ตะบา
ตะบา ชื่อวิทยาศาสตร์ Hoya coronaria Blume จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1]
สมุนไพรตะบา มีชื่อท้องอื่น ๆ ว่า ตะขา (มาเล-นราธิวาส), ดาวขาว ดาวชมพู โฮย่าดาว (ไทย) เป็นต้น[1]
ลักษณะของตะบา
- ต้นตะบา จัดเป็นพรรณไม้เลื้อยที่ชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่พอสมควร ตามกิ่งก้านและยอดอ่อนจะมีขนเส้นเล็ก ๆ ขึ้นปกคลุม หงิกงอไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มักขึ้นตามป่าชื้นหรือป่าพรุ โดยจะเกาะอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ๆ[1]
- ใบตะบา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงกันเป็นคู่ ๆ ไปตามข้อของต้น ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบจะม้วนลงเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-2 นิ้ว และยาวประมาณ 3-4 นิ้ว แผ่นใบเป็นสีเขียว เนื้อใบหนา ด้านล่างมีขน ก้านยาวไม่เกิน 0.5 นิ้ว[1]
- ดอกตะบา ออกดอกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของกิ่งหรือตามซอกใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5-1 นิ้ว ลักษณะของดอกเป็นรูปดาว มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกค่อนข้างหนาเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ๆ และบนกลีบอาจมีจุดสีชมพูหรือสีม่วง ส่วนกลีบรองดอกเป็นสีเขียว มี 5 กลีบ[1]
- ผลตะบา ลักษณะเป็นฝักหนา เปลือกฝักหนามาก ชั้นในแข็ง ลักษณะของผลเป็นรูปเกือบทรงกระบอก ปลายมน มีขนาดกว้างประมาณ 1.5-2 นิ้ว และยาวประมาณ 6-8 นิ้ว มีเมล็ดอยู่ภายใน[1]
สรรพคุณของตะบา
- ชาวชวาจะใช้ยางนำมาทำเป็นอาหาร ผสมกับน้ำพริกรับประทานเป็นยาเจริญอาหาร (ยาง)[1]
- ยางมีรสขมมาก มีสรรพคุณช่วยทำให้อาเจียน (ยาง)[1]
ข้อควรระวัง : ยางจากทุกส่วนของต้นถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้อาเจียนอย่างแรง[2]
ประโยชน์ของตะบา
- ตะบาหรือโฮย่าดาวเป็นโฮย่าชนิดหนึ่งที่ดอกมีความสวยงาม มีทั้งชนิดดอกขาวและดอกชมพู นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[1]
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “ตะบา”. หน้า 309-310.
- ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา. “พืชมีพิษในประเทศไทย (2)”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/ez.mm_main.asp. [20 ธ.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Sarawak Lens, fracass.be, loupok, pat_ktl, Pep)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)