงจุดสุดยอดของคุณแม่จะไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งต่อแม่และลูกน้อยในครรภ์ แถมยังช่วยให้มดลูกได้เตรียมพร้อมสำหรับการเจ็บครรภ์ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์นอกจากจะช่วยสร้างความรักความผูกพันแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของคุณแม่มีความยืดหยุ่นแข็งแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย
  4. ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นตอนตั้งครรภ์ จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและมีปริมาณเลือดไหลเวียนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่องคลอด อุ้งเชิงกราน และอวัยวะเพศภายนอกจะมีการขยายบวมตึงเหมือนกับอยู่ในภาวะตื่นตัวขณะตอบสนองต่อการกระตุ้นเร้าทางเพศ นอกจากนี้ฮอร์โมนที่สูงขึ้น ยังเป็นตัวเร่งการสร้างฮอร์โมนที่ควบคุมเม็ดสีจากสมองส่วนกลางให้มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น ผิวหนังจึงมีสีคล้ำขึ้นโดยเฉพาะลานนมและหัวนม จึงทำให้คุณแม่ดูเซ็กซี่ขึ้นด้วย
  5. เต้านมรวมทั้งลานหัวนมของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้นตามอายุครรภ์ ทำให้ไวต่อความรู้สึก (จนบางครั้งอาจทำให้รู้สึกตึงเจ็บ) และตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศได้ดี คุณแม่จึงอาจมีความสุขทางเพศมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์
  6. เลือดที่มาเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดมากขึ้น จะทำให้มีการสร้างมูกภายในช่องคลอดมากขึ้นด้วย (จะรู้สึกว่าช่องคลอดมีการหล่อลื่นได้ดีกว่าตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์ เพราะคนท้องจะมีตกขาวมากกว่าคนปกติ) ซึ่งจะช่วยให้การสอดใส่อวัยวะเพศชายในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น อวัยวะเพศและคลิตอริสที่ขยายบวมในระหว่างการตั้งครรภ์จะเอื้อให้คุณแม่ถึงจุดสุดยอดได้ง่ายและนานขึ้นกว่าตอนไม่ได้ตั้งครรภ์
  7. การที่มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดมากขึ้นจะช่วยกระตุ้นให้คุณแม่เกิดความรู้สึกทางเพศเพิ่มขึ้น ในบางรายก่อนตั้งครรภ์ก็เคยมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอดเลย ก็อาจจะถึงจุดสุดยอดขึ้นหลาย ๆ ครั้งติดกันก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนจากการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

  • ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์ ฯลฯ ความเชื่อแบบเก่าที่ว่าการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์จะทำให้ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ตกเลือด การแท้ง หรือทำให้เกิดการติดเชื้ออักเสบและเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด (แต่ถ้าเกิดขึ้นก็อาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นมากกว่า) เพราะในขณะที่ตั้งครรภ์จะมีมูกข้นเหนียวอุดอยู่ที่ปากมดลูก ซึ่งสามารถช่วยสกัดกั้นเชื้อโรคไม่ให้เล็ดลอดเข้าสู่โพรงมดลูกของคุณแม่ได้แต่อย่างใด อีกทั้งทารกในครรภ์ก็ยังมีถุงน้ำคร่ำมาห่อหุ้มไว้อีกชั้น ซึ่งจะเป็นปราการที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี คุณแม่จึงไม่ต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด
  • ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ จากการศึกษาวิจัยเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์จำนวน 200 คน ทั้งตั้งครรภ์เดี่ยวและครรภ์แฝด ในช่วงอายุครรภ์ 24-30 สัปดาห์, 30-36 สัปดาห์ และในช่วงหลังคลอด พบว่าในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มากขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่งานวิจัยนี้ยังมีปัจจัยรบกวนเกี่ยวกับเรื่องหญิงตั้งครรภ์แฝด เพราะโดยทั่วไปแล้วหญิงตั้งครรภ์แฝดจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ได้อยู่แล้ว จึงยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป
  • ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด จากการศึกษาพบว่าการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์จะไม่มีผลต่อภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
  • การคลอดก่อนกำหนด จากการศึกษาวิจัยยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์จะมีผลต่อการคลอดก่อนกำหนดหรือทำให้เกิดอาการเจ็บครรภ์คลอดในหญิงตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพดีแต่อย่างใด การมีเพศสัมพันธ์ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ไม่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดซ้ำจากครั้งก่อน และการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ 4 สัปดาห์ ก่อนครบกำหนดครับ ก็ไม่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดด้วยเช่นกัน ทั้งยังพบว่ามีการลดลงของความเสี่ยงจากการคลอดก่อนกำหนดในช่วง 2 สัปดาห์ที่มีเพศสัมพันธ์อีกด้วย
  • การเจ็บครรภ์คลอด พบว่าการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ครบกำหนดไม่มีผลต่อการเกิดอาการเจ็บครรภ์คลอดแต่อย่างใด แม้จะมีหลักฐานทางการแพทย์ที่พบว่า การที่อวัยวะเพศของผู้ชายไปกระแทกกับปากมดลูก รวมทั้งการมีน้ำอสุจิหลั่งออกมาในขณะร่วมเพศจะสามารถไปกระตุ้นให้ปากมดลูกสร้างสารเคมีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “พรอสตราแกลนดิน” (Prostaglandins) ได้ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ปากมดลูกนุ่มขึ้นและกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวก็ตาม แต่เจ้าสารที่สร้างขึ้นมานี้ก็ไม่ได้มีมากพอจนทำให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอดได้หรอกครับ ยกเว้นในกรณีที่คุณแม่ใกล้จะคลอดอยู่แล้วถึงจะเจ็บครรภ์คลอดได้
  • การตกเลือดหลังคลอด พบว่าการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์และการถึงจุดสุดยอดไม่มีผลต่อการตกเลือดหลังคลอดแต่อย่างใด
  • ผลต่อทารกในครรภ์ การมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์และการถึงจุดสุดยอดไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ ภาวะน้ำหนักน้อยในช่วงแรกคลอด การสำลักขี้เทา การตายปริกำเนิด การนอนโรงพยาบาลของทารกหลังคลอด
  • ประสบการณ์ทางเพศ จากการศึกษาประสบการณ์ทางเพศและกิจกรรมทางเพศของหญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทย ได้แก่ ความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ลดลงตลอดช่วงการตั้งครรภ์ โดยพบว่าลดลงอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ส่วนในช่วงไตรมาสที่สองจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และจะมีการลดลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความต้องการทางเพศที่น้อยลงและความกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์, ความต้องการทางเพศลดลงตลอดช่วงการตั้งครรภ์ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกจะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนทางด้านจิตใจ อาการแพ้ท้อง ความกลัวการแท้ง และอันตรายต่อทารกในครรภ์ ส่วนในช่วงไตรมาสที่สองจะเป็นผลมาจากมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์, การถึงจุดสุดยอดและความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ พบว่ามีการลดลงอย่างชัดเจนตลอดช่วงการตั้งครรภ์

ข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่คุณแม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่อคุณหมอตรวจพบว่าคุณแม่มีภาวะแทรกซ้อนบางอย่างเกิดขึ้น ก็จะแนะนำให้งดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือในระยะที่ปรากฏภาวะแทรกซ้อน คุณแม่จึงควรซักถามคุณหมอให้แน่ชัดในปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ได้แก่

  1. ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในระยะตั้งครรภ์อ่อน ๆ (ระยะ 3 เดือนแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีข้อห้ามอะไร) ในกรณีที่คุณแม่เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน เคยแท้งในระยะตั้งครรภ์อ่อน ๆ มาแล้วหลายครั้ง หรือมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเกิดการแท้งในครรภ์นี้ เพื่อเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดซ้ำอีก จนกว่าทารกในครรภ์จะเติบโตแข็งแรงเพียงพอแล้ว
  2. ถ้าคุณแม่พบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดในขณะร่วมเพศหรือหลังร่วมเพศ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และให้รีบไปพบแพทย์ในทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุและวิธีการรักษา รวมถึงขอคำแนะนำจากแพทย์ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย สาเหตุที่อาจพบได้คือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกซึ่งจะอ่อนนุ่มบวมแดงในระหว่างการตั้งครรภ์และจะมีเลือดออกได้ง่ายเมื่อได้รับการกระทบกระเทือน หากตรวจพบว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้ คุณแม่ก็ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ต่อไปได้ เพียงแต่ควรหลีกเลี่ยงการสอดใส่ที่ลึกจนเกินไป
  3. งดมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่คุณแม่ตั้งครรภ์แฝดซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดได้ง่าย
  4. ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ หรือตั้งแต่ 7 เดือนเป็นต้นไป ถ้าคุณแม่เคยมีประวัติการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน ๆ หรือมีแนวโน้มว่าจะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ในครรภ์นี้ ก็จะมีแนวโน้มว่าในครรภ์นี้จะเป็นเหมือนเดิม เมื่อใกล้คลอดคุณแม่จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์
  5. ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่คุณแม่มีน้ำเดินก่อนกำหนด (ถุงน้ำคร่ำแตก) หรือมูกเลือดออกมามาก ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอดในไม่ช้า คุณแม่จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดการอักเสบติดเชื้อและรีบไปพบแพทย์ในทันที เพราะการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปถึงโพรงมดลูกได้
  6. ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในกรณีที่สงสัยหรือพบว่าคุณแม่มีภาวะรกเกาะต่ำ เพราะอาจไปกระตุ้นให้มีเลือดออกมากจนเป็นอันตรายได้
    ในรายที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด แต่มีอาการปวดท้องเป็นพัก ๆ คล้ายปวดท้องคลอด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เพราะอาจจะทำให้คลอดลูกก่อนกำหนดได้
  7. ในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่าปากมดลูกของคุณแม่ไม่แข็งแรง อาจจะแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนด ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และรับการรักษาเพื่อป้องกันอาการดังกล่าว
  8. ในกรณีที่สามีมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนองใน แผลริมอ่อน หูดหงอนไก่ เชื้อเอชไอวี ฯลฯ

คำแนะนำในการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

  1. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หากมีข้อห้ามจากแพทย์ผู้ดูแลครรภ์
  2. ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หากคุณแม่ยังไม่พร้อมหรือไม่มีอารมณ์ร่วม
  3. ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทุกท่าตามที่ถนัด แต่ควรจะเป็นท่าธรรมดาที่ไม่รุนแรงหรือโลดโผน เมื่อครรภ์เริ่มแก่ขึ้น (ช่วง 4-6 เดือน) ขนาดของมดลูกจะโตขึ้นด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ท่วงท่าที่กดทับหน้าท้องและเต้าของคุณแม่ หรือท่าที่ต้องยกแข้ง ยกขา รวมถึงท่วงท่าที่ทำให้คุณแม่เหนื่อยมากจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว (บางครั้งอาจเป็นลมเนื่องจากมดลูกกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ในช่องท้องในขณะร่วมเพศในท่าดังกล่าวได้) และร่างกายทั้งคู่ควรอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายและสบาย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงท่านอนหงายหรือนอนตะแคงเป็นเวลานาน ๆ ท่าที่พิสดารพลิกแพลงหรือทำรุนแรง ท่าที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อฝ่ายหญิง (เช่น ท่าที่ฝ่ายหญิงห้อยหัวลง) หรือมีเพศสัมพันธ์ในที่คับแคบและเป็นอันตราย เช่น ในอ่างน้ำ ในน้ำคลอง น้ำทะเล ที่ลื่น ที่สูง เพราะจะทำให้ไม่ปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นท่าที่คุณพ่ออยู่ด้านหลัง เพราะเป็นท่าที่สะดวกสบายสำหรับคุณแม่ที่รู้สึกอึดอัดในยามนอนหงายหรือไม่อยากเหนื่อยจนเกินไป ส่วนในช่วงตั้งครรภ์ 7-9 เดือน ท้องของคุณแม่จะขยายใหญ่มากขึ้นและทำให้เหนื่อยได้ง่าย ท่าที่เหมาะสมจึงเป็นท่านอนตะแคงเข้าหากันหรือหันหน้าไปในทางเดียวกัน
  4. ไม่ควรใช้วัตถุแปลกปลอมใส่ลงไปในช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและติดเชื้อขึ้นได้ ถ้าคุณพ่อสวมใส่ถุงยางอนามัยได้ด้วยก็จะดีมากครับ เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างมีเพศสัมพันธ์จะมีการติดเชื้อทางช่องคลอดหรือเปล่า ซึ่งบางชนิดสามารถส่งตรงไปถึงลูกและตัวคุณแม่ได้
  5. สำหรับคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์บางคนที่ช่องคลอดแห้ง การใช้สารหล่อลื่นจะช่วยให้การมีเพศสัมพันธ์สะดวกและลื่นสบายยิ่งขึ้น
  6. ควรสัมผัสลูบไล้ให้ความสุขแก่กันอย่างเต็มที่และมีเพศสัมพันธ์อย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ค่อย ๆ และช้า ๆ ไม่หักโหม หรือรุนแรงมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยถลอกได้ง่ายหรือก่อให้เกิดอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ส่วนหัวนมของคุณแม่นั้นจะค่อนข้างบอบบางมากเช่นกัน คุณพ่อก็ควรระวังเช่นกัน
  7. ควรมีความอดทนและเข้าอกเข้าใจกัน ให้เวลาการมีเพศสัมพันธ์อย่างเต็มที่ ไม่ควรเป็นกังวลหรือรีบร้อนมากจนเกินไป
  8. ควรมีหมอนหนุนหลาย ๆ ใบบนที่นอนนุ่มสบาย ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่ไม่เมื่อยหรือเหนื่อยจนเกินไป
  9. ในช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ คุณแม่ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ในท่วงท่าที่ต้องการได้ แต่เมื่อครรภ์มีขนาดโตขึ้นอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อจำกัดนี้จะยุติการมีเพศสัมพันธ์ของทั้งคู่ เพราะยังมีท่าอื่น ๆ ที่ให้ความสุขได้ไม่แตกต่างกัน ทั้งยังมีความปลอดภัยและไม่เหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป หรือสามารถนำมาใช้เมื่อเริ่มกลับมามีเพศสัมพันธ์อีกครั้งในช่วงหลังการคลอดลูกก็ได้
  10. คุณแม่บางรายที่มีระดูขาวออกมากขึ้น ทำให้นึกว่าเกิดการอักเสบ จึงไม่กล้ามีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ คุณแม่ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
  11. การมีเพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องสอดใส่เข้าทางช่องคลอดเสมอไป สามารถมีได้ทั้งทางทวาร ใช้ปาก ใช้มือ ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น เซ็กซ์ทอย (ควรระมัดระวังในเรื่องของความสะอาด) หรือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองก็ได้ แต่วิธีหลังนี้จะช่วยลดความต้องการทางเพศและป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคู่ด้วย ทั้งคู่ควรปรึกษาและตกลงกันให้ดีก่อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและแตกต่างกันไปในแต่ละคน
  12. การร่วมเพศโดยใช้ปาก คุณพ่อไม่ควรเป่าลมเข้าไปในช่องคลอด เพราะมีรายงานว่าอาจทำให้คุณแม่เสียชีวิตจากอากาศเข้าไปในเส้นเลือดได้
  13. หากคุณแม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์และแพทย์ห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์แบบปกติ คุณพ่อคุณแม่ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่จะแสดงออกถึงความรักและมีความสุขร่วมกันได้ เช่น การโอบกอดสัมผัสและลูบไล้เคล้าคลึงไปตามร่างกายซึ่งกันและกัน หรือเมื่อการสอดใส่อวัยวะเพศเป็นข้อต้องห้าม แต่คุณพ่อคุณแม่ยังมีความปรารถนาซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะเดียวกันนี้ด้วยการช่วยกันสำเร็จความใคร่ ก็เป็นวิธีที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางเพศได้เป็นอย่างดี ไม่มีความผิดปกติและเป็นอันตรายแต่อย่างใด
  14. การจะมีเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัยต่อทั้งตัวคุณแม่และต่อลูกน้อยในครรภ์นั้น ที่ดีที่สุดควรต้องปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ เพราะในบางคนอาจมีภาวะความผิดปกติ เช่น ภาวะของรกเกาะต่ำ ทำให้ขณะในร่วมเพศนั้นอาจมีเลือดออกได้ง่าย หรือถ้ารุนแรงจนมีเลือดออกมาก ก็อาจจะต้องเอาเด็กออกทันที ดังนั้น คุณแม่ควรตรวจร่างกายให้พร้อม ถ้าตรวจแล้วไม่พบความปกติหรือไม่มีเงื่อนไขใดให้ต้องระวังก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุข
  15. เพศสัมพันธ์ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง คุณแม่ควรสังเกตความรู้สึกทางเพศของตัวเองและคุณพ่ออยู่เสมอ พูดคุยกันอย่างเปิดเผยถึงความต้องการซึ่งกันและกัน หากคุณพ่อหรือคุณแม่ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์เพราะกลัวว่าลูกจะเป็นอันตราย ก็ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจ และควรพูดคุยกันให้เข้าใจ เพราะยังมีทางเลือกอื่น ๆ อีกมากที่แสดงออกได้ถึงความรักใคร่ห่วงใยซึ่งกันและกัน อีกทั้งในระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายและจิตใจของคุณแม่ก็ย่อมมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเพศกับคุณพ่อไม่มากก็น้อย การดูแลเอื้ออาทรด้วยความรักจะช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่เข้าใจและรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อครรภ์โตขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เรียนรู้ที่จะมอบความสุขให้แก่กันโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ด้วยคำพูดที่อ่อนโยน การสัมผัสลูบไล้ด้วยภาษากาย ร่วมกับการช่วยเหลือให้ต่างฝ่ายต่างมีความสุข เหล่านี้ก็จะช่วยให้ทั้งคู่รู้สึกอิ่มเอมในอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

ท่วงท่าที่เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

ร่างกายของคุณแม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอาจเป็นอุปสรรคต่อการมีเพศสัมพันธ์ได้หากเป็นท่าที่คุณพ่ออยู่ด้านบน แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ท่าที่คุณพ่อและคุณแม่สามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ และให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน (แต่คุณแม่อาจรู้สึกเหนื่อยง่ายเพราะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น) เช่น

  1. Spooning position คุณพ่อจะอยู่ทางด้านหลังของคุณแม่และเลือกมุมในการสอดใส่ คุณพ่อสามารถสวมกอดคุณแม่ได้จากทางด้านหลัง เป็นท่าที่ค่อนข้างสบายเพราะไม่มีแรงกดบนหน้าท้องของคุณแม่และมีโอกาสเคลื่อนไหวได้ แต่ควรพยายามหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงขวาหากเลือกใช้ท่านี้ แถมท่านี้ยังเป็นท่าที่เหมาะอย่างยิ่งในระยะหลังคลอด เมื่อเริ่มกลับมามีเพศสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่งอีกด้วย
    เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์
  2. Side by side position ทั้งคู่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน เป็นท่าที่ช่วยให้การสัมผัสระหว่างทั้งคู่มีมากกว่าท่าแรกและเป็นท่าที่สะดวกสบายทั้งสองฝ่าย ไม่กดน้ำหนักตัวลงบนตัวของคุณแม่ แต่การสอดใส่จะต้องมีการพลิกแพลงเล็กน้อย โดยอาจต้องใช้ขาไขว้กันไปมาเพื่อช่วยในการสอดใส่
    การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์
  3. Woman on top position เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ 4-6 เดือน ขนาดของหน้าท้องยังไม่ขยายใหญ่จนเกินไป ท่านี้จึงเป็นท่าที่ทำให้คุณแม่รู้สึกดีที่สุดท่าหนึ่ง และมือทั้งสองข้างของทั้งคู่ยังสามารถสัมผัสลูบไล้ซึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ เมื่อคุณแม่นั่งอยู่ข้างบนโดยคุกเข่าเพื่อรับน้ำหนักตัวไว หน้าท้องก็จะไม่โดนกดทับมากจนเกินไป และยังสามารถควบคุมความนุ่มนวลในระดับที่ต้องการและกำหนดได้เองว่าต้องการให้เป็นไปในมุมไหน ลึกเท่าใด แต่เมื่อมีอายุครรภ์มากขึ้น คุณแม่อาจรู้สึกว่าท่านี้จะทำให้เหนื่อยมากขึ้น รวมถึงในเรื่องของการทรงตัว จึงอาจจะทำให้คุณแม่พอใจกับการอยู่ด้านล่างมากกว่า
    เซ็กซ์ระหว่างตั้งครรภ์
  4. Rear entry position เป็นท่าคุณแม่คุกเข่า มือทั้งสองยันพื้นไว้ (หรือจะให้คุณแม่ก้มตัวนอนคว่ำให้ส่วนท้องและหน้าอกวางบนที่นอนเป็นท่าโก้งโค้งก็ได้) ส่วนคุณพ่อจะสอดใส่จากทางด้านหลัง เป็นท่าที่ปลอดภัยและใช้ได้ดีอีกท่าหนึ่ง เพราะจะทำให้การสอดใส่ของคุณพ่อจะไม่ลึกจนเกินไปและไม่มีการกดน้ำหนักตัวลงบนตัวคุณแม่ คุณพ่อสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเต็มที่จากด้านหลัง สามารถใช้เมื่ออยู่บนเตียงหรือปรับร่วมกับท่าถัดไปได้
    การมีเซ็กซ์ระหว่างตั้งครรภ์ท้องแล้วมีเซ็กส์ได้ไหม
  5. Edge of the bed position เป็นอีกหนึ่งท่าที่ไม่มีการกดน้ำหนักตัวลงบนตัวของคุณแม่ โดยเป็นท่าที่คุณแม่อยู่บริเวณขอบเตียง ส่วนคุณพ่ออยู่นอกเตียงซึ่งอาจจะคุกเข่าหรืออยู่ในท่ายืนก็ได้ และอาจใช้ร่วมกับท่า Rear entry position ได้ด้วย
    ตอนท้องมีเซ็กส์ได้ไหม
  6. Adapted Missionary Position (above) เป็นท่ามิชชันนารีดัดแปลง ที่ฝ่ายคุณพ่ออยู่ด้านบน ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักของตัวเองได้ น้ำหนักของฝ่ายชายจึงไม่มาอยู่บนท้องของคุณแม่ ท่านี้จะใช้ได้ดีในช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่ครรภ์ของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่มากเกินไป
  7. ท่าตะแคงด้านข้าง โดยให้ขาคุณแม่พาดอยู่บนลำตัวของคุณพ่อ เป็นท่าที่ช่วยให้ทั้งคู่แนบสนิทกันได้โดยไม่กดทับหน้าท้อง และคุณพ่อยังสะดวกที่จะปลุกเร้าอารมณ์คุณแม่ได้อีกด้วย
  8. ท่านั่ง เป็นอีกท่าที่ช่วยหลีกเลี่ยงการกดทับบนหน้าท้องได้ คุณพ่ออาจนั่งที่ขอบเตียงหรือบนพื้นนุ่ม ๆ ส่วนคุณแม่จะนั่งอยู่บนตัก อาจหันหน้าท้องเข้าหากันได้ หากหน้าท้องของคุณแม่ยังไม่ใหญ่จนเกินไป หรือคุณแม่จะนั่งหันหลังให้คุณพ่อก็ได้ เหมาะสำหรับคุณแม่ในช่วงกลางจนถึงช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ อีกทั้งในท่านี้คุณพ่อยังสามารถใช้มือช่วยกระตุ้นตามจุดต่าง ๆ ของคุณแม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
    ท่าเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์
  9. ท่าที่ผู้หญิงยืนหันหน้าเข้าฝาผนัง โดยใช้มือยันรับน้ำหนักกับผนัง โดยให้ผู้ชายยืนอยู่ด้านหลัง

ในขณะตั้งครรภ์อาจเป็นระยะเวลาที่คุณแม่ได้ค้นพบว่า ความรักที่มีต่อกันนั้นมีค่าเพียงใด หากคุณพ่อคุณแม่อยากหลีกเลี่ยงการร่วมเพศ แต่ยังมีความต้องการต่อกัน การแสดงออกถึงความรักด้วยการโอบกอดสัมผัสลูบไล้อย่างนุ่มนวลหรือนวดตัวเพื่อช่วยให้คุณแม่ได้ผ่อนคลาย เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการสร้างความสุขร่วมกันได้อย่างดียิ่งแล้ว

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “เพศสัมพันธ์เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์).  หน้า 172-179.
  2. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “เพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ).  หน้า 113-118.
  3. ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  “การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.med.cmu.ac.th.  [07 ธ.ค. 2015].

ภาพประกอบ : www.menshealth.com, www.enkivillage.com, babycenter.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด