17 วิธีลดรอยสิว รักษาจุดด่างดํา รอยดํา รอยแดงจากสิว !!

รอยสิว

รอยสิว (Acne scar) คือ รอยแผลที่เกิดจากสิวเมื่อเราเป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวอักเสบที่มีระดับความรุนแรงระดับปานกลางถึงรุนแรงมาก เมื่อสิวนั้นหายไปก็มักจะทิ้งร่องรอยไว้ตามระดับความรุนแรงของสิวที่เป็น นอกจากนี้ การบีบหรือกดสิวก็จะยิ่งทำให้เกิดรอยสิวได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งรอยสิวเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการสร้างสารคอลลาเจนขึ้นใหม่นั่นเอง ที่ทำให้ปรากฏเป็นรอยสิวในรูปแบบต่าง ๆ บนผิวหนัง

ทั้งนี้ การดูแลรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังเกิดสิวก็จะช่วยให้ป้องกันหรือลดการเกิดรอยสิวได้เป็นอย่างดี ส่วนการรักษารอยสิวนั้น หลัก ๆ ก็มีทั้งการรักษารอยสิวด้วยตัวเอง ด้วยการใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์ลดรอยสิวต่าง ๆ หรือรักษาโดยแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของรอยสิวที่เป็น

ชนิดและลักษณะของรอยสิว

ชนิดของสิวจะแบ่งระดับได้ตามความรุนแรงที่เป็น ได้แก่ รุนแรงน้อย (สิวหัวขาว/สิวหัวดำ), รุนแรงปานกลาง (สิวตุ่มแดง/สิวหัวหนอง), รุนแรงมาก (สิวก้อนลึก/สิวซีสต์)

ส่วนลักษณะของรอยสิวก็จะมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ

  • รอยสิวทั่วไป พบได้เป็นส่วนใหญ่ เป็นจุดสีแดงหรือสีน้ำตาล เป็นหลุมสิวตื้น ๆ มักจะค่อย ๆ เลือนหายได้เองเมื่อผ่านไปหลายเดือนโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่การรักษาและดูแลอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้รอยสิวนั้นหายได้เร็วขึ้นในไม่กี่สัปดาห์
  • รอยสิวหลุมลึก มีหลายแบบ ตั้งแต่รอยสิวที่เป็นหลุมตื้น ๆ รอยที่เป็นจุดหลุม รอยจุดหลุมลึก รอยหลุมยบลงไปแต่รอยนั้นมีความแบนและบาง รอยที่เป็นหลุมกว้างขาดใหญ่และมีขอบหลุมชัดเจน และรอยที่นูนขึ้นมาบนผิว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกรณีที่ควรได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนัง เพราะเป็นร่องรอยที่เกิดความเสียหายในระดับชั้นผิวที่ลึกลงไป ซึ่งยากต่อการรักษาด้วยวิธีทั่วไป โดยแพทย์จะพิจารณาให้การรักษาหรือเลือกทำหัตถการตามความเหมาะสมให้เหมาะกับลักษณะของรอยสิวที่เป็นต่อไป

วิธีรักษารอยสิว

  1. อดทนและรอเวลา โดยปกติแล้วรอยสิวทั่วไปจะค่อย ๆ เลือนหายได้เองตามกาลเวลา ซึ่งอาจใช้เวลาตั้งแต่สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยสิว (ยกเว้นรอยสิวหลุมลึก ที่แม้รอยจะดูบางลงตามกาลเวลาแต่ก็ไม่อาจหายได้อย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนังด้วยวิธีหรือการทำหัตกรรมต่าง ๆ) แต่ในระหว่างนี้คุณอาจใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ปกปิดร่องรอยช่วยปกปิดรอยแผลสิวได้
  2. ครีมลดรอยสิว / เซรั่มลดรอยสิว ปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อ เช่น Hiruscar, Scagel, MEDERMA, Eucerin ฯลฯ โดยมีคำแนะนำว่าควรเลือกใช้ครีมลดรอยสิวที่ผ่านการทดสอบว่าไม่ทำให้เกิดสิว (Non- Acnegenic) หรือผิวบอบบางแพ้ง่ายและผิวเป็นสิวง่ายก็สามารถใช้ได้ (Non-comedogenic tested) โดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันหรือกลับมาเป็นสิวซ้ำ และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ควรมีสารที่ช่วยลดรอยสิวได้ถึงต้นตอ เพราะรอยสิวต่างจากจุดด่างดำทั่วไปที่เกิดจากการอักเสบใต้ผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งทั่วไปอาจไม่ตอบโจทย์และรอยสิวหายได้ช้า
  3. ผลิตภัณฑ์อื่นที่มีสารช่วยลดรอยดำจากสิว เช่น วิตามินซี (Vitamin C) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการอักเสบ ลดรอยดำจากสิว และมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยให้รอยสิวหายเร็วขึ้น, อาร์บูติน (Arbutin) และกรดโคจิก (Kojic Acid) ที่มีสรรพคุณยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยลดเลือนรอยดำและรอยแผลเป็นจากสิว, เซราไมด์ (Ceramide) ตัวช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว ลดการระคายเคือง และช่วยให้ผิวแข็งแรง ถ้าผิวขาดเซราไมด์ก็จะทำให้ผิวอ่อนแอจนเสี่ยงต่อการเกิดสิว, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) สารที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ ลดรอยแดง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ซึ่งเหมาะต่อการรักษาสิว เป็นต้น
  4. ครีมที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน (Cortisone) เหมาะสำหรับรอยสิวที่เป็นจุดสีแดงหรือรอยบวม โดยจะช่วยลดภาวะการอักเสบของผิวหนัง ทำให้สีแดงที่ผิวหนังจางลงหรือรอยสิวที่บวมบริเวณนั้นยุบตัวลง (ควรปรึกษาเภสัชกรถึงความเหมาะสมและวิธีการใช้ก่อนเสมอ)
  5. ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบแอลกอฮอล์เบสและแบบวอเตอร์เบส ส่วนการเลือกใช้ก็ดูว่าเราเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่าง เรตินเอ (แอลกอฮอล์เบส) หรือดิฟเฟอริน (วอเตอร์เบส) เหล่านี้สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดจุดด่างดำจากรอยแผลสิวได้เป็นอย่างดี ถ้ายังไม่เคยใช้มาก่อนก็ขอแนะนำให้ใช้ “ดิฟเฟอริน” เพราะมีความระคายเคืองและผลข้างเคียงน้อยกว่าเรตินเอ
  6. ลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling) ด้วยการใช้กรดผลไม้ (AHA), trichloracetic acid (TCA) ฯลฯ เป็นกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใย คอลลาเจน ในชั้นหนังแท้ เพื่อช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและรอยแผลเป็นจากสิวได้ดี
  7. การรักษาด้วยเครื่องไอพีแอล (Intense Pulse Light – IPL) เป็นการนำแสงความเข้มสูง ยิงเข้าสู่ผิวหนังเพื่อช่วยขจัดรอยหมองคล้ำต่าง ๆ สามารถช่วยลบรอยดำ รอยแดง จุดด่างดำจากสิวได้ดี อีกทั้งเทคโนโลยีชนิดนี้ยังช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส รักษาฝ้า กระ ริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า รวมไปถึงการใช้กำจัดขนส่วนเกิน ฯลฯ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 2 สัปดาห์ ขั้นต่ำ ประมาณ 3-4 ครั้ง
  8. การรักษาด้วยเลเซอร์ Nd:YAG เป็นเลเซอร์ที่นิยมนำมาใช้ในการกำจัดจุดด่างดำ เพราะมันสามารถเข้าไปทำให้เม็ดสีกระจายตัวและกลายเป็นสะเก็ดแผลหลังทำ และจะหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ แต่ควรหมั่นทำซ้ำอย่างต่อเนื่องทุก 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ก็ยังมีเลเซอร์อีกหลายตัวที่สามารถกำจัดจุดด่างดำได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ต่อจุดด่างดำของแต่ละคนด้วยครับ
  9. การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy) เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำไปยังจุดที่ต้องการทำการรักษาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณรอยแผลเป็นจากสิวตาย แล้วกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่
  10. การลงเข็ม เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นเข็มขนาดเล็กจิ้มลงไปบริเวณรอยสิวที่ต้องการหลาย ๆ ครั้ง เพื่อทำให้เกิดรูเล็ก ๆ บนผิวหนังจำนวนมาก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวดูลดลงและกระชับเรียบเนียนขึ้น
  11. การฉีดสเตียรอยด์ เป็นการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นรอยนูน โดยแพทย์จะฉีดสารคอร์ติโคสเตียีอยด์ เช่น ไตรแอมซิโนโลน อีซีโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide) เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
  12. การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไป โดยแพทย์จะทำการฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปเพื่อเติมเต็มรอยบุ๋มนั้นเพื่อทำให้รอยสิวที่เป็นร่องลึกนั้นตื้นขึ้นหรือทำให้ผิวดูเรียบเนียนกลมกลืนไปกับผิวบริเวณใกล้เคียงที่ปกติ แต่การรักษาด้วยวิธีนี้มักจะต้องทำซ้ำทุก 4-6 เดือน เพราะสารฟิลเลอร์จะถูกดูดซึมไปเรื่อย ๆ จนหมดตามกาลเวลา
  13. การทำศัลยกรรมรักษาหลุมสิว เป็นวิธีที่แพทย์จะทำหัตถการด้วยการตัดเลาะเอาเนื้อเยื่อที่เสียหายบริเวณรอยสิวออกไป แล้วนำเนื้อเยื่อที่ดีจากผิวหนังส่วนอื่นมาเย็บปิดบริเวณนั้นแทน ซึ่งแพทย์มักจะใช้วิธีนี้ทำการรักษากับรอยสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมแหลมลึกและรอยสิวที่มีลักษณะนูนขนาดใหญ่
  14. สูตรเนื้อองุ่นเขียว+โยเกิร์ตรสธรรมชาติ+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว สูตรนี้เป็นสูตรที่อ่อนโยน ปลอดภัยและทำให้หน้ามีความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง โดยจะใช้องุ่นเขียวเป็นส่วนผสมหลัก ส่วนผสมก็มีเนื้อองุ่น 2 ช้อนโต๊ะ, โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีกเล็กน้อย วิธีทำก็เริ่มจากการปั่นส่วนผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม แล้วเอามาพอกบริเวณใบหน้า จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น สามารถทำได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แล้วจุดด่างดำจะค่อย ๆ จางลงในที่สุด
  15. สูตรมะนาว+น้ำผึ้ง อย่างที่ทราบสรรพคุณของมะนาวและน้ำผึ้งไปแล้วว่าสามารถช่วยลดจุดด่างดำได้ วิธีการทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่คุณนำน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที โดยสามารถทำได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบอบบาง
    ลดรอยดำจากสิว
  16. สูตรแตงกวา+มะนาว+น้ำผึ้ง วิธีการทำก็คือให้คุณคั้นเอาน้ำแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาวอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วนำมาทาบนหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สามารถทำได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง โดยมะนาวและแตงกวาจะมีสรรพคุณช่วยลดจุดด่างดำให้จางลง ส่วนน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม
  17. สูตรว่านหางจระเข้ อีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถช่วยลดรอยแผลเป็นและรอยดำต่าง ๆ ได้ดี วิธีใช้ก็ให้นำว่านหางจระเข้มาทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที รอยด่างดำก็จะค่อย ๆ จางลงในเวลา 1-2 เดือน แถมยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้อีกด้วย
    วิธีรักษาจุดด่างดํา
วิธีป้องกันรอยสิว
  1. ไม่บีบหรือกดสิว เพราะจะทำให้สิวเกิดการอักเสบและลุกลาม แบคทีเรียภายในสิวแพร่กระจายไปยังผิวบริเวณอื่น ๆ ทำให้เกิดสิวใหม่ตามมามากขึ้นและเกิดรอยสิวมาไม่รู้จบ
  2. หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะแสงแดดทำให้รอยสิวมีสีเข้มจนทำให้สังเกตได้ง่ายขึ้น แถมยังชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวบริเวณที่เป็นรอยสิวลงด้วย อย่างไรก็ตาม หากคุณจำเป็นต้องออกไปสัมผัสแสงแดดภายนอกเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรสวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างหมวก แว่นดำ และทาครีมกันแดดด้วย
  3. รอเวลา หลังสิวหายไปอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่เส้นเลือดและคอลลาเจนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งในระหว่างนั้นรอยสิวจะปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน และหลังจากนั้นอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่รอยสิวจะจางลงและลบเลือนไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของรอยสิวด้วย
  4. รักษาสมดุลไมโครไบโอมบนผิว (Skin Microbiome) คือ ระบบนิเวศของจุลินทรีย์บนผิว ที่ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ขนาดจิ๋วนับล้านที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลกับสุขภาพผิวของเรา ซึ่งจุลินทรีย์นี้ก็มีทั้งชนิดดีและชนิดไม่ดีที่ก่อให้เกิดสิวได้ (เมื่อชนิดดีลดลงหรือชนิดไม่ดีเพิ่มขึ้นก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวและมีปัญหาผิวตามมา) ดังนั้น การเพิ่มความแข็งแรงให้กับไมโคไบโอมชนิดดีด้วยการเพิ่มพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่เป็นอาหารของมันเป็นประจำก็จะทำให้ผิวมีความสมดุลและแข็งแรง จึงอาจช่วยลดปัญหาผิวรวมทั้งสิวได้ ซึ่งโดยทั่วไปพรีไบโอติกสามารถหาได้จากการรับประทานผักผลไม้ หรือง่ายกว่านั้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติก
  5. เลี่ยงการใช้วิตามินอีบริเวณรอยสิว เพราะมีงานวิจัยที่พบว่า การนำสารอาหารเข้าสู่ผิวที่เป็นรอยแผลเป็นโดยตรงอาจไปรบกวนกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว และในผู้ใช้วิตามินอีบางรายก็พบว่าเกิดผลข้างเคียงภาวะผื่นแพ้สัมผัสด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหาเรื่องรอยสิวหรือมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรอยสิวที่เกิดขึ้นและรักษาไม่หาย คุณอาจลองปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำปรึกษา รับคำแนะนำเพื่อนำมาปฏิบัติ หรือเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด