ลองกอง สรรพคุณและประโยชน์ของลองกอง 20 ข้อ !

ลองกอง

ลองกอง ชื่อสามัญ Longkong

ลองกอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium domesticum Corr. จัดเป็นพืชที่อยู่ในชนิดเดียวกันกับลางสาดและลูกู หรือ ดูกู (Duku) โดยจัดอยู่ในวงศ์ MELIACEAE เช่นเดียวกับกระท้อน กัดลิ้น ตะบูนขาว ตะบูนดำ และสะเดา

ลองกอง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ลังสาดเขา (นครศรีธรรมราช) ส่วนชื่อลองกองนั้นมาจากชื่อพื้นเมืองจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี[1],[2]

ผลไม้ลองกอง ผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในหมู่เกาะชวา เกาะมลายู ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ของประเทศไทย ในจังหวัดนราธิวาส และยังมีในประเทศทางแถบซูรินัม เปอร์โตริโก ออสเตรเลีย และฮาวาย โดยประเทศไทยสามารถผลิตลองกองที่มีคุณภาพได้ดีที่สุด เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมในการปลูกที่เหมาะสม แต่พื้นที่ที่สามารถทำการปลูกลองกองได้ยังมีจำกัด ทำให้มีผลผลิตน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จึงทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีราคาสูง และจัดได้ว่าเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกชนิดหนึ่ง โดยแหล่งเพาะปลูกลองกองในประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้ รองลงมาคือภาคตะวันออก ส่วนภาคเหนือและภาคกลางก็มีปลูกอยู่บ้างเล็กน้อย[1]

สายพันธุ์ลองกอง

พันธุ์ลองกอง ในประเทศไทยมีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง โดยสายพันธุ์ลองกองที่สามารถรวบรวมได้ทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 7 สายพันธุ์ ได้แก่ ลองกองทั่วไป, ลองกองแกแลแมร์ (ลองกองแปรแมร์), ลองกองคันธุลี, ลองกองธารโต, ลองกองไม้, ลองกองเปลือกบาง, และลองกองกาญจนดิษฐ์ ซึ่งในแต่ละสายพันธุ์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ลองกองแห้ง (เนื้อใสแห้ง รสหวาน กลิ่นหอม เปลือกเหลืองคล้ำและไม่มียาง), ลองกองน้ำ (เนื้อฉ่ำน้ำ สีเปลือกเหลืองสว่าง), และลองกองกะละแม (แกแลแม, ปาลาเม, แปรแมร์) (เนื้อนิ่ม กลิ่นไม่หอม เปลือกบางและมียางเล็กน้อย) โดยลองกองแห้งจะเป็นชนิดที่ได้รับความนิยมในการปลูกเป็นการค้ามากที่สุด เนื่องจากเป็นชนิดที่มีผลคุณภาพดี เนื้อมีรสหวานหอม มีเมล็ดน้อยหรือไม่มีเลย และเมล็ดยังไม่ขมอีกด้วย ดังนั้นสายพันธุ์ของลองกองจึงควรจะมีเพียงสายพันธุ์เดียว เพราะเป็นประโยชน์ในการค้า ไม่จำเป็นต้องแยกชนิดพันธุ์ เพราะคุณภาพนั้นเป็นที่ยอมรับของตลาดอยู่แล้ว[1]

ภาพลองกอง

ลักษณะของกอง

  • ต้นลองกอง ในส่วนของลำต้นไม่กลมนัก มักมีสันนูนและรอยเว้าอยู่บ้าง ผิวเปลือกค่อนข้างหยาบ ไม่เรียบ แตกกิ่งแขนงภายในเป็นทรงพุ่มไม่กลมตรง มีแอ่งเว้าตามรอยของง่ามกิ่งและตามลำต้นให้เห็นเป็นระยะ ลักษณะเป็นรอยสูงต่ำ เป็นคลื่น ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ปลูกด้วย ถ้าหากปลูกภายใต้ร่มเงาทึบหรือมีไม้อื่นมาก ลำต้นก็จะสูงชะลูดและผิวเปลือกจะค่อนข้างเรียบ แต่ถ้าปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงาน้อย ลำต้นมักจะแผ่เป็นพุ่มกว้าง ๆ และมีผิวเปลือกที่หยาบ ขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งวิธีการเพาะเมล็ด การทาบกิ่ง การต่อกิ่ง หรือการเสียบยอดและเสียบข้าง และวิธีการติดตา[1]

ต้นลองกอง

  • รากลองกอง ระบบของรากลองกองจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์ที่ทำการเพาะปลูก แต่โดยทั่วไปแล้วรากแขนงของลองกองจะมีขนาดใหญ่และหยาบ เจริญแผ่ไปทางแนวราบของผิวหน้าดิน เมื่อต้นมีอายุมากจะมองเห็นรากส่วนนี้แยกจากโคนต้นที่ติดดินได้ชัดเจน และต่อจากรากแขนงจะเป็นรากฝอย ซึ่งทำหน้าที่ในการดูดซับน้ำและอาหาร เจริญแผ่ไปตามหน้าดินตื้น ๆ[1]
  • ใบลองกอง ใบเป็นใบรวมมี 5-9 ใบย่อย ใบกว้างประมาณ 2-6 นิ้วและยาวประมาณ 4-8 นิ้ว และมีก้านใบย่อย ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ดำเป็นมัน และมีรอยหยักเป็นคลื่นหนากว่าใบของลางสาด ผิวใบด้านบนจะเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง ลักษณะของใบเป็นแบบ elliptical โดยมีปลายใบเรียวแหลม ส่วนโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ ลักษณะของเส้นใบเป็นแบบแยกออกจากเส้นกลางใบเหมือนร่างแห โดยเส้นใบด้านใต้ท้องใบของลองกองจะเรียวเล็กนูน คมชัดกว่าใบของดูกูน้ำ[1]

ใบลองกอง

  • ดอกลองกอง ตาดอกมีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง มีสีน้ำตาลอมเขียว มีความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร โดยส่วนนี้จะเจริญเป็นช่อดอกยาวเรียกว่า Spike ซึ่งอาจจะพบเป็นช่อดอกแบบเดี่ยว ๆ หรือเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-10 ช่อดอก โดยจะแตกออกตามลำต้นและกิ่งที่สมบูรณ์ ดอกลองกองเมื่อบานจะมีสีเหลืองนวล มีกลีบเลี้ยงลักษณะอวบสีเขียว และจะติดอยู่จนกระทั่งผลแก่ ดอกมีเกสรตัวผู้เป็นท่อสั้น ๆ อยู่ 10 ก้าน ฐานหลอมรวมกัน ส่วนการบานของดอกโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มจากบริเวณ 2 ใน 3 ของช่อดอกจากปลายช่อ บานลงมาถึงโคนช่อ จากนั้นจะเริ่มบานขึ้นไปถึงปลายช่อ[1]

ดอกลองกอง

  • ผลลองกอง ออกผลเป็นช่อแน่นติดกับก้านช่อ ลักษณะของผลมีทั้งทรงกลมและทรงยาวรี ซึ่งการที่มีผลในช่อแน่นอาจทำให้รูปทรงของผลแตกต่างกันออกไป ส่วนลักษณะของเปลือกจะหนากว่าลางสาดอยู่มาก เนื้อในผลมีรสหวานหอม[1]

ผลไม้ลองกอง

รูปลองกอง

  • เมล็ดลองกอง ในผลลองกองหนึ่งผลจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-2 เมล็ด โดยเมล็ดที่สมบูรณ์จะมีขนาดใหญ่ ภายในผลส่วนใหญ่แล้วจะมีช่องอยู่ 5 ช่อง และเมล็ดมักจะลีบ ลักษณะเมล็ดเป็นรูปไข่ มีสีเขียวอมเหลือง ตัวเมล็ดจะมีรอยแตกร้าวเป็นส่วนมาก ส่วนรสชาติของเมล็ดไม่ขม ถ้าหากนำมาเพาะจะขึ้นหลายต้นจากเมล็ดเดียว[1]

ความแตกต่างระหว่างลองกอง ลางสาด และดูกู

เนื่องจากผลไม้ทั้งสามชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน และมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่มีราคาถูกแพงไม่เท่ากัน โดยลองกองนั้นจะมีราคาแพงที่สุด ตามมาด้วยลางสาด และดูกู (ดูกูเป็นผลไม้ที่ไม่ค่อยมีราคา แต่จะนิยมนำเมล็ดไปเพาะเป็นต้นตอเพื่อใช้ขยายพันธุ์ลองกองและลางสาดมากกว่า)

  • ลองกอง ลักษณะของผลกลม เปลือกหนา ผิวหยาบเล็กน้อย เนื้อมีกลิ่นหอม รสหวาน ในผลมีเมล็ดลีบหรือไม่มีเมล็ดเลย และเมล็ดไม่ขม[1]
  • ลางสาด ลักษณะของผลกลมรี เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนนุ่ม มียางมากเป็นสีเขียวขุ่น ๆ เนื้อมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ในผลมีเมล็ดมากและขมจัด[1]
  • ดูกู หรือ ลูกู ลักษณะของผลกลมรี เปลือกบาง ผิวละเอียด ผลอ่อนนุ่ม เนื้อมีรสหวาน ในผลมีเมล็ดแต่ไม่ขม[1]

สรรพคุณลองกอง

  1. เมล็ดลองกองมีสารสำคัญที่ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย (เมล็ด)[1]
  2. ช่วยลดความร้อนในร่างกาย หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และยังช่วยลดอาการร้อนในช่องปากได้ด้วย (เนื้อลองกอง)[1]
  3. เมล็ดรักษาอาการไข้ (เมล็ด)[1]
  4. มีการนำเปลือกต้นมาสกัดเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย (เปลือกต้น)[1]
  5. ใบลองกองมีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียได้ถึง 50% (ใบ)[1] เมล็ดมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อมาลาเรียและยับยั้งการเจริญของปรสิตมาลาเรีย (Plasmodium falciparum) ได้ถึง 50% (เมล็ด)[1]
  6. เปลือกผลนำไปตากแห้งแล้วเผาให้เกิดควัน ใช้สูดดมเพื่อช่วยบรรเทาอาการของผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค (เปลือกผล)[3]
  7. น้ำจากผลมีการนำไปใช้หยอดตาเพื่อช่วยรักษาอาการตาอักเสบ (น้ำจากผล)[3]
  8. เปลือกต้นลองกองสามารถนำมาใช้เป็นยาต้มกินเพื่อช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ได้ (เปลือกต้น)[1],[2]
  9. ใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะ (กิ่ง)[3]
  10. ใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและอาการลำไส้เกร็ง (เมล็ด)[1]
  11. เปลือกต้นและใบใช้เป็นยาต้มสำหรับรักษาโรคบิด (เปลือกต้น, ใบ)[3]
  12. ในเปลือกมีสารประเภท Oleoresin จำนวนมาก จึงมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง อาการปวดท้อง (เปลือกผล)[1]
  13. เมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิ (เมล็ด)[1],[2]
  14. สารสกัดจากเปลือกต้นสามารถช่วยแก้พิษแมงป่องได้ (เปลือกต้น)[1]
  15. ใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกต้น)[1] ส่วนเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน (เมล็ด)[1]

ประโยชน์ลองกอง

  1. โดยทั่วไปจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด ให้รสชาติหวานอร่อย อีกทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย[1],[3]
  2. เปลือกผลแห้งนำมาเผาเพื่อให้ได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหย มีประโยชน์ในการใช้ไล่ยุงได้[1],[3]
  3. ลองกองสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ เช่น ทำเป็นน้ำเชื่อม ลูกอม แยมลองกอง ลองกองกวน น้ำลองกอง ไวน์ลองกอง ลองกองผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำเชื่อม เป็นต้น[1],[2]
  4. เปลือกผลและเมล็ดมีส่วนประกอบของสารที่มีความสำคัญทางการแพทย์และทางด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสาร Tannin อยู่เป็นจำนวนมาก[3]
  5. มีการนำส่วนผลของลองกองมาสกัดด้วยเอทานอลและละลายสารสกัด 2-5% ในโพรไพลีนไกลคอล (Propylene glycol) เพื่อใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายสำหรับทำเป็นเครื่องสำอางสำหรับผิวหนังที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยลดรอยด่างดำ ซึ่งจากผลการทดสอบในอาสาสมัครหญิงจำนวน 30 คน พบว่าสารสกัดจากลองกองสามารถเพิ่มความชื้นกับผิวหนังและช่วยลดรอยด่างดำได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ[1]

คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อลองกอง ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 66 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 15.3 กรัมลักษณะลองกอง
  • โปรตีน 0.9 กรัม
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 0.3 กรัม
  • น้ำ 80%
  • วิตามินเอ 15 หน่วยสากล
  • วิตามินบี 1 0.08 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 1.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 24 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 5 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0.7 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม

แหล่งที่มา : เอกสารคำสอนลองกอง วิชาไม้ผลเมืองร้อน ระดับปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล. (สุรชัย มัจฉาชีพ).[1]

การเลือกซื้อลองกอง

  • การเลือกซื้อลองกองที่มีคุณภาพดี ๆ นั้นต้องสังเกตจากผลภายในช่อ ผลในช่อต้องแน่นแบบได้สัดส่วน ผลไม่บิดเบี้ยว ช่อยาว[1]
  • ลักษณะของเปลือกต้องเป็นสีเหลืองปนสีขาวนวล ประด้วยจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ เปลือกหนา มียางน้อยไม่เหนียวติดมือ มีสีเข้มเด่นชัด ผิวของผลเรียบสม่ำเสมอ และเปลือกต้องไม่มีสีเขียวให้เห็น จึงจะได้ชื่อว่าสุกเต็มที่แล้ว[1]
  • แกะเปลือกได้ง่าย ไม่มีรอยช้ำหรือรอยตำหนิ เนื้อข้างในแน่นสดสะอาดคล้ายแก้ว ไม่เละหรือมียาง ในผลมีเมล็ดเล็กหรือไม่มีเลย และมีรสชาติหอมหวาน[1]
เอกสารอ้างอิง
  1. ฐานข้อมูลลองกอง ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.longkong.ist.cmu.ac.th.  [16 พ.ย. 2013].
  2. มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์.  “ลองกอง“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.uru.ac.th.  [16 พ.ย. 2013].
  3. กรมวิชาการเกษตร.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: it.doa.go.th/thaifruit/journal.php.  [16 พ.ย. 2013].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Ahmad Fuad Morad, Reinaldo Aguilar, darakusan, Forest Garden, quadralectics, Peerapan Saitrakul, oi137137)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด