เซลลูไลท์
เซลลูไลท์ หรือ เซลลูไลต์ (Cellulite) หรือที่บ้างก็เรียกว่า “ผิวเปลือกส้ม” คือ เซลล์ไขมันที่เคลื่อนตัวสูงขึ้นมาสะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนัง มีลักษณะขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำคล้ายกับผิวเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด มักพบได้บ่อยบริเวณต้นขา สะโพก ต้นแขน และหน้าท้อง บางคนขึ้นเป็นลอน ๆ เพราะมีไขมันสะสมเป็นก้อนผสมอยู่กับของเสียและน้ำปะปนอยู่ในถุงนั้น ซึ่งในแต่ละก้อนไขมันจะมีเปลือกเหนียว ๆ ห่อหุ้มอยู่ จึงทำให้มองจากภายนอกแล้วเห็นเป็นลอนของไขมัน โดยเซลลูไลท์จะแตกต่างจากไขมันธรรมดาในร่างกายที่เราสามารถกำจัดออกไปได้ง่าย ๆ ด้วยการออกกำลังกาย แต่เซลลูไลท์ไม่สามารถกำจัดออกได้ง่ายเช่นนั้น เพราะต้องอาศัยทั้งการนวดผิวหนังร่วมกับการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารร่วมด้วย จึงจะสามารถกำจัดเซลลูไลท์ออกไปอย่างได้ผล
ปัญหาเซลลูไลท์ ไม่ได้พบบ่อยเฉพาะกับคนอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ในผู้หญิงผอม ๆ บางคนก็ยังมีเซลลูไลท์ด้วยเช่นกัน ส่วนในผู้ชายนั้นจะมีไขมันน้อยกว่าผู้หญิง และส่วนใหญ่ก็เป็นกล้ามเนื้อ ปัญหาเซลลูไลท์จึงพบได้น้อยกว่าผู้หญิง ยกเว้นกับผู้ชายบางคนที่อ้วนมาก ๆ ก็มีเซลลูไลท์ได้เหมือนกัน ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี กว่าร้อยละ 90 มักจะเริ่มมีอาการสะสมของเซลลูไลท์ ส่วนปัจจัยทางพันธุกรรมและเชื้อชาติก็เป็นส่วนหนึ่ง อย่างคนยุโรปจะมีเซลลูไลท์มากกว่าคนเอเชีย
แบบไหนที่เรียกว่ามีเซลลูไลท์ ?
ให้คุณลองเช็กด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยการเอามือจับส่วนหน้าท้องออกมาดูสักครึ่งนิ้ว หรือหงายท้องแขนแล้วใช้มืออีกข้างจับดึงชั้นไขมันท้องแขนออกมาให้ตึง หากพบว่าผิวของเรามีลักษณะคล้ายผิวส้มหรือผิวมะกรูด ก็นั่นแหละคือ “เซลลูไลท์” หากปล่อยทิ้งไว้ นานวันเข้ามันก็จะเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องจับหรือบีบดู
ประเภทของเซลลูไลท์
- Soft Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 20-30 ปี มีลักษณะเป็นก้อนขนาดเล็ก เป็นริ้วลูกคลื่นแบบนิ่ม สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากพันธุกรรม
- Hard Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 20-40 ปี มีลักษณะเป็นก้อนเล็กและแข็ง เมื่อบีบดูจะเห็นเป็นก้อนแข็งเล็ก ๆ อย่างชัดเจน พบได้บ่อยบริเวณบั้นท้ายและสะโพก
- Flaccid Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่มักพบได้ในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ซึ่งจะลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่ม มีการหย่อนคล้อยของผิวหนังและกล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบได้บ่อยบริเวณหน้าท้อง รอบเอว ท้องแขน และคาง
- Edmatous Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่มักพบได้กับผู้ที่มีการไหลเวียนของเลือดไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง จนทำให้มีลักษณะเหมือนการบวมน้ำ พอกดแล้วบุ๋ม พบได้บ่อยบริเวณสะโพก ต้นขา ซึ่งบริเวณที่เป็นนั้นจะมีผิวหนังบอบบางเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนและบวม
- Mixed Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ในคนเดียวกันจะมีเซลลูไลท์อยู่หลายแบบ ตั้งแต่ประเภทที่ 1-4 โดยมักพบในผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและในวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย หรือผู้ที่ชอบกินอาหารจำพวกไขมัน ของทอด น้ำตาล และแป้งมากจนเกินไป
พัฒนาการของเซลลูไลท์
- ระยะที่ 1 : เป็นระยะที่เริ่มจะมีพังผืดเกิดขึ้นแต่ยังไม่มาก ยังไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืนหรือการนอน (ไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้ม) แต่เมื่อทดลองบีบเนื้อบริเวณนั้นดูจะปรากฏให้เห็นรอยบุ๋ม
- ระยะที่ 2 : เช่นเดียวกับระยะที่ 1 คือยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้ แต่เมื่อทดลองบีบเนื้อขึ้นมาจะพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้นกว่าระยะแรก
- ระยะที่ 3 : จะเริ่มสังเกตเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืน โดยไม่ต้องบีบดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นรอยได้
- ระยะที่ 4 : สามารถเห็นผิวมีลักษณะเป็นเปลือกส้มได้ทั้งหมดไม่ว่าจะยืนหรือนอน โดยไม่ต้องบีบดูแต่อย่างใด ระยะนี้จะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาเป็นระยะเวลานานและรักษาได้ยากที่สุด
สาเหตุการเกิดเซลลูไลท์
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเชื่อว่า เซลลูไลท์เกิดจากการสะสมของเสียในเนื้อเยื่อร่างกาย ส่วนแพทย์เชื่อว่าเซลลูไลท์นั้นเกิดจากการสะสมของไขมันในเซลล์ที่มีไขมันมาก โดยเซลลูไลท์จะเริ่มต้นด้วยการเกิดเป็นไขมันบาง ๆ ในบริเวณที่มีปัญหาเรื่องการไหลเวียนของเลือด เช่น บริเวณต้นขา บั้นท้าย และต้นแขน เมื่อนานวันเข้าไขมันเหล่านี้จะสะสมตัวกันแน่นขึ้นเป็นถุง มีน้ำ ไขมัน และของเสียอยู่ปนกันมากขึ้น จนขยายบริเวณกว้างขึ้นและทำให้โป่งออกเป็นถุง ๆ ซึ่งการสะสมไขมันนั้นก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจจะเกิดจากสาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้ คือ
- ไขมันส่วนที่เกิดจากการกินอาหาร ที่มีแป้ง ไขมัน รวมไปถึงผลไม้หวานจัดและน้ำตาลเข้าไป เมื่อร่างกายเผาผลาญหรือนำไปใช้ไม่หมดก็จะเกิดการเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน เมื่อสะสมตัวมากเข้าก็จะกลายเป็นเซลลูไลท์ส่วนหนึ่งและทำให้ชั้นไขมันหนาขึ้น รูปร่างอ้วนด้วยอีกส่วนหนึ่ง
- ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายควรออกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องกันเป็นเวลา 30 นาที จะช่วยเร่งการเผาผลาญและกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้ แต่การไม่ออกกำลังกายจะทำให้ระบบไหลเวียนในร่างกายทำงานได้ไม่ดี การกำจัดของเสียทางเลือดและน้ำเหลืองขัดข้องและคั่งค้าง และทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล จนกลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง
- ลดความอ้วนอย่างรวดเร็ว จนส่งผลทำให้กลไกในร่างกายเกิดการตอบสนองว่าร่างกายเกิดการขาดสารอาหารและได้ทำการเก็บพลังงานเอาไว้ใช้ จนทำให้เกิดการสะสมของอาหารและไขมัน เมื่อไขมันส่วนเกินเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำจัดออกไป ก็จะกลายเป็นเซลลูไลท์ขึ้นมา
- อยู่ในท่าเดียวนาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งนาน ๆ ยืนนาน ๆ หรืออยู่ในท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดขัดข้อง การขับถ่ายของเสียทางเลือดและน้ำเหลืองไม่สะดวก นอกจากจะทำให้เกิดเซลลูไลท์แล้ว ยังอาจมีปัญหาเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมาอีกด้วย
- ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ การดื่มน้ำให้มากพอจะช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้ตามปกติ และน้ำยังเป็นส่วนหนึ่งของน้ำเลือดและน้ำเหลือง ที่จะช่วยให้การขับถ่ายของเสียนั้นเป็นไปอย่างปกติ
- การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์สูญเสียน้ำ การกำจัดของเสียทำงานได้ไม่ดี และแอลกอฮอล์ยังเข้าไปทำลายเซลล์ตับ จนทำให้ตับขจัดสารพิษได้ไม่ดีอีกด้วย
- การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มที่จะมีเซลลูไลท์มาก เพราะสารนิโคตินในบุหรี่จะไปอุดตันในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว และสารก่อมะเร็งชนิดอื่น ๆ ก็ยังเข้าไปทำลายเซลล์ ทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลาย เป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์ อีกทั้งบุหรี่ยังทำให้เกิดความผิดปกติของไตและปอดซึ่งเป็นอวัยวะในการขับถ่ายของเสีย
- ระบบเผาผลาญมีปัญหา อย่างบางคนกินอาหารน้อยแต่อ้วน เช่น ในคนที่อายุมากขึ้น หรือในโรคบางโรคก็มีส่วนทำให้ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติได้เช่นกัน เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย
- ความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเป็นตัวกระตุ้นการสะสมของไขมันในร่างกาย ในผู้หญิงจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากกว่าผู้ชาย จึงทำให้ผู้หญิงมีไขมันมากกว่าผู้ชาย ส่วนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเป็นตัวทำลายระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองให้เสียไป จึงทำให้เกิดการสะสมของสารพิษและทำลายโครงสร้างผิวหนังให้หย่อนคล้อยเสียความยืดหยุ่น ผิวจึงเป็นก้อนไม่เรียบเนียน
- ความบกพร่องของระบบขับถ่ายของเสีย เมื่อร่างกายมีการขับถ่ายของเสียออกมาได้อย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เช่น จากตับและไต ระบบการไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ ของเสียที่สะสมไว้ในร่างกายเหล่านี้จะค่อย ๆ ก่อตัวเป็นเซลลูไลท์
- การตั้งครรภ์และภาวะหมดประจำเดือน จนทำให้เกิดความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ความเครียด อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเซลลูไลท์ เพราะความเครียดจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คอ บ่า ไหล่ และศีรษะ จนเกิดการสะสมของเสียในกล้ามเนื้อ ขัดขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสีย
- การสวมเสื้อผ้ารัดแน่น เช่น เสื้อนักศึกษาหญิงที่นิยมใส่จนรัดติ้ว ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลง และทำให้การไหลเวียนบริเวณผิวหนังลดลงด้วย
- เกิดจากยาบางชนิด เช่น การกินยาคุมกำเนิดแล้วทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบระดับฮอร์โมนเอสเตรโจน การกินยานอนหลับเข้าไปจนยาเข้าไปรบกวนการทำงานตามธรรมชาติ ทำให้ระบบแปรปรวน หรือการกินยาขับปัสสาวะจนทำให้ร่างกายขาดน้ำ เป็นต้น
วิธีลดเซลลูไลท์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแล้ว ยังช่วยทำให้ระบบในร่างกายเกิดความสมดุลอีกด้วย แต่การออกกำลังกายที่ดีควรจะเป็นการเดินเร็ว ๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก และการออกกำลังกายใต้น้ำ ครั้งละ 30-40 นาทีขึ้นไป อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไป ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่มีเวลา ขอให้คุณใช้เวลาพักหรือเวลาที่ต้องทำงานให้เป็นประโยชน์ ด้วยการขึ้นลงบนไดแทนการขึ้นลิฟต์ ทำงานบ้าน เป็นต้น
- ควบคุมอาหาร คุณควรลดละเลิกทั้งของหวานจัดและมันจัด แป้ง ไอศกรีม นมที่มีมันเนยสูง อาหารเค็มจัด และอาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายของเรามีไขมันสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และให้หันมาควบคุมอาหารในแต่ละวัน กินอาหารที่มีประโยชน์และมีไขมันต่ำ ดื่มน้ำเปล่าสะอาด ๆ ให้ได้วันละ 8 แก้ว (ถ้าเหงื่อออกมากก็ต้องดื่มให้มากกว่านี้) ก็จะช่วยขับพิษที่ติดตามเนื้อเยื่อในรูปของไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย และเป็นการขจัดเซลลูไลท์ออกไปด้วย รวมทั้งควรลดหรือเลิกการดื่มน้ำอัดลม กาแฟ แอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่ เพราะจะไปทำให้ร่างกายเสียสมดุล เนื่องจากมีสารอนุมูลอิสระมาก ทำลายเซลล์ และสะสมกลายเป็นพิษ ร่างกายขับออกได้ยาก
- กินผักและผลไม้สดมาก ๆ นักธรรมชาติบำบัดเชื่อว่า การรับประทานผักและผลไม้สดจะช่วยลดเซลลูไลท์ที่เกิดขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดใหม่ของเซลลูไลท์ได้มากถึงร้อยละ 75 (แต่ควรเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด) เนื่องจากผักและผลไม้จะอุดมไปด้วยเกลือแร่ วิตามิน สารพฤกษเคมี สารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยกระตุ้นตับให้ขับพิษได้ดี ช่วยทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อยู่ในอิริยาบถที่ถูกต้อง เราไม่ควรอยู่ในท่าใดหนึ่งนานเกินไป แต่ควรหันมาเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ในระหว่างการทำงาน หรือควรลุกเดินไปมาอยู่เสมอเพื่อกระตุ้นการกำจัดของเสียระหว่างวัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิศ ยิ่งควรจะนั่ง ยืน และเดินให้ถูกต้อง ไม่นั่งไขว่ห้าง เพราะจะทำให้เกิดเซลลูไลท์ได้ง่าย
- กำจัดของเสียในปอด ด้วยการฝึกลมหายใจลึกยาวเพื่อให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งออกซิเจนจะให้ชีวิต ให้ความกระชุ่มกระชวยกับเซลล์ในร่างกาย ไม่เฉพาะแต่เซลล์สมองเท่านั้น แต่ออกซิเจนยังช่วยเผาผลาญพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
- ขัดถูผิวในขณะอาบน้ำทุกวัน ด้วยการใช้แปรงแห้ง ๆ นุ่ม ๆ เช่น ฟองน้ำ ใยบวบ หินขัด หรือครีม นำมาขัดวนไปมาประมาณวันละ 2-3 นาที จะช่วยทำให้ระบบต่อมน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีและเป็นการช่วยขจัดเซลล์ไขมัน เพราะความร้อนจากการขัดถูจะทำให้ไขมันบางส่วนละลายได้ หากต้องการขัดทั้งตัวควรเริ่มต้นจากการขัดบริเวณเท้าไล่ขึ้นมาสู่ช่วงบนร่างกายไปจนถึงต้นคอ บ่า ไหล่ วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้เวลาอาบน้ำ (จะตอนเย็นหรือตอนเช้าก็ได้) ให้เราใช้น้ำร้อนฉีดสลับกับน้ำเย็นบริเวณที่เป็นเซลลูไลท์เพื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อและเร่งการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ให้ดีขึ้น
- นวดน้ำมัน ให้เราใช้น้ำมันสำหรับการนวดผสมกับน้ำมันหอมระเหยมาทาผิวเพื่อให้ผิวลื่น จะช่วยทำให้นวดได้คล่องขึ้นและไม่รั้งผิวจนทำให้ผิวเหี่ยวย่น แถมยังช่วยทำให้ระบบการไหลเวียนดีขึ้นและกระตุ้นประสิทธิภาพของระบบการกำจัดของเสียของร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ด้วยการกระตุ้นระบบต่อมน้ำเหลืองที่ช่วยย่อยไขมัน โดยให้เน้นนวดวนและบีบ ๆ เฉพาะส่วนในจุดที่การไหลเวียนไม่ดี เช่น หัวเข่าด้านในและต้นขา เพื่อเป็นการช่วยละลายไขมันและกำจัดพิษคั่งค้าง หรือคุณจะใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากขิงและส้มก็ได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียในร่างกาย โดยให้เน้นนวดบริเวณที่มีเซลลูไลท์ ซึ่งวิธีการนวดก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ใช้อุ้งมือนวดคลึงเป็นวงกลมโดยใช้สันมือโอบรอบบริเวณที่มีเซลลูไลท์ และทำซ้ำกัน ๆ ไปเรื่อย ๆ
- ครีมนวดสลายเซลลูไลท์ โดยใช้ร่วมกับการนวด วิธีนี้จะช่วยทำให้เซลลูไลท์ดูเบาบางลงได้ ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายยี่ห้อ แต่ครีมนวดที่ใช้ควรจะมีส่วนผสมสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ดังนี้ กาเฟอีน (Caffeine) ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกายและเร่งการเผาผลาญไขมัน จึงช่วยในการลดน้ำหนักได้, โกโก้ (Activated Cocoa Bean Concentrate) นิยมใช้ร่วมกับกาเฟอีน สามารถช่วยขจัดไขมันและยับยั้งการสะสมของน้ำตาลที่เหลือในเนื้อเยื่อไขมันได้, ไคโตซาน (Chitosan) ช่วยขจัดไขมันได้ โดยประจุบวกของไคโตซานจะช่วยดักจับกรดไขมันอิสระและคอเลสเตอรอลที่มีประจุลบ ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับไขมันส่วนเกิน, สารสกัดแคปไซซิน (Capsaicin) เป็นสารสกัดที่ได้จากพริก มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มระดับของเอนไซม์ในตับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำให้ไขมันแตกตัว การช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่ม จึงช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลง, สารสกัดจากส้มแขก ซึ่งมีคุณสมบัติในการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของสารอาหารจำพวกน้ำตาลกลูโคสเป็นสารอาหารจำพวกไขมันสะสมได้ และยังช่วยเร่งการสลายไขมันเก่าที่สะสมอยู่ได้อีกด้วย ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่ชัดว่า สารเหล่านี้จะสามารถซึมผ่านเซลล์ผิวหนังลงไปละลายไขมันและไปลดก้อนไขมันได้จริงหรือไม่
- การทำทรีตเมนต์ตามคลินิก เพื่อกำจัดเซลลูไลท์ โดยเป็นการทำให้เซลลูไลท์แตกตัว คุณอาจจะต้องได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ร่วมกับการลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย, ควบคุมอาหาร, นวดแบบอโรมาเธอราพี (ใช้น้ำมันหอมสกัดจากพืชซึ่งจะสามารถดึงเอาสิ่งสกปรกออกจากผิวได้), การนวดตัว (เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและปลดปล่อยของเสีย) หลังการทำทรีตเมนต์ประมาณ 1-2 สัปดาห์ คุณจะรู้สึกได้ว่าผิวบริเวณนั้นจะอ่อนตัวลง
- นวดด้วยเครื่องอัลตราโซนิค (Ultrasonic Massage) เป็นการนวดผิวร่วมกับการทายาสลายไขมันไว้ตามร่างกายที่ต้องการลด และใช้เครื่องนวดไปตามบริเวณนั้น ๆ เพื่อให้ตัวยานั้นซึมลงไปใต้ผิวหนังและช่วยสลายเซลลูไลท์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและเซลลูไลท์ที่ต้องการลด มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งประมาณ 1,000-3,000 บาทขึ้นไป แล้วแต่สถานบริการ
- นวดด้วยเครื่องไวเบรชั่น (Vibration) เป็นการนวดแบบสั่นสะเทือนตามบริเวณที่ต้องการจะเผาผลาญ หรือเมื่อยืนอยู่บนเครื่อง เครื่องจะเกิดสั่นสะเทือนทำให้ร่างกายสั่นสะเทือนตามให้ผลเหมือนการนวดตัว เหมือนเป็นการออกกำลังกายและสลายเซลลูไลท์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายและปริมาณของไขมัน แต่การสั่นนาน ๆ จะทำให้เกิดอาการคันเนื่องจากมีการสลายไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งการสลายเซลลูไลท์ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์นั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ราคาทำครั้งละประมาณ 500 บาท
- การนวดแบบเอนเดอร์โมโลยี (Endermologie) เป็นการนวดกำจัดเซลลูไลท์เฉพาะส่วนด้วยเครื่องสุญญากาศ โดยส่วนหัวของเครื่องมือนี้จะมีท่อสุญญากาศอยู่ตรงกลาง (ทำหน้าที่ดูดผิวบริเวณที่ต้องการขึ้นมา) ส่วนด้านข้างจะเป็นลูกกลิ้งคู่ขนาน (ทำหน้าที่นวดสลายไขมันและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด) ซึ่งการรักษาด้วยเครื่องมือชนิดนี้จะต้องทำติดต่อกัน 14 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 2,000-5,000 บาท) โดยใน 7 ครั้งแรก จะต้องทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และจะลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้งในครั้งถัดไป หรือขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญแนะนำ (ด้านล่างเป็นภาพก่อนและหลังทำ 15 ครั้ง)
- เมโสเทอร์ราปี (Mesotherapy) เป็นการฉีดตัวยาที่มีคุณสมบัติในการสลายไขมันเข้าไปในใต้ผิวหนังชั้นเมโซเดิร์ม (Mesoderm) เพื่อสลายเซลลูไลท์และไขมัน เช่น สารสกัดจากถั่วเหลืองและวิตามินชนิดต่าง ๆ โดยยาที่ฉีดเข้าไปจะออกฤทธิ์ทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และทำให้เซลลูไลท์สลายตัวไปในที่สุด แต่มีข้อเสียคือ ต้องทำการฉีดยาหลายเข็ม (ประมาณ 3 ครั้งขึ้นไป) และบางครั้งอาจเกิดรอยช้ำได้ เมื่อคนไข้ฉีดยาละลายไขมันไปได้หนึ่งเดือน จะพบว่าเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกินจะลดน้อยลง หากรักษาร่วมกับการนวดจะช่วยทำให้ผลการรักษาดีขึ้น หลังการรักษาควรจะดื่มน้ำมาก ๆ และออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองและการขับของเสีย ซึ่งจะช่วยทำให้การรักษาได้ผลดีมากยิ่งขึ้น มีค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 1,000-3,000 บาท (ด้านล่างเป็นภาพก่อนและหลังการฉีดเมโส ซึ่งตามข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งที่ทำการรักษา)
- คาร์บ็อกซี่ (Carboxytherapy) เป็นการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทางการแพทย์เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ใต้ท้องแขน ต้นขา สะโพก และน่อง เพื่อเข้าไปสลายเซลลูไลท์ โดยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ฉีดเข้าไปจะไปช่วยเพิ่มการขยายตัวของเส้นเลือด ทำให้เซลล์ไขมันสลายตัวและถูกกำจัดออกไป หลังรับการรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง สัดส่วนและเซลลูไลท์จะเริ่มลดลง ผิวหนังกระชับมากขึ้น เมื่อทำครบ 10 ครั้ง ก็จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งสัดส่วนและเซลลูไลท์จะลดลง (มีค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ 1,000-3,000 บาท) นอกจากนี้คาร์บ็อกซี่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยกระชับผิว และแก้ปัญหาผิวท้องลายหรือรอยแตกลายของผิวให้จางลงได้อีกด้วย (ด้านล่างเป็นภาพก่อนและหลังทำคาร์บ็อกซี่ ซึ่งตามข้อมูลไม่ได้ระบุจำนวนครั้งที่ทำการรักษา)
- E-life Shapemaster เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มีการเผาผลาญไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น โดยนำหลักการของการออกกำลังกายมาใช้ คือ การทำให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว เมื่อกล้ามเนื้อทำงานก็จะมีการใช้ไขมันส่วนเกินรอบ ๆ มาใช้เป็นพลังงานให้การหดตัวของกล้ามเนื้อ จึงช่วยทำให้ไขมันที่สะสมอยู่รอบ ๆ ค่อย ๆ หายไป ซึ่งเครื่องมือชนิดนี้เรียกว่า E-life Shapemaster ขั้นตอนการทำก็คือ จะใช้แผ่นแปะไปตามบริเวณที่มีปัญหาไขมันส่วนเกิน แล้วเครื่องมือจะทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เอง ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 30-45 นาที หลังจากทำเสร็จจะรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้น หลังรักษาภายใน 24 ชั่วโมงก็ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับของเสีย และต้องทำการสลายประมาณ 14 ครั้ง (ทำ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ในเดือนแรก และต่อไปให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง)
- การฝังเข็ม ผู้เชี่ยวชาญจะทำการฝังเข็มปราศจากเชื้อโรคลงบนบริเวณที่มีเซลลูไลท์ ประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ใต้ผิวหนัง โดยเข็มที่ฝังเข้าไปจะเชื่อมกับขั้วไฟฟ้า ซึ่งจะส่งกระแสไฟฟ้าเข้าไปทำลายเซลล์ไขมันและแพร่กระจายของเหลว แต่การรักษาแบบนี้จะต้องแน่ใจในเรื่องของความสะอาด และวิธีนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับผู้ที่มีเซลลูไลท์จำนวนไม่มากนัก หลังการรักษาถ้ายังไม่ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไขมันและเซลลูไลท์ก็จะมากลับมาอีก
อย่างไรก็ตาม การกำจัดเซลลูไลท์นั้นมีพื้นฐานของการรักษา คือ การควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ๆ เน้นการออกกำลังกายร่วมกับการนวดตามบริเวณที่มีเซลลูไลท์ ส่วนวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมานั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาเซลลูไลท์ได้เช่นกัน แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้าเราไม่หมั่นออกกำลังกายและควบคุมอาหารให้เหมาะสมแล้วล่ะก็ เซลลูไลท์เหล่านั้นมันก็จะกลับมาอีกอย่างแน่นอน เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตนิดหน่อย เซลลูไลท์ก็หายไปแล้วล่ะ
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)