พะยูง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นพะยูง ไม้พะยูง 10 ข้อ !

พะยูง

พะยูง ชื่อสามัญ Siamese Rosewood, Thailand Rosewood, Tracwood, Black Wood, Rose Wood[2]

พะยูง ชื่อวิทยาศาสตร์ Dalbergia cochinchinensis Pierre จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)[1],[2],[3]

สมุนไพรพะยูง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ประดู่เสน (ตราด), ขะยูง (อุบลราชธานี), ประดู่ตม (จันทบุรี), แดงจีน (ปราจีนบุรี), พะยูงไหม (สระบุรี), ประดู่ลาย (ชลบุรี), พยุง พะยูง (ทั่วไป), กระยง กระยูง (เขมร-สุรินทร์), หัวลีเมาะ (จีน) เป็นต้น[1]

ข้อควรรู้ : ต้นพะยูงเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลของจังหวัดหนองบัวลำภู

ลักษณะของต้นพะยูง

  • ต้นพะยูง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบช่วงสั้น ๆ มีลักษณะคล้ายกับต้นประดู่ โดยมีความสูงของต้นได้ถึง 25 เมตร เมื่อโตเต็มที่ลำต้นจะมีลักษณะเปลาตรง มีเรือนยอดเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ทึบ เปลือกต้นเรียบเป็นสีเทา และล่อนเป็นแผ่นบาง ๆ ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีน้ำตาลแกมสีเหลือง เนื้อไม้เป็นสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียด มีความแข็งแรงทนทาน มีแก่นหอมร้อนและมีรสขมฝาดเล็กน้อย การขยายพันธุ์ที่นิยมทำกันก็คือ การนำเมล็ดมาเพาะให้เป็นต้นกล้า ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและนิยมกันมาก สำหรับวิธีการขยายพันธุ์โดยวิธีอื่น ๆ ก็สามารถทำได้โดยการนำเหง้ามาปักชำ สามารถขึ้นได้ในดินทุกชนิด ทนแล้งได้ดี ต้นพะยูงเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในประเทศไทยพบขึ้นกระจัดกระจายทั่วไปตามป่าเบญจพรรณชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าราบ ป่าโปร่ง และขึ้นประปรายทั่วไปทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-300 เมตร[1],[2],[3]

ต้นพะยูง

  • ใบพะยูง ใบเป็นใบประกอบ ออกเป็นช่อแบบขนนกปลายคี่ ช่อติดเรียงสลับกัน ยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ใบและช่อจะใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปไข่ ติดเรียงสลับประมาณ 7-9 ใบ ปลายสุดของช่อใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน รูปไข่ หรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมยื่นเล็กน้อย โคนใบมนกว้าง แล้วค่อย ๆ เรียวสอบแหลมไปทางปลายใบ ส่วนขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเหนียวคล้ายกับแผ่นหนังบาง ๆ หลังใบเป็นมันสีเขียวเข้มกว่าด้านท้องใบ โดยท้องใบเป็นสีเขียวนวล ใบเกลี้ยงไม่มีขนทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบมีประมาณ 6-8 คู่ พอสังเกตเห็นได้ทั้งสองด้าน ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ส่วนแกนกลางใบประกอบยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร[2],[3]

ใบพะยูง

  • ดอกพะยูง ดอกออกรวมกันเป็นช่อแยกแขนง ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้กับปลายยอด ช่อดอกตั้งขึ้น ยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปดอกถั่วสีขาวนวล มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 5-8 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 5 กลีบ ส่วนกลีบฐานดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยตื้น ๆ หรือเป็นรูประฆัง ขอบหยักเป็นแฉกตื้น ๆ 5 แฉก มีขนสั้น กลีบคลุมมีลักษณะคล้ายรูปโล่ กลีบปีกสองกลีบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ส่วนกลีบกระโดงเชื่อมติดกัน มีลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวหรือรูปเรือ ดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน อันบนอยู่เป็นอิสระ นอกนั้นจะอยู่ติดกันเป็นกลุ่ม ๆ ส่วนรังไข่มีลักษณะเป็นรูปรี ภายในมีช่องเดียว แต่มีไข่อ่อนอยู่หลายหน่วย หลอดท่อรังไข่มีหลอดเดียว ยาวยื่นพ้นเกสรเพศผู้ขึ้นมา โดยต้นพะยูงจะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม[2],[3]

ดอกพะยูง

ดอกพยุง

  • ผลพะยูง ออกผลเป็นฝัก ลักษณะของฝักเป็นรูปขอบขนาน แบนและบอบบาง มีขนาดกว้างประมาณ 1.2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ผิวฝักเกลี้ยง ตรงกลางมีกระเปาะหุ้มเมล็ด บริเวณที่หุ้มเมล็ดจะมองเห็นเส้นแขนงไม่ชัดเจน ฝักจะแก่ประมาณ 2 เดือนหลังการออกดอก ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน เมื่อฝักแก่แล้วจะไม่แตกออกเหมือนฝักมะค่าโม่งหรือฝักไม้แดง แต่ฝักจะร่วงหล่นโดยที่เมล็ดยังอยู่ในฝัก[2],[3]

ผลพะยูง

  • เมล็ดพะยูง เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต สีน้ำตาลเข้ม มีประมาณ 1-4 เมล็ดต่อฝัก ผิวเมล็ดค่อนข้างมัน มีขนาดกว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร[3]

สรรพคุณของพะยูง

  1. ตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้เปลือกต้นหรือแก่นพะยูง นำมาผสมกับแก่นสนสามใบ แก่นขี้เหล็ก และแก่นแสมสาร ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้มะเร็ง (เปลือกต้น, แก่น)[3]
  2. รากใช้กินเป็นยารักษาอาการไข้พิษเซื่องซึม (ราก)[1],[2],[3]
  3. เปลือกนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้เป็นยาอมรักษาโรคปากเปื่อย ปากแตกระแหง (เปลือก)[1],[2],[3]
  4. ยางสดใช้เป็นยาทาปาก รักษาโรคปากเปื่อย (ยางสด)[1],[2]
  5. ยางสดใช้ทาแก้เท้าเปื่อย (ยางสด)[3]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของพะยูง

  • ลำต้นพะยูงพบสารในกลุ่มฟีนอลิกและฟลาโวน ได้แก่ 6-hydroxy-2,7-dimethoxyneoflavene, 6,4′-dihydroxy-7-methoxyflavan , 2,2′,5-trihydroxy-4-methoxybenzophenone, 7-hydroxy-6-methoxyflavone, 9-hydroxy-6,7-dimethoxydalbergiquinol[3]
  • สารฟีนอลิกจากลำต้นพะยูงมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase จึงช่วยลดปริมาณการสร้างฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจนได้ ซึ่งอาจนำไปพัฒนาเป็นยารักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนแอนโดรเจนมากเกินไปได้ในอนาคต[3]

ประโยชน์ของพะยูง

  1. ผลใช้ทำเป็นไม้ประดับแห้งได้[4]
  2. ไม้พะยูง เนื่องจากพะยูงมีเนื้อไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงามไม้พยุง จนถือได้ว่าเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งในตลาดโลก (แพงกว่าไม้สักหลายเท่านัก) เป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จนนำไปสู่ปัญหาใหญ่ภายในประเทศคือการลักลอบตัดไม้พะยูงเพื่อส่งออก (เบื้องต้นอยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 800 บาท คิวละ 2-6 แสนบาท (ในขณะที่ไม้สักคิวละประมาณ 3-5 หมื่นบาท) แต่ถ้าส่งออกจะมีราคาแพงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว) เพราะเนื้อไม้พะยูงเป็นไม้ที่ละเอียดเหนียว มีความแข็งแรงทนทาน และชักเงาได้ดี มีน้ำมันในตัว นิยมนำมาใช้ในการทำเครื่องเรือน เครื่องใช้ ทำสิ่งประดิษฐ์ งานแกะสลัก ไม้ถือและด้ามเครื่องมือ ที่มีคุณภาพดีและราคาแพง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ทำส่วนต่าง ๆ ของเกวียน ทำกระบะยนต์ ด้ามหอก คันธนู หน้าไม้ กระสวยทอผ้า ใช้ทำเป็นเครื่องดนตรี เช่น ซออู้ ซอด้วง ขลุ่ย รำมะนา ลูกระนาด โทน ฯลฯ หรือใช้ทำเป็นวัตถุมงคลและของแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ เช่น เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว ตัวปี่เซียะ เป็นต้น ในปัจจุบันไม้พะยูงจัดเป็นไม้สงวน หากใครมีไว้ในครอบครองจะถือว่ามีความผิด (มีสถานภาพเป็นไม้หวงห้ามธรรมดาประเภท ก) เนื่องจากในเวลานี้ไม้พะยูงถือว่าเหลือเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น และกำลังเผชิญกับสภาวะที่ล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์ ส่วนในประเทศอื่น ๆ อย่างประเทศลาวที่เคยมีมากก็หมดไปแล้ว ส่วนสาเหตุที่คนไทยไม่ใช้ประโยชน์จากไม้พะยูงมากเท่าใดนัก ก็คงเป็นเพราะไม้ชนิดนี้มีราคาสูงมากบวกกับคนไทยมีความเชื่อบางอย่าง ที่เชื่อว่าไม้พะยูงเป็นของสูง ผู้ที่มีบารมีไม่ถึงไม่สมควรเอามาใช้ เพราะจะมีปัญหาภายหลัง (ยกเว้นเอามาทำเป็นหิ้งพระ) ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงไม่นิยมนำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน บันไดบ้าน และเตียงนอน ใช้เพียงแต่ทำรั้วบ้านเท่านั้น[2]
  3. ประโยชน์ของไม้พะยูงกับการเลี้ยงครั่ง ไม้พะยูง เป็นไม้ที่สามารถนำมาเลี้ยงครั่งได้ดีชนิดหนึ่ง โดยสามารถให้ผลผลิตสูงถึงต้นละประมาณ 50 กิโลกรัม และทำให้ครั่งได้มาตรฐานจัดอยู่ในเกรดเอ[2]
  4. ต้นพะยูงจัดเป็นไม้มงคลนาม ตามชื่อที่พ้องกับคำว่า “พยุง” ที่หมายถึง การประคองให้อยู่ในสภาพปกติ ช่วยให้ทรงตัวได้ จึงมีความเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นพะยูงไว้เป็นไม้ประจำบ้าน จะทำให้บุคคลในบ้านมีแต่ความเจริญ มีฐานะดีขึ้น ช่วยทำให้ชีวิตไม่ตกต่ำ ช่วยพยุงให้โชคดีมีชัย และต้นพะยูงยังจัดเป็นไม้มงคลที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารหรือก่อฐานประดิษฐ์วัตถุต่าง ๆ เช่น ในการนำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย ควรปลูกต้นพะยูงในวันเสาร์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาคุณให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวผู้ปลูก ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพบุรุษ เพราะพยุงเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสุภาพบุรุษ อีกทั้งแก่นไม้พยุงก็มีความแข็งแกร่งทนทานจึงเปรียบเทียบได้กับความแข็งแรงของสุภาพบุรุษนั่นเอง นอกจากนี้พะยูงยังจัดเป็น 1 ใน 9 ของไม้มงคลไทยอีกด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย ราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์, ขนุน, ทองหลาง, ทรงบาดาล ไผ่สีสุก, สัก, กันเกรา, และพะยูง[3]
  5. การใช้งานด้านภูมิทัศน์ สามารถปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ร่มเงาที่สาธารณะหรือในบริเวณบ้านได้ เนื่องจากมีพุ่มใบละเอียดและมีดอกหอม[4]

ไม้พะยูง

หมายเหตุ : ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไม้พะยูงถูกลักลอบตัดกันมากและมีราคาแพงนั้น มีเรื่องเล่าว่ากว่าสิบปีที่ผ่านมาทางการจีนได้บูรณะซ่อมแซมวังของจักรพรรดิ (พระราชวังต้องห้ามกู้กง” – Forbidden City) เมื่อช่างได้รื้อและซ่อมงานไม้ต่าง ๆ ภายในวัง ต่างก็ได้พบว่า ไม้ส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ (เช่น เก้าอี้ โต๊ะต่าง ๆ) ล้วนทำมาจากไม้พะยูง และยังมีสภาพสมบูรณ์ดีมาก ทั้ง ๆ ที่ผ่านมานานหลายร้อยปี อีกอย่างไม้ที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชวังส่วนหนึ่งก็คือไม้พะยูง จึงต้องมีการนำมาใช้บูรณะในหลายส่วน ๆ จนทำให้เกิดการเล่าปากต่อปาก เกิดเป็นกระแสคนจีน (ที่มีเงิน) อยากได้ไม้ดังกล่าวมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์เป็นของตัวเองบ้าง ทำให้มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งสวนทางกับการเจริญเติบโตของต้นพะยูง ที่โตช้ามาก ต้นที่มีอายุร้อยกว่าปียังมีหน้าไม้ไม่ถึง 10 นิ้ว สุดท้ายก็ไม่พ้นประเทศไทยที่มีไม้พะยูงมากที่สุด (แต่ในปัจจุบันก็ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที) ส่วนประเทศเพื่อนบ้านต้นพะยูงก็ถูกตัดกันจนหมดเกลี้ยงแล้ว คงเหลือแต่บ้านเรานี้เอง

พระราชวังต้องห้าม

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “พะยูง”.  หน้า 552-553.
  2. สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนีย์ฯ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.  “พะยูง”. [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.dnp.go.th/pattani_botany/.  [23 ส.ค. 2014].
  3. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “พะยูง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [23 ส.ค. 2014].
  4. สำนักงานสวนสาธารณะ สำนักสิ่งแวดล้อม.  “พะยูง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : 203.155.220.217/office/ppdd/publicpark/thai/2011/.  [23 ส.ค. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by SK HO), www.wattano.ac.th, www.phargarden.com (by Sudarat Homhual)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด