ริ้วรอยใต้ตา
ริ้วรอยรอบดวงตา เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของผู้หญิงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการลดลงของคอลลาเจนและอีลาสติน กรดไฮยาลูรอนิกในผิวลดลง และสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ผิว ซึ่งปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจเกิดได้จากปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมส่วนตัวที่ชอบขยี้ตาหรือถูตาเป็นระยะเวลานาน ๆ การเคลื่อนไหวแสดงอารมณ์ต่าง ๆ บนใบหน้าที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ อาหารการกิน หรือไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล ก็ล้วนแล้วแต่มีส่วนในการทำให้ริ้วรอยแสดงตัวอย่างชัดเจนมากขึ้นด้วย
วิธีลดรอยย่นใต้ตา
- ดูแลผิวรอบดวงตา สิ่งสำคัญคือคุณควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้ ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนสายตาบ้างถ้าต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ไม่ขยี้ตาหรือถูตาแรง ๆ เช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างเบามือ สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง หมั่นทาครีมบำรุงรอบดวงตาทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควบคุมการบริโภคอาหารรสเค็ม ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง งดการสูบบุหรี่ หรือในกรณีที่มีโรคภูมิแพ้คุณควรรักษาโรคภูมิแพ้ก่อน เนื่องจากภูมิแพ้อาจก่อให้เกิดอาการคันและทำให้ขยี้ตาบ่อยขึ้น จนส่งผลให้มีริ้วรอยใต้ตาร่วมด้วย
- ครีมบำรุงรอบดวงตา ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตามักมาจากการขาดความชุ่มชื้นพร้อมกับวัยที่เพิ่มขึ้นเสมอ อีกทั้งผิวบริเวณรอบดวงตายังมีปริมาณไขมันในผิวต่ำ ทำให้ผิวใต้ตาของเราแห้งได้ง่ายเป็นพิเศษ ดังนั้นการหันมาดูแลผิวรอบดวงตาอย่างเหมาะสมด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ จะสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้เป็นอย่างดี โดยคุณควรเลือกใช้ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของมอยเจอไรเซอร์เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และส่วนผสมอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยทำให้ริ้วรอยแลดูลดเลือนและดูกระชับได้เป็นหลัก ถ้าไม่มีก็ให้ใช้วาสลีนทาใต้ตาก่อนเข้านอน ส่วนกลางวันก็ให้เลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตาในเวลากลางวันด้วย สำหรับการใช้อย่างถูกวิธีนั้นก็ไม่ยากเลย เพียงแค่คุณลูบไล้ครีมหรืออายเจลรอบดวงตาที่แห้งหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าก่อนการทาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ พร้อมกับตบเบา ๆ (ให้ใช้นิ้วก้อยหรือนิ้วนางในการทา เพราะเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด และอย่าพยายามถูหรือดึงผิวหนังรอบดวงตา เพราะจะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง จนนำไปสู่ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่เพิ่มมากขึ้นได้)
- สูตรใบบัวบก ให้นำใบบัวบกสด ๆ มาปั่นหรือตำ แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกที่ได้นำมาพอกใต้ตาหรือทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้ให้ทำทุกวันก่อนนอน โดยใบบัวบกจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้
- สูตรแตงกวา ให้คุณใช้แตงกวาผลโตที่ล้างสะอาดแล้วนำมาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ เพียง 2 แว่น นำมาปิดทับลงบนเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงค่อยนำแตงกวาออก สูตรนี้ให้ทำอย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นขึ้นและริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง
- การรักษาด้วยยาทา โดยจะเป็นการใช้ยาทาในกลุ่มวิตามินซีและวิตามินเอ นำมาทาบริเวณดวงตาเบา ๆ บาง ๆ จากหัวตาไปยังหางตาทั้งเปลือกตาล่างและบน เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและชะลอการเกิดริ้วรอยให้ช้าลง ข้อดีของวิธีนี้คือจะมีค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมากนัก แต่การรักษาจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่จะเหมาะกับกรณีที่เป็นริ้วรอยตื้น ๆ เท่านั้น ส่วนริ้วรอยลึก ๆ หรือรอยตีนกาจะช่วยได้แค่ชะลอให้เกิดช้าลงเท่านั้น
- โบท็อกซ์ (Botox) สุดยอดวิธีรักษาริ้วรอยใต้ตาที่เป็นริ้วเล็ก ๆ รวมถึงรอยตีนกาอย่างได้ผลภายใน 1-2 สัปดาห์หลังทำ โดยโบท็อกซ์จะมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยจางลงอย่างชัดเจน เหมาะกับคนที่ใช้สารพัดครีมใต้ดวงตามาแล้วแต่ไม่ได้ผล (ก็แน่ล่ะ เพราะถ้าเกิดริ้วรอยใต้ตาแล้ว การทาครีมอย่างมากก็ช่วยได้แค่ทำให้ริ้วรอยดูลดเลือนหรือจางลงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม การทาครีมก็ยังถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันสามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ได้นั่นเอง) แต่ต้องทำการฉีดซ้ำทุก ๆ 6-8 เดือน และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าฉีดมากเกินไปจะทำให้ใต้ตาดูตึงและยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 3 พันบาทขึ้นไปครับ ขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตและคุณภาพของยาที่นำมาใช้ฉีด (ภาพก่อนและหลังการฉีดโบท็อกซ์ โดยใช้ Dysport®)
- ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยใต้ตาค่อนข้างเยอะและมีปัญหาร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากนัก (แอ่งใต้ตา หรือ เบ้าตาลึก) คุณอาจใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มแอ่งใต้ตาให้ตื้นขึ้นเพื่อช่วยลดรอยเหี่ยวย่นใต้ตา ร่องใต้ตาลึก และทำให้ใต้ตาดูอวบอิ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิมได้ โดยสารที่นำมาฉีดจะเป็นสังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายอย่างไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA) ซึ่งสารที่นำมาฉีดนี้จะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติและต้องทำการฉีดซ้ำทุก ๆ 6-8 เดือน ค่าทำต่อครั้งก็ประมาณ 1 หมื่นบาทขึ้นไปครับ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ หลังฉีดแล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที (ภาพก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ 2 สัปดาห์ โดยใช้ Restylane®)
- การฉีดไขมันใต้ตา (Fat Transfer) สำหรับในกรณีที่การฉีดโบท็อกซ์เพียงอย่างเดียวเอาไม่อยู่ คุณอาจเลือกใช้วิธีฉีดไขมันของตัวเองที่มีอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้องหรือต้นขา โดยนำมาฉีดลงไปยังผิวหนังบริเวณใต้ตาเพื่อให้เซลล์ไขมันไปสัมผัสกับเนื้อเยื่อภายในมากที่สุด จึงทำให้ผิวกระชับเต่งตึงและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือผลกระทบหลังการฉีด แต่วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่มีริ้วรอยใต้ตาลึกและมีปัญหาร่องใต้ตาลึกและกว้างด้วย และต้องทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ ราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 3 หมื่นบาทขึ้นไป
- เลเซอร์ใต้ตา จะเป็นการใช้เลเซอร์ในกลุ่มช่วยในการซ่อมแซมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือ Laser Resurfacing เช่น CO2 laser, Erbium Laser, YSGG laser ฯลฯ ก็สามารถช่วยทำให้รอยย่นที่ลงลึกค่อย ๆ จางลงได้ จะเห็นผลได้ดีกับริ้วรอยที่ไม่ลึกมากนัก (ถ้าลึกมากแนะนำให้ใช้วิธีอื่นอย่างเช่นการฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันใต้ตา ตามความเหมาะสม) แต่จะเห็นผลค่อนข้างช้าอย่างน้อยประมาณ 2-3 เดือน คนไข้จึงมักไม่สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง (แต่ถ้ามีการเปรียบเทียบโดยภาพถ่ายอาจจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลา 2-3 เดือน) ในขณะทำการเลเซอร์จะมีอาการร้อนเล็กน้อย หลังทำเลเซอร์แล้วอาจมีอาการบวมแดง ตึง ๆ อยู่สักประมาณ 15-20 นาที การรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายสูงและเห็นผลช้า (ภาพก่อนและหลังการรักษาจำนวน 4 ครั้ง ระยะเวลา 6 สัปดาห์ โดยใช้ fraxel laser)
- รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมการรักษาร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ โบท็อกซ์ ฯลฯ ซึ่ง RF สามารถช่วยรักษาเรื่องริ้วรอยต่าง ๆ ริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวหนังหย่อนไม่กระชับบนใบหน้า รวมถึงริ้วรอยรอบดวงตาได้ โดยเป็นการใช้หลักการทำงานด้วยความร้อนปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุ ที่จะไปช่วยเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังในชั้นหนังแท้ซึ่งมีคอลลาเจนอยู่ให้เกิดการกระชับตัว และกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ทำให้ปัญหาริ้วรอยของคุณลดลงได้และอยู่ได้นานเมื่อทำการรักษาตั้งแต่ 4-6 ครั้งขึ้นไป
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)