สารภี
สารภี ชื่อสามัญ Negkassar[7]
สารภี ชื่อวิทยาศาสตร์ Mammea siamensis T.Anderson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Calysaccion siamense Miq.)[5],[6],[7] จัดอยู่ในวงศ์ CALOPHYLLACEAE
สมุนไพรสารภี มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า สารภีแนน (เชียงใหม่), ทรพี สารพี (จันทบุรี), สร้อยพี (ภาคใต้) เป็นต้น[3],[4],[6],[9] โดยจัดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในพม่า ไทย อินโดจีน และคาบสมุทรมาเลเซีย[6]
ลักษณะของต้นสารภี
- ต้นสารภี จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร ลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาลถึงดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดตลอดทั่วลำต้น เปลือกในเป็นสีน้ำตาลแดง มียางสีครีมหรือสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ แข็ง และค่อนข้างทนทาน สามารถเลื่อย ผ่า และไสกบตบแต่งได้ง่าย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและที่กลางแจ้ง ปลูกได้ในดินทุกสภาพ ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง มักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและตามป่าดงดิบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20-400 เมตร[1],[2],[4],[7]
- ใบสารภี มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนกว้าง ๆ บางทีอาจมีติ่งสั้น ๆ หรือหยักเว้าแบบตื้น ๆ โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7.5-25 เซนติเมตร แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบจะสีอ่อนกว่า เนื้อใบหนาและค่อนข้างเรียบ เส้นแขนงของใบไม่มี แต่เห็นเส้นใบย่อยเป็นแบบเส้นร่างแหชัดทั้งสองด้าน และมีก้านใบยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร[1],[2],[4]
- ดอกสารภี ออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก รังไข่มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีไข่อ่อนจำนวน 2 ปลาย หลอดรังไข่แยกเป็นแฉก 3 แฉก โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[4]
- ผลสารภี ผลมีลักษณะเป็นรูปกระสวยหรือกลมรี ขนาดประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อผลนิ่ม ผลเมื่อแก่จะแตกออกได้ และมีเมล็ดเดียว โดยจะเป็นผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[1],[2],[4]
สรรพคุณของสารภี
- ดอกมีรสหอมเย็น ส่วนผลมีรสหวาน ช่วยบำรุงหัวใจ (ดอก, ผลสุก)[1],[2],[5],[10]
- ผลสุกใช้รับประทาน ช่วยขยายหลอดเลือด (ผลสุก)[5]
- ช่วยทำให้ชื่นใจ (เกสร)[1],[2]
- ช่วยบำรุงเส้นประสาท (ดอก)[4],[10]
- ดอกใช้เป็นยาชูกำลัง บำรุงกำลัง (ดอก)[2],[10]
- ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ดอก)[2],[10]
- ช่วยรักษาธาตุไม่ปกติ (ดอก)[1],[2]
- ดอกช่วยแก้โลหิตพิการ (ดอก)[2],[10]
- เกสรมีรสหอมเย็น ใช้เป็นยาแก้ไข้ (เกสร)[1],[2]
- ช่วยแก้ไข้มีพิษร้อน (ดอก)[2]
- ช่วยแก้ลมวิงเวียน มีอาการหน้ามืดตาลาย (ดอก)[4],[10]
- ดอกมีฤทธิ์ขับลม (ดอก)[1],[2]
- ช่วยขับปัสสาวะ (ใบ)[6]
- ยางไม้ของต้นสารภี นำมาใช้แก้อาการแพ้คันจากพิษของต้นหมามุ่ย หรือจากน้ำลายของหอยบางชนิด (ยาง)[12]
- ใช้เป็นยาฝาดสมาน (ดอก)[1],[2]
- ช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ (ใบ)[6]
- ช่วยบำรุงครรภ์รักษา (เกสร)[1],[2]
- ดอกใช้ผสมในยาหอม ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้ลม วิงเวียน แก้โลหิตพิการ โลหิตเป็นพิษ ช่วยทำให้เจริญอาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงเส้นประสาท ชูกำลัง และช่วยแก้ไข้มีพิษร้อน (ดอก)[1],[2],[3],[4],[5],[6]
- ดอกสารภีจัดอยู่ในตำรับยา “พิกัดเกสรทั้งห้า” (ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง), ตำรับยา “พิกัดเกสรทั้งเจ็ด” (เพิ่มดอกกระดังงา ดอกจำปา), และในตำรับยา “พิกัดเกสรทั้งเก้า” (เพิ่มดอกลำดวน ดอกลำเจียก) ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ แก้ลมกองละเอียด แก้อาการหน้ามืดตาลาย วิงเวียนศีรษะ แก้โรคตา แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยบำรุงครรภ์ของสตรี[10],[11]
ประโยชน์ของสารภี
- ผลสารภีมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นผลไม้ และยังเป็นอาหารของนกได้อีกด้วย[4]
- นอกจากจะใช้ผลรับประทานเป็นผลไม้แล้ว ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ทำน้ำผลไม้ การทำไวน์ ทำแยม เป็นต้น[12]
- ดอกตูมของสารภีใช้สกัดทำสีย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีแดง[5]
- ต้นสารภีมีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ใช้ปลูกเพื่อให้ร่มเงาและบังลมได้ อีกทั้งยังมีดอกและพุ่มใบที่สวยงาม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย
- คนไทยโบราณเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นสารภีไว้ประจำบ้านจะส่งผลให้มีอายุยืนยาวเหมือนเช่นต้นสารภี เพื่อความเป็นสิริมงคลผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ (โบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณให้ปลูกในวันเสาร์) และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อจะช่วยป้องกันเสนียดจัญไร ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี[8],[9]
- ดอกแห้งใช้ทำเป็นน้ำหอม โดยเพิ่มดอกคำฝอย ส้มป่อยเผา นำมาแช่ในน้ำจะได้น้ำหอมสำหรับไว้ใช้เป็นน้ำสรงพระในเทศกาลสงกรานต์[10]
- ดอกสดสามารถนำมาใช้สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งนำไปใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอาง[6]
- เนื้อไม้สารภีมีความแข็งแรงและค่อนข้างทนทาน สามารถนำมาใช้สร้างเป็นที่อยู่อาศัยได้ เช่น การทำเสา ฝา รอด ตง กระดานพื้น รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ฯลฯ[4],[12]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). “สารภี“. หน้าที่ 181.
- หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สารภี (Saraphi)“. หน้าที่ 301.
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิล). “สารภี“. หน้าที่ 136.
- สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.dnp.go.th. [11 ม.ค. 2014].
- สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [11 ม.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลน้ำมันหอมระเหยไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.). “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.tistr.or.th/essentialoils/. [11 ม.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ดอกสารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.198.146. [11 ม.ค. 2014].
- ไม้ประดับออนไลน์ดอตคอม ศูนย์ไม้ดอกไม้ประดับออนไลน์. “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.maipradabonline.com. [11 ม.ค. 2014].
- อุทยานดอกไม้ ๑๐๘ พรรณไม้ไทย. “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.panmai.com. [11 ม.ค. 2014].
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 361 คอลัมน์: ต้นไม้ใบหญ้า. “สารภี“. (ดร.ปิยรัษฎ์ เจริญทรัพย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th. [11 ม.ค. 2014].
- ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “พิกุล“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.thaicrudedrug.com. [11 ม.ค. 2014].
- พืชกรณีศึกษา งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน. “สารภี“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.slideshare.net/n_putthima/sarapee-presentation. [11 ม.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Kukiat Tanteeratarm, b. inxee♪♫, Doksarapee), www.www.sns.ac.th, www.www.sc.mahidol.ac.th
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)