น้ำมันปลา
น้ำมันปลา (Fish Oil) มีกรดไขมันอยู่หลายชนิด แต่กรดไขมันที่สำคัญมากที่สุด คือ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่ประกอบไปด้วย EPA และ DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ บำรุงสมองและสายตา แต่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยเฉพาะอาหารจำพวกปลาทะเลน้ำลึก (รวมไปถึงอาหารเสริมน้ำมันปลาที่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกเช่นกัน) เพราะมีกรดไขมันจำเป็นในปริมาณที่สูงและมีไขมันประเภทคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในปริมาณต่ำ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนท้องหรือคุณแม่ตั้งครรภ์หลาย ๆ คนนิยมรับประทานน้ำมันปลาเพื่อบำรุงครรภ์ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีโอเมก้า 3 สูง แต่น้ำมันปลาจะดีกับคุณแม่ตั้งครรภ์จริงหรือ ? บทความนี้มีคำตอบครับ
คนท้องทานน้ำมันปลาได้ไหม ?
คนท้องหรือหญิงตั้งครรภ์สามารถรับประทานน้ำมันปลาได้อย่างปลอดภัย หากคุณรับประทานอย่างถูกต้อง ทานในปริมาณที่เหมาะสม และอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ เพราะน้ำมันปลามีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อทั้งตัวคุณแม่เอง และอาจมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมอง สายตา และเสริมภูมิคุ้มกันของลูกน้อยด้วย
แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำแนะนำตามมาตรฐานเดิม (เพื่อความปลอดภัย) ว่า “ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในช่วง 3 เดือนแรก เพราะอาจมีผลต่อการฝังของตัวอ่อน และควรหยุดทานก่อนคลอดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด หรือทำให้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น การต้องคลอดก่อนกำหนด (เพราะความแข็งแรงของเด็กขึ้นอยู่กับอายุครรภ์)” แต่ในปัจจุบันก็มีหลายงานวิจัยที่ระบุว่า “ไม่พบว่าการรับประทานน้ำมันปลานั้นส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์” หากเรารับประทานอย่างถูกวิธีและในปริมาณที่เหมาะสม
น้ำมันปลาดีต่อคนท้องจริงหรือ ?
ดีครับ เพราะในน้ำมันปลามีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อคุณแม่ในเรื่องของการช่วยลดระดับไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรด์, ลดความดันโลหิต, ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ, มีคุณสมบัติต้านการอักเสบต่าง ๆ, สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ฯลฯ โดยเฉพาะ DHA ที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง ประสาท และจอประสาทตา หากทารกได้รับอย่างเพียงพอก็จะส่งผลให้มีพัฒนาการทางสมองและสายตาที่สมบูรณ์เหมือนทารกที่เกิดจากคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรงและรับประทานอาหารได้ครบหมู่อย่างสมดุล โดยเฉพาะคุณอาหารประเภทเนื้อปลาที่รับประทานได้เป็นประจำทุกวัน
น้ำมันปลาทำให้ลูกฉลาดขึ้นจริงหรือ ?
หลายงานวิจัยชิ้นก่อน ๆ ระบุว่า น้ำมันปลาหรืออาหารเสริมที่มี DHA อาจช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของทารกได้ แต่ก็มีงานวิจัยอีกชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ในวารสารของสมาคมแพทย์สหรัฐว่า น้ำมันปลา หรือ DHA ไม่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าว กล่าวคือ “น้ำมันปลาไม่ได้ทำให้เด็กในครรภ์ฉลาดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นอันตรายหรือส่งผลเสียถ้าคุณแม่จะเสริม DHA ด้วยการรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบของอาหารเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณแม่รับประทานอาหารได้ไม่ครบหมู่ ขาดการบริโภคปลาเป็นประจำ หรือมีสุขภาพไม่แข็งแรง หรือคุณแม่ที่รับประทานปลาได้น้อยเพราะเบื่อปลา แพ้ เหม็น หรือมีอาการคลื่นไส้ ซึ่งการรับประทานน้ำมันปลาก็ยังมีประโยชน์มากกว่าการไม่รับประทานอยู่ดี”
ประโยชน์ของน้ำมันปลาต่อคนท้อง
- สำหรับทารกแรกเกิด DHA ในน้ำมันปลาอาจช่วยพัฒนาสมองในระบบประสาทส่วนกลางและพัฒนาเซลล์เนื้อเยื่อดวงตาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการมองเห็นของเด็ก โดยเฉพาะพัฒนาการทางสมองของเด็กในช่วงที่อยู่ในครรภ์ไตรมาสสุดท้ายและในช่วงเดือนแรก ๆ หลังการคลอด เนื่องจาก DHA เป็นองค์ประกอบของเซลล์สมอง จอประสาทตา หากทารกได้รับอย่างเพียงพอก็จะส่งผลให้มีพัฒนาการทางสมองและสายตาที่สมบูรณ์ขึ้น
- งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลียตะวันตก (The University of Western Australia) พบว่า การเสริมน้ำมันปลาอาจนำไปสู่การทำให้การประสานกันของตาและมือที่ดีขึ้น (ทดสอบในเด็ก 72 คน โดยเปรียบเทียบมารดาที่ได้รับน้ำมันปลาในปริมาณมากในระหว่างการตั้งครรภ์กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำมันมะกอก) การรับประทานน้ำมันปลาในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกายให้คุณแม่ได้ และยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ทารกด้วยเช่นกัน โดยอาจมีผลช่วยทำให้ทารกไม่ค่อยเป็นหวัดในช่วงเดือนแรก ๆ หลังการคลอด เพราะจากการศึกษาวิจัยของคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมโมรี (Emory University) ที่ได้ติดตามหญิงชาวแม็กซิกันจำนวน 851 คน (ผู้หญิงครึ่งหนึ่งทาน DHA วันละ 400 มิลลิกรัม กับอีกครึ่งหนึ่งที่ได้รับยาหลอก) ตั้งแต่ช่วงระหว่างเดือนที่ 4-6 ของการตั้งครรภ์ต่อเนื่องไปจนทารกมีอายุหกเดือน แล้วทำการสัมภาษณ์ถึงปัญหาสุขภาพของเด็กทารกว่ามีอาการโรคทางเดินหายใจหรือไม่ ตั้งแต่อาการไอ มีเสมหะ คัดจมูก หายใจมีเสียงฟืดฟาด หรือเป็นหวัด พบว่า “ทารกที่แม่ทาน DHA เป็นประจำจะมีอาการของโรคทางเดินหายใจน้อยกว่าเมื่อเจ็บป่วย”
- การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักพบเจอได้
- สำหรับคุณแม่หลังคลอด การรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบอาหารเสริมอาจช่วยลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับประโยชน์อื่น ๆ ของน้ำมันปลาอย่างละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ น้ำมันปลา (Fish Oil) ประโยชน์ของน้ำมันปลา 24 ข้อ ! (2020)
ข้อควรระวังของน้ำมันปลาต่อคนท้อง
แม้น้ำมันปลาในรูปแบบของอาหารเสริมจะมีประโยชน์ แต่หากรับประทานมากเกินความต้องการของร่างกายก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้ เช่น
- คุณแม่บางท่านที่รับประทานน้ำมันปลา อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นได้
- อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์บางท่าน
- อาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ท้องเสีย, เรอบ่อย, มีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นปลา, ผื่นคันจากการแพ้ เป็นต้น หากพบอาการตามที่กล่าวมาควรหยุดรับประทานทานและไปพบแพทย์ทันที
คำแนะนำในการรับประทานน้ำมันปลาสำหรับคนท้อง
- คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพแข็งแรง รับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่อย่างสมดุล โดยเฉพาะคุณแม่ที่รับประทานปลาเป็นประจำ สมองและพัฒนาการต่าง ๆ ของทารกก็สามารถพัฒนาได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้ำมันปลา
- สำหรับแหล่งอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมกเคอเรล ปลาแอนโชวี. ปลาคอด ปลาเฮริ่ง ฯลฯ และยังพบได้ในกุ้งทะเล ปูทะเล รวมไปถึงผักโขม ถั่วเหลือง ถั่วอัลมอลต์ ถั่วแระ ข้าวโอ๊ต วอลนัท เมล็ดฟักทอง น้ำมันคาโนลา และผลิตภัณฑ์จากนม
- คนท้องไม่ควรรับประทาน “น้ำมันตับปลา” เนื่องจากมีปริมาณของวิตามินเอสูง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ได้ ระวังอย่าจำสับสนกันนะครับ “น้ำมันปลา (Fish Oil) กับน้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) ไม่ใช่อย่างเดียวกัน และไม่สามารถใช้แทนกันได้”
- คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหารเสริมทุกชนิดรวมถึงน้ำมันปลา โดยควรปรึกษาและแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งว่าคุณแม่ทานอาหารเสริมชนิดใดบ้าง เพื่อที่แพทย์จะได้ให้คำแนะนำและกำหนดปริมาณที่เหมาะสมไม่ให้เกินต่อความต้องการของร่างกาย
วิธีทานน้ำมันปลาของคนท้อง
- คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 25-35 สัปดาห์ และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับ DHA วันละ 100-300 มิลลิกรัม ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) หรือวันละ 1-2 แคปซูล เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองและสายตาของทารกและเด็ก (โดยปกติแล้วน้ำมันปลาสูตรทั่วไปเกือบทุก ๆ ยี่ห้อจะมี DHA อยู่ 120 มิลลิกรัม/แคปซูล หรือถ้าเป็นสูตรสำหรับคนท้องโดยเฉพาะก็มี DHA อยู่ที่ 125 มิลลิกรัม/แคปซูลครับ ถ้าคุณแม่ทานวันละ 2 แคปซูลก็จะได้ DHA วันละ 240-250 มิลลิกรัม)
- แม้น้ำมันปลาจะไม่มีอันตรายต่อคนท้อง แต่เพื่อความปลอดภัย ในช่วง 12 สัปดาห์แรกที่เป็นช่วงที่ตัวอ่อนกำลังสร้างอวัยวะแนะนำให้งดการรับประทานน้ำมันปลา และให้หยุดรับประทานน้ำมันปลาในช่วงประมาณ 4 สัปดาห์ก่อนคลอดบุตร หรือหากไม่มั่นใจควรปรึกษาแพทย์
น้ำมันปลาสำหรับคนท้องยี่ห้อไหนดี
น้ำมันปลายี่ห้อไหนก็ให้ผลไม่ต่างกันมากนัก เพราะสูตรและปริมาณสารสำคัญจะคล้าย ๆ กันหมด ถ้าคุณแม่รับประทานได้ในปริมาณที่แนะนำก็เป็นอันใช้ได้ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ ผลิตจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ขั้นตอนการผลิตได้มาตรฐาน ขวดบรรจุภัณฑ์ออกแบบมาดี เป็นต้น
หรือถ้าคุณแม่ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อน้ำมันปลายี่ห้อไหนก็สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความ “10 อันดับน้ำมันปลายอดนิยม & รีวิวจากการใช้จริง ! (2020)” ครับ เพราะเราได้ทำการจัดอันดับเอาไว้แล้ว โดยวัดคะแนนจากความน่าเชื่อถือของแบรนด์, ลักษณะของขวดบรรจุภัณฑ์, คุณภาพของวัตถุดิบและปริมาณสารสำคัญ, กลิ่นของน้ำมันปลา และความคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย โดยอันดับ 1-10 นั้นมีดังนี้
- MEGA We care FISH OIL 1000 mg
- VISTRA SALMON FISH OIL 1000 mg
- BEWEL SALMON FISH OIL 1000 mg
- BLACKMORES FISH OIL 1000
- NUTRAKAL Salmon Oil Fish Omega 3
- NUTRI MASTER FISH OIL 1000 mg.
- HOF FISH OIL 1000 MG.
- Giffarine FISH OIL 1000
- watsons FISH OIL 1000 MG
- AMSEL Fish Oil 1,000 mg.
น้ำมันปลาสูตรคนท้อง
สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการเสริม DHA ให้ลูกโดยเฉพาะ นอกจากน้ำมันปลาสูตรทั่วไปที่ปกติจะมี DHA 120 มิลลิกรัมแล้ว ยังมีน้ำมันปลาสูตรคนท้องด้วยครับ โดยสูตรนี้จะมีความพิเศษตรงที่มี DHA เพิ่มมากขึ้นเป็น 125 มิลลิกรัม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของทารกในครรภ์ และลดปริมาณ EPA ที่ไม่จำเป็นสำหรับทารกให้น้อยลงอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่สนใจอยากลองรับประทานสูตรนี้ก็หาซื้อมารับประทานกันได้ครับ คาดว่าน่าจะมีหลายอยู่ยี่ห้อนะครับ หรือถ้าไม่สะดวกจะรับประทานสูตรปกติก็ได้เช่นกันครับ
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)