ชะเอมเทศ (Licorice) สรรพคุณและประโยชน์สรุปจาก 82 งานวิจัย!

สมุนไพรชะเอมเทศ

ชะเอมเทศเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคและอาการต่าง ๆ มาอย่างช้านาน โดยการใช้ชะเอมเทศในทางการแพทย์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ในส่วนของรากชะเอมเทศ (Licorice root) ที่ถูกนำไปทำเป็นเครื่องดื่มรสหวานสำหรับฟาโรห์ ใช้ในยาจีนแผนโบราณ ใช้ในตะวันออกกลาง และกรีกเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น อาการปวดท้อง ลดการอักเสบ รักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจส่วนบน ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีประวัติบันทึกการใช้ประโยชน์ของชะเอมเทศในด้านต่าง ๆ อยู่มากมาย แต่การใช้ประโยชน์บางอย่างเท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนและมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รับรอง ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึงกันตั้งแต่ประโยชน์การใช้แบบดั้งเดิม ประโยชน์การใช้ในยุคปัจจุบัน ผลข้างเคียง ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม คำแนะนำหรือข้อควรรู้ ผลิตภัณฑ์ชะเอมเทศในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ชะเอมเทศที่มีในบ้านเรา

ชะเอมเทศ

ชะเอมเทศ ชื่อสามัญ Licorice, Chinese licorice, Russian licorice, Spanish licorice

ชะเอมเทศ ชื่อวิทยาศาสตร์ Glycyrrhiza glabra L., Glycyrrhiza uralensis Fisch., Glycyrrhiza inflata Bat. ฯลฯ จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)

สมุนไพรชะเอมเทศ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กำเช่า กำเช้า (จีน-แต้จิ๋ว), กันเฉ่า (จีนกลาง), ชะเอมจีน เป็นต้น

ลักษณะของต้นชะเอมเทศ

รากชะเอมเทศและสารสำคัญ

ประโยชน์ของชะเอมเทศ

  1. ต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากรากชะเอมเทศมีสารสำคัญอย่าง กลีเซอไรซิน (Glycyrrhizin) และสารเคมีอื่น ๆ อีกหลายร้อยชนิด เช่น ไฟโตเอสโตรเจนและฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ [2]
  2. ต้านการอักเสบ การศึกษาพบว่าชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ [3],[4] โดยมีฤทธิ์เหมือนคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงมีผลช่วยลดหรือรักษาอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการอักเสบได้หลายอย่าง เช่น การอักเสบของร่างกาย อาการแพ้ และโรคผิวหนังต่าง ๆ [5]
  3. ต้านไวรัสและต้านจุลชีพบางชนิด เช่น Candida albicans [6],[7]
    • ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การศึกษาพบว่าสารสกัดเอทานอลจากรากชะเอมเทศสามารถยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus ที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อที่บาดแผล ฝี และหนอง จึงสามารถนำไปใช้พัฒนาเป็นยายับยั้งเชื้อก่อโรคดังกล่าวได้ [8]
    • ฤทธิ์ต้านเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อรากลุ่ม Candida ที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในช่องปาก ช่องคลอด ทางเดินปัสสาวะ และการติดเชื้อในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยมีการทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อรากลุ่ม Candida ในหลอดทดลองโดยใช้สารสกัด 80% เมทานอลจากรากและเหง้าของชะเอมเทศ ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถยับยั้งเชื้อ Candida tropicalis ได้ดีที่สุด รองลงมาคือ Candida glabrata, Candida parapsilosis และ Candida albicans ตามลำดับ [9]
  4. บรรเทาอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เนื่องจากสารสกัดจากรากชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านจุลชีพ
    • การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัด Glycyrrhizin จากรากชะเอมเทศช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้ [10] โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับการรักษามาตรฐานอย่างยา Salbutamol ที่พบว่าช่วยเสริมฤทธิ์กันในการรักษาโรคหอบหืด [11]
    • การศึกษาอื่นพบว่า สารสกัด Glycyrrhizin อาจมีผลช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพของยาขยายหลอดลมที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) [12] และในการศึกษาอื่นยังพบว่า Glycyrrhizic acid อาจช่วยปกป้องเซลล์เยื่อบุผิวในหลอดลมหรือทางเดินที่นำไปสู่ปอดจากกระบวนการตายของเซลล์ ภาวะเครียดออกซิเดชั่น และการอักเสบได้ [13] ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคในระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ เมื่อใช้ร่วมกับการรักษามาตรฐาน
    • การศึกษาในมนุษย์รวมการศึกษา 29 เรื่องที่มีผู้เข่าร่วมจำนวน 3,001 คน พบว่าการใช้ยาสมุนไพร (ซึ่งรวมถึงรากชะเอมเทศ) ร่วมกับการรักษาด้วยยาตามปกติ ทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาโรคหอบหืดดีขึ้นมากกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว ทั้งในแง่ของการควบคุมโรค ปรับปรุงการทำงานของปอด ลดการใช้ยา Salbutamol และลดอาการกำเริบเฉียบพลันของโรคใน 1 ปี [14] อย่างไรก็ตาม การศึกษาในมนุษย์ยังมีจำกัดและต้องศึกษาเพิ่มเติมถึงประสิทธิภาพของชะเอมเทศในการรักษาโรคหอบหืดต่อไป
    • วัณโรคปอด บางข้อมูลระบุว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับยารักษามาตรฐานแล้วยังได้ผลไม่ดี เมื่อให้สารสกัดชะเอมเทศร่วมด้วยจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น [5]
  5. รักษาโรคในช่องปากและฟันทั่วไป เช่น ฟันผุ โรคปริทันต์ เชื้อราในช่องปาก โรคแผลร้อนในกำเริบ [15] แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์จากชะเอมเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เจล หมากฝรั่ง
    • ป้องกันฟันผุ เนื่องจากรากชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันผุ โดยมีการศึกษาในเด็กก่อนวัยเรียนจำนวน 66 ราย เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ โดยให้เด็กรับประทานลูกอมที่มีสารสกัดจากรากชะเอมเทศ 15 มิลลิกรัม (ลูกอมปราศจากน้ำตาล) วันละ 2 ครั้ง พบว่าช่วยลดจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus mutans ที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ฟันผุลงได้อย่างมาก [16] สอดคล้องกับการศึกษาในหลอกทดลองที่พบว่าสารสกัดจากรากชะเอมเทศมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันผุ [17] อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาถึงขนาดและรูปแบบของการใช้ที่เหมาะสมต่อไป
    • กระตุ้นการหลั่งน้ำลาย เนื่องจากชะเอมเทศมีรสหวานมันจึงมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำลายได้ โดยรวมจึงมีผลช่วยป้องกันฟันผุ เพราะน้ำลายทำหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์ ควบคุมความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมในช่องปาก (ป้องกันกัดกร่อนฟัน) นอกจากนี้น้ำลายยังมีบทบาทต้านจุลชีพในช่องปาก ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นฟัน ป้องกันการละลายและเสริมการสะสมของแร่ธาตุบนผิวฟัน [18]
    • ลดกลิ่นปาก สารสกัดจากชะเอมเทศอาจช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นหรือลดกลิ่นปากได้ โดยช่วยลดระดับของสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากที่เรียกว่า VSCs (Volatile sulfur compounds) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหากลิ่นปาก [19]
    • รักษาโรคปริทันต์ (Periodontal disease) เช่น โรคเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์อักเสบ โดยชะเอมเทศได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถยับยั้งเชื้อก่อโรคปริทันต์ชนิด Porphyromonas gingivalis ได้โดยตรง [15]
    • โรคแผลร้อนใน (Recurrent aphthous ulcer) ซึ่งพบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารสกัดชะเอมเทศเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและช่วยเร่งการรักษาแผลให้หายเร็วขึ้นได้ [20] สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่พบว่าการใช้แผ่นแปะละลายในปากที่มีสารสกัดจากชะเอมเทศ (Oral patch concerning glycyrrhiza) เป็นระยะเวลา 8 วัน สามารถลดขนาดและความรุนแรงของแผลลงได้อย่างมาก [21]
    • เชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush) การศึกษาพบว่าสาร Licochalcone A และ Glabridin ซึ่งเป็นไอโซฟลาโวนอยด์จากชะเอมเทศนั้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา Candida albicans ที่เป็นสาเหตุของโรคเชื้อราในช่องปาก [22]
  6. ลดอาการไอและขับเสมหะ การศึกษาพบว่าชะเอมเทศเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการระคายเคือง ขับเสมหะ และช่วยลดความถี่ในการไอได้อย่างมีนัยสำคัญ [23] เนื่องจากชะเอมเทศนั้นสามารถช่วยลดอาการอักเสบของเยื่อเมือกบริเวณหลอดลม ลดการระคายเคือง และมีฤทธิ์ระงับอาการไอทั้งแบบเฉพาะที่และแบบที่ไปกดที่ศูนย์ควบคุมการไอที่สมอง [24]
  7. คออักเสบ ชาสมุนไพรหลายชนิดซึ่งรวมถึงชาจากรากชะเอมเทศมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย S. pyogenes ซึ่งเป็นสาเหตุของคออักเสบ [25]
  8. อาการเจ็บคอ จากการทบทวนการศึกษาที่เชื่อถือได้พบว่าการใช้ชะเอมเทศแบบทาเฉพาะที่ก่อนเข้ารับการผ่าตัด สามารถช่วยลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของอาการเจ็บคอหลังการผ่าตัด (Postoperative sore throat หรือ POST เป็นอาการเจ็บจากการใช้ท่อช่วยหายใจสอดเข้าไปในลำคอระหว่างการผ่าตัดหลังจากผู้ป่วยรับยาสลบ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงแต่พบได้บ่อย) [26] สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่พบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากชะเอมเทศในขนาดต่าง ๆ กลั้วคอนาน 1 นาทีก่อนรับยาสลบ 5 นาที สามารถช่วยลดอุบัติการณ์และความรุนแรงของอาการเจ็บหลังการผ่าตัดได้อย่างมีนัยสำคัญ [27]
  9. อาจดีที่ระบบประสาทและสมอง โดยอาจใช้เป็นทางเลือกในการป้องกันปัญหาด้านความจำ กระตุ้นทักษะด้านความรู้ความเข้าใจเมื่ออายุมากขึ้นได้ เพราะมีงานวิจัยที่พบว่าสาร Carbenoxolone ในชะเอมเทศอาจมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ในสมองที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนความเครียดจนความสามารถในการทำงานของสมองเสื่อมลงได้ (ทดลองในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานเพศชายอายุ 55-70 ปี) ซึ่งสอดคล้องกับอีกงานวิจัยที่ทำในผู้ชายสูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน พบว่าชะเอมเทศอาจช่วยกระตุ้นความจำด้านคำศัพท์และการใช้ภาษาให้ดีขึ้น [28] อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเหล่านี้เป็นเพียงการศึกษาขนาดเล็กในผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม จึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
    • การศึกษาในหนูทดลองพบว่า Glycyrrhizinic acid สามารถช่วยรักษาการอักเสบของระบบประสาท (Neuroinflammation) และความบกพร่องของสมรรถนะทางสมอง (Cognitive Impairment) ในหนูทดลองได้ [29]
    • บางแหล่งข้อมูลยังระบุว่าชะเอมเทศอาจมีประโยชน์ต่อโรคอัลไซเมอร์และโรคซึมเศร้า
  10. อาจช่วยให้นอนหลับ การศึกษาในหนูทดลองพบว่า ชะเอมเทศอาจช่วยกระตุ้นให้นอนหลับและเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับได้ แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาต่อไป [30]
  11. เยื่อตาอักเสบ การรักษาผู้ป่วยเยื่อตาอักเสบเป็นผื่นแดง 60 ราย มีการใช้สารสกัดชะเอมเทศในรูปแบบสารละลายต่าง ๆ หยอดตาทุก 1-2 ชั่วโมง วันละ 3-4 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยจำนวน 56 ราย หายเป็นปกติหลังการรักษา 2-7 วัน แต่มีผู้ป่วย 2 รายที่หยุดยาเร็วเกินไปและทำให้อาการกลับมาอีก นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการเยื่อตาเป็นผื่นแดงอักเสบ เมื่อใช้ยานี้เป็นเวลา 2-14 วัน อาการปวด แดงจัด และผื่นแดง ค่อย ๆ ลดลงและหายเป็นปกติ [5]
  12. อาหารไม่ย่อย การศึกษาในผู้ใหญ่ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย 50 ราย เป็นเวลา 30 วัน พบว่าการรับประทานแคปซูลชะเอมเทศขนาด 75 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก [31]
  13. โรคกรดไหลย้อน (GERD) การศึกษาในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนจำนวน 58 ราย เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าการให้ Glycyrrhetinic acid ในขนาดต่ำร่วมกับวิธีการรักษามาตรฐาน ช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ [32] สอดคล้องกับการศึกษาอื่นที่พบว่าการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรรากชะเอมเทศทุกวันอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิภาพในการลดอาการกรดไหลย้อนในช่วง 2 ปีได้มากกว่าการใช้ยาลดกรดที่ใช้กันทั่วไป [33]
  14. รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งมักเกิดจากเชื้อ H. pylori โดยจากการศึกษาในหนูทดลองพบว่า การให้สารสกัดชะเอมเทศในขนาด 200 มก./กก. ของน้ำหนัก สามารถช่วยป้องกันแผลเหล่านี้ได้ดีกว่ายา Omeprazole ซึ่งเป็นยาที่ใช้เพื่อป้องกันหรือรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก [34] สอดคล้องกับอีกการศึกษาในมนุษย์ที่ศึกษาในผู้ใหญ่จำนวน 120 ราย เป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วพบว่าการใช้สารสกัดจากชะเอมเทศร่วมกับวิธีการรักษามาตรฐาน (ยาปฏิชีวนะ) ตามปกติสามารถช่วยลดเชื้อ H. pylori ที่เป็นสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกร่วมกับวิธีรักษามาตรฐาน (83% ต่อ 63% ซึ่งมีความแตกต่างกันเพียง 20% เท่านั้น) [35]
    • สารสกัดจากรากชะเอมเทศสามารถยับยั้งการเกาะติดของเชื้อ H. pylori ที่เนื้อเยื่อกระเพาะอาหารของคนได้อย่างมีนัยสำคัญ (ประมาณ 40%) สารสกัดนี้จึงมีศักยภาพในการนำมาใช้พัฒนายาที่ปกป้องเยื่อเมือกที่กระเพาะอาหารต่อการเกาะติดของเชื้อชนิดนี้ได้ (เชื้อ H. pylori สัมพันธ์กับการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และอาจทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้) [36]
    • สารสำคัญหลักในชะเอมเทศนอกจากจะมีฤทธิ์ลดการอักเสบแล้ว ยังเพิ่มอัตราการหลั่งเมือกของเยื่อเมือกกระเพาะอาหาร โดยมีรายงานว่าชะเอมเทศสามารถช่วยเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารในคนปกติและคนที่มีกรดน้อย แต่กลับทำให้การหลั่งกรดของคนที่มีกรดมากลดลงชั่วคราว [37]
  15. แก้ลำไส้บีบตัวผิดปกติ ซ้อนกันเป็นก้อน มีรายงานการใช้สารสกัดชะเอมเทศรักษาผู้ป่วยลำไส้บีบตัวผิดปกติจำนวน 254 ราย โดยผู้ใหญ่ให้รับประทานครั้งละ 10-15 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง พบว่าการรักษาได้ผลดีจำนวน 241 ราย โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 3-6 วัน [5]
  16. เพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนัก การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากรากชะเอมเทศสามารถช่วยลดดัชนีมวลกาย (BMI) และเพิ่มการลดน้ำหนักได้ [38] อย่างไรก็ตาม การศึกษาอื่น ๆ กลับไม่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (BMI ไม่เปลี่ยนแปลง) เช่น การศึกษาหนึ่งที่ทำในอาสาสมัครที่เป็นโรคอ้วน [39]
    • การศึกษาในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี พบว่าชะเอมเทศสามารถลดไขมันได้โดยยับยั้ง 11β-Hydroxysteroid dehydrogenase type 1 ที่ระดับเซลล์ไขมัน (แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของค่า BMI เนื่องจากอาสาสมัครบริโภคแคลอรีเท่ากันในระหว่างทำการศึกษา) [40] สอดคล้องกับการศึกษาอื่น ๆ ที่พบว่าช่วยลดมวลไขมันในร่างกายและไขมันในช่องท้องในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน [41] และการศึกษาในหนูทดลองที่พบว่าชะเอมเทศมีผลลดไขมันในช่องท้องและมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด [42]
  17. อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง เนื่องจากสารประกอบจากพืชหลายชนิดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ซึ่งสารสกัดจากรากชะเอมเทศก็เป็นหนึ่งในนั้นและมีการศึกษาถึงผลในการป้องกันมะเร็งบางชนิด [43] โดยอาจช่วยป้องกันความเสียหายต่อ DNA และกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตาย [44]
    • การศึกษาพบว่าชะเอมเทศสามารถช่วยชะลอหรือป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งผิวหนัง [45], มะเร็งเต้านม [46],[47], มะเร็งลำไส้ใหญ่ [48],[49] และมะเร็งต่อมลูกหมาก [50] แต่เนื่องจากการศึกษาวิจัยยังจำกัดอยู่ในเฉพาะในหลอดทดลองและในสัตว์ จึงยังไม่ทราบถึงผลในการชะลอหรือป้องกันมะเร็งในมนุษย์
    • การใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ มีการศึกษาทดลองเปรียบเทียบระหว่างการใช้ฟิล์มกาว Triamcinolone acetonide (เป็นวิธีการรักษามาตรฐาน) กับฟิล์มกาว Licorice พบว่าทั้งสองต่างก็มีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบของผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างการรักษาด้วยรังสี แต่ในกลุ่มที่ใช้ฟิล์มกาว Licorice นั้นมีแนวโน้มที่จะมีอาการรู้สึกไม่สบายในช่องปากลดลงมากกว่ากลุ่มที่ใช้ฟิล์มกาว Triamcinolone acetonide [51]
  18. โรคเบาหวาน การศึกษาในหนูทดลองเป็นระยะเวลา 60 วัน พบว่าหนูที่บริโภคสารสกัดจากรากชะเอมเทศทุกวันมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลง การทำงานของไตดีขึ้น และน้ำหนักตัวของหนูทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ [52] อย่างไรก็ตาม ประโยชน์นี้ยังไม่ได้รับการยืนยันผลในมนุษย์
  19. รักษาความดันโลหิตต่ำ การศึกษาพบว่าการรับประทานชะเอมเทศสามารถช่วยรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำที่เกิดจากโรคเบาหวานจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Diabetic autonomic neuropathy) [53]
  20. รักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalaemia) การเสริม Glycyrrhetinic acid (Glycyrrhizin) สามารถช่วยลดความเข้มข้นของโพแทสเซียมในเลือดได้ จึงมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ภาวะโพแทสเซียมสูงนั้นเป็นอันตรายร้ายแรง [54] การศึกษาในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ให้ได้รับสารสกัดน้ำจากรากชะเอมเทศที่มีสาร Glycyrrhizin ในขนาด 108, 217, 380 และ 814 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า เฉพาะอาสาสมัครกลุ่มที่ 4 (814 มก.) มีระดับความเข้มข้นของโพแทสเซียมในเลือดลดลงจาก 4.3 เป็น 3.5 mmol/l ร่วมกับมีระดับความดันโลหิตสูง และเกิดภาวะการบวมส่วนปลาย (Peripheral edema) ส่วนในกลุ่ม 1-2 ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ [55]
  21. อาจดีต่อสุขภาพตับ มีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ Glycyrrhizic acid ในการรักษาโรคตับมานานแล้ว เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านมะเร็ง ยับยั้งการตายของเซลล์ตับ [56] การศึกษาหนึ่งชี้ให้เห็นว่าชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงมีส่วนช่วยในการปกป้องตับหรือบรรเทาอาการจากภาวะไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ [57] และที่ไม่ได้เกิดจากแอลแอลกอฮอล์ [58] และอาจมีผลในการรักษาโรคตับอื่น ๆ เช่น ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Neonatal jaundice) [59]
  22. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) ในประเทศญี่ปุ่นมีการศึกษาการให้สาร Glycyrrhizin ทางหลอดเลือดเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง แล้วพบว่าสารนี้ช่วยปรับปรุงการทำงานของตับ [60]
  23. ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) การศึกษาในหลอดทดลองชิ้นหนึ่งพบว่าการเพิ่มการใช้สาร Glycyrrhizin ร่วมกับการรักษามาตรฐาน สามารถช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัสได้อย่างมาก [61] อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ในเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันในมนุษย์ จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
  24. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) การศึกษาในหนูทดลองพบว่า สารสกัดจากชะเอมเทศอาจมีประโยชน์ในการป้องกันการอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ [62] แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
  25. ลดอาการวัยทอง การศึกษาพบว่ารากชะเอมเทศมีสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะช่วยบรรเทาอาการวัยทองได้ดีเพียงใด [63] แต่มีการศึกษาหนึ่งในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอาการร้อนวูบวาบจำนวน 90 ราย แล้วนักวิจัยพบว่ากลุ่มที่รับประทานรากชะเอมเทศวันละ 330 มิลลิกรัม มีความถี่และความรุนแรงของอาการร้อนวูบวาบลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (แป้ง) แต่เมื่อหยุดการใช้รากชะเอมเทศ อาการก็กลับมาอีก [64] อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพในด้านนี้ยังมีจำกัดและจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
  26. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน มีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้สารสกัดชะเอมเทศกับยาไอบูโพรเฟนเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของผู้หญิง ผลการศึกษาพบว่าชะเอมเทศสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ [65]
  27. ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้หญิง การศึกษาพบว่าชะเอมเทศสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้หญิง โดยการบล็อก 7-hydroxysteroid dehydrogenase และ 17-20 lyase จึงอาจใช้เป็นการรักษาเสริมเพื่อรักษาภาวะขนดก (Hirsutism) และภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) [66]
  28. ปากมดลูกอักเสบเน่าเปื่อย มีรายการใช้สารละลายด่างดับทับทิมล้างช่องคลอดของผู้ป่วยแล้วใช้สำลีเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้สารสกัดชะเอมเทศทาปากมดลูก พบว่าได้ผลได้ดีในผู้ป่วยที่ปากมดลูกอักเสบปานกลาง โดยปกติจะใช้เวลาในการรักษา 2-3 รอบ แต่ละรอบทายา 5 ครั้ง ผู้ป่วยจะหายเป็นปกติ [5]
  29. เบาจืด (อาการปัสสาวะออกมากผิดปกติ) การศึกษาการใช้ผงชะเอมเทศ 5 กรัม รับประทานวันละ 4 ครั้ง เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคเบาจืดที่เป็นมานาน 4-9 ปี จำนวน 2 ราย พบว่าได้ผลในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัสสาวะลดลงเหลือวันละ 2,000-4,000 พันมิลลิลิตร จากวันละ 8,000 มิลลิลิตร อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป [5]
  30. ปรับผิวให้ขาวขึ้น สาร Liquiritin, Licochalcone A และ Glabridin ในชะเอมเทศสามารถช่วยปรับผิวให้ดูขาวกระจ่างใสขึ้นได้ จึงทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารเหล่านี้ออกวางจำหน่ายมากมายทั้งในรูปแบบครีมหรือเจลทา โดยงานวิจัยบางชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าสารดังกล่าวมีผลต่อเม็ดสีเมลานินในร่างกายที่อาจเกี่ยวข้องกับการปรับสีผิวให้ขาวขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในห้องทดลอง จำเป็นต้องศึกษาถึงประสิทธิภาพในมนุษย์เพิ่มเติมต่อไป) เช่น [28]
    • งานวิจัยที่พบว่าสาร Liquiritin ช่วยกระจายเม็ดสีเมลานิน ซึ่งอาจช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวขึ้นได้
    • งานวิจัยที่พบว่าสาร Licochalcone A ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เป็นตัวเพิ่มปริมาณเม็ดสีเมลานินมากเกินไป
    • งานวิจัยที่พบว่าสาร Glabridin อาจมีฤทธิ์ป้องกันผิวคล้ำจากรังสี UVB และอาจช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส
    • การศึกษาทดลองใช้สารสกัดจากชะเอมเทศเพื่อรักษาฝ้าแล้วพบว่าได้ผลดีและก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยมาก
  31. สิว (Acne) แม้จะมีการใช้เจลทาลิโคไลซ์เพื่อรักษาสิว แต่การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมันในเรื่องนี้ยังมีจำกัด โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งที่พบว่าสารสกัดจากชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านเชื้อ P. acnes [67]
  32. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) การศึกษาพบว่า การใช้เจลลิโคไลซ์ 1 และ 2% (Licorice topical gel) มีประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โดยแบบเจล 2% มีประสิทธิภาพมากกว่า 1% ในการลดอาการผื่นแดง บวม และอาการคัน [68]
  33. ผิวหนังบริเวณแขน ขา แตกเป็นขุย มีการศึกษาการใช้สารสกัดชะเอมเทศรักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังแตกมากจำนวน 17 ราย โดยใช้ทาบริเวณที่เป็นแล้วพบว่าได้ผลที่เป็นน่าพอใจ (เตรียมโดยใช้ชะเอมเทศ 30 กรัม หั่นเป็นแผ่นบาง ๆ แช่ใน 75% เอทานอล จำนวน 100 มิลลิลิตร ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วกรองสารสกัดที่ได้นำมาผสมกับกลีเซอรีนและน้ำจนครบ 100 มิลลิลิตร) [5]
  34. ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน มีน้ำเหลือง หรือเป็นแผลมีหนองเรื้อรัง การศึกษาพบว่าการใช้สารสกัดชะเอมเทศด้วยน้ำความเข้มข้น 2% ทาบริเวณที่เป็นทุก 2 ชั่วโมง (แต่ละครั้งทายานาน 15-20 นาที) เป็นเวลา 1-4 วัน แล้วผมว่าอาการบวมแดงหายไป น้ำเหลืองหยุดไหล แผลที่เน่าเปื่อยมีขนาดเล็กลง และให้ใช้ครีมซิงค์ออกไซด์หรือคาลาไมน์ทาต่ออีกหลายก็หายเป็นปกติ [5]
  35. แก้เส้นเลือดดำขอด การเสริมสารสกัดชะเอมเทศวันละ 12-20 มิลลิลิตร หรือรับประทานชะเอมเทศ 50 กรัม ต้มน้ำแบ่งกินก่อนอาหาร 3 ครั้ง พบว่าได้ผลดีในการรักษาผู้ป่วยเส้นเลือดดำขอดจำนวน 8 ราย อาการปวดบวมเป็นเส้นหายไป เนื่องจากสารสำคัญในชะเอมเทศสามารถช่วยบรรเทาอาการปวด อักเสบ และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ระงับการเกิดกลุ่มก้อนเนื้อ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยบางรายมีอาการบวมน้ำเล็กน้อย ความดันโลหิตสูงขึ้น แต่เมื่อลดขนาดยาลงอาการดังกล่าวก็หายไป [5]
    • นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการรับประทานสารสกัดชะเอมเทศวันละ 15 มิลลิลิตร (แบ่งทาน 3 ครั้ง) สามารถรักษาอาการเส้นเลือดดำอุดตันและอักเสบ หลังทานยา 3 สัปดาห์ พบว่าอาการส่วนใหญ่หายไป ผิวหนังสีแดงสดใสขึ้น อุ่นขึ้น ข้อเท้าและข้อต่อต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้เป็นปกติ [5]
  36. ฤทธิ์แก้พิษ มีรายงานว่าสารสกัดจากชะเอมเทศมีฤทธิ์แก้พิษของสตริกนิน, แอมโมเนียมคลอไรด์, ซัลไพริน, ลดความเป็นพิษของฮิสตามีน คลอรอลไฮเดรต โคเคน แอซิโนเบนซอล และปรอทไบคลอไรด์, แก้พิษเล็กน้อยหรือปานกลางต่อคาเฟอีน นิโคติน แอซิติลโคลีน บาร์บิทูเรท, แก้พิษปลาปักเป้าและงูพิษ, แก้พิษของเชื้อโรคคอตีบและบาดทะยัก, ป้องกันการทำลายตับของคาร์บอนเตตระคลอไรด์ เอทิลีนเตตระคลอไรด์ ยารักษาวัณโรค และแอลกอฮอล์ในสัตว์ทดลอง ฯลฯ [5]
  37. ฤทธิ์อื่น ๆ เช่น ฤทธิ์บรรเทาปวดในหนูทดลอง, ฤทธิ์เพิ่มแรงของกล้ามเนื้อในหนูทดลอง, ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งในไขกระดูกในหนูทดลอง, ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของกระต่ายทดลอง, ฤทธิ์บรรเทาอาการปวดและอาการชัก, ฤทธิ์ยับยั้งผลการกระตุ้นการเจริญเติบโตของมดลูกสัตว์ทดลองแม้ว่าจะตัดต่อมหมวกไตหรือรังไข่ออกแล้วฤทธิ์ก็ยังอยู่, ฤทธิ์ที่ส่งผลดีต่ออาการดีซ่านในสัตว์ทดลอง, ฤทธิ์รักษาอาการบวมอักเสบในหนูทดลอง, เพิ่มฤทธิ์การขับปัสสาวะของทีโอฟิลลีน (Theophylline) ฯลฯ
  38. ใช้เป็นสารให้ความหวานและดับกระหาย โดยเป็นสารให้ความหวานที่นิยมในน้ำอัดลม ผลิตภัณฑ์อาหาร ขนมขบเคี้ยว ลูกอม ใช้กลบรสขมของยา ปรุงแต่งรสยาสมุนไพรหลายชนิด หรือใช้ปรุงแต่งรสอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เนื่องจากสาร Glycyrrhizin เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 50-100 เท่า [1],[5]
    • การบริโภคเครื่องดื่มจากธรรมชาตินั้นเป็นที่นิยมในประเทศร้อนจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนถือศีลอดรอมฎอน ที่มีความเชื่อดั้งเดิมว่าชะเอมเทศเป็นสารธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพที่ไม่มีผลข้างเคียง [1]
    • น่าแปลกที่ในผลิตภัณฑ์ลูกอมชะเอมเทศหลายยี่ห้อมักไม่ได้ปรุงรสด้วยรากชะเอมเทศ แต่มักใช้น้ำมันโป๊ยกั๊กที่มีรสชาติคล้ายกันแทน
    • ชะเอมเทศผงสามารถนำมาผสมทำเป็นยาเม็ดกลมได้ ทำให้เนื้อยาข้นเหนียวพอเหมาะที่จะทำเป็นเม็ด หรือใช้ป้องกันเม็ดยาติดกันได้ [5]
  39. ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ใช้เป็นตัวปรับความชื้นในบุหรี่, ใช้ผสมในเบียร์ทำให้เบียร์ใสเป็นประกายและแต่งรสและกลิ่นด้วย, กากที่เหลือจากการสกัดชะเอมเทศที่นำมาใช้เป็นยาและแต่งรสหวานยังสามารถนำมาสกัดต่อด้วยสารละลายโซดาเจือจาง นำมาใช้ผสมในน้ำยาดับเพลิงเพื่อทำให้เกิดฟองที่คงทน หรือผสมในยาฆ่าแมลงเพื่อทำให้ยาฆ่าแมลงแผ่กระจายและติดใบไม้ดีขึ้นหรือติดตัวแมลงได้ดีขึ้น, กากที่เหลืออาจนำมาย่อยด้วยกรดจะได้น้ำตาล ซึ่งสามารถนำไปหมักเพื่อผลิตเอทานอลหรือใช้เลี้ยงยีสต์, กากที่เหลือยังใช้เพาะเห็ดหรือทำแผ่นฉนวนกล่องไม้หรือผลิตภัณฑ์เส้นใยต่าง ๆ ได้ [5]

สรรพคุณของชะเอมเทศ (ดั้งเดิม)

ตามองค์ความรู้ดั้งเดิมในบ้านเรานั้นมีปรากฏการใช้สมุนไพรชะเอมเทศเพื่อประโยชน์ดังนี้

ขนาดและรูปแบบผลิตภัณฑ์ของรากชะเอมเทศ

รีวิวผลิตภัณฑ์ชะเอมเทศ

หากนึกถึงชะเอมเทศ เราอาจจะนึกถึงรากชะเอมเทศแห้งฝานเป็นชิ้น ๆ ที่บรรจุขายในถุงซิปสำหรับ ใช้ปรุงยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ หรือนำมาต้มเพื่อเพิ่มความหวานให้อาหาร ขนม หรือเครื่องดื่ม ใช่ไหมครับ? แต่สำหรับชะเอมเทศในรูปของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป อย่างเดียวเลยที่ผมนึกออกก็คือ “โบตัน” แผ่นอมสีน้ำตาลในซองสีเขียวเหลืองที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยหรือเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว

แต่เราอาจจะไม่ทราบกันว่าผลิตภัณฑ์โบตันนั้นมีส่วนประกอบหลักเป็น “ชะเอมเทศแท้ ๆ” ที่มีงานวิจัยจากจุฬาฯ และผลการวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ (Lab Report) รับรองแล้วว่าวัตถุดิบชะเอมเทศจากธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์โบตันมีสารสำคัญอย่าง Glycyrrhizic acid รวมถึงสารในกลุ่ม Flavonoids ที่มีฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาหลายด้าน นอกจากนี้ยังได้รับการพิสูจน์ด้วยว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระในเซลล์เพาะเลี้ยง (น่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยนะครับที่สมุนไพรมากสรรพคุณเช่นนี้ แทบจะไม่มีจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปหรือมีในยี่ห้ออื่นๆ เลย ยกเว้นโบตัน)

โบตัน ตรากิเลน” เป็นสินค้าที่มาพร้อมกับสโลแกน “ชุ่มคอ ไม่เหมือนใคร” หนึ่งใน ตำนานแบรนด์ที่เก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองไทยมายาวนานกว่า 80 ปี

รีวิวผลิตภัณฑ์โบตัน (Botan) ผลิตจากชะเอมเทศแท้ ๆ

โดยผลิตภัณฑ์โบตันที่วางจำหน่ายในปัจจุบันนั้นหลัก ๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง คือ

  1. โบตันรุ่นคลาสสิค (Botan Herbal Mouth Freshener) เป็นตัวออริจินัลที่ขายมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกที่เป็นแผ่นสีน้ำตาล (แบบดั้งเดิม) ในปัจจุบันมีจำหน่ายใน 2 รูปแบบ คือ แบบซอง (หักกินเอง) และแบบตลับพกสะดวก (หักมาแล้ว) จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้คือทำมาจากสมุนไพรที่มีส่วนผสมหลักจากชะเอมเทศแท้สูงมากถึง 70%  ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล มีประโยชน์ คือ ช่วยให้ชุ่มคอ ระงับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ด้วยคุณประโยชน์ของชะเอมธรรมชาติ โบตันแตกต่างจากสินค้าอื่น ๆ ตรงที่ทำจากชะเอมเทศแท้ ๆ จากธรรมชาติ นำมาบดให้ละเอียดผสมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ผ่านกระบวนการผลิต แล้วนำมาอัดรีดเป็นแผ่นบรรจุลงซอง
    • ข้อดี : สรรพคุณมาเต็มเพราะมีส่วนผสมของชะเอมเทศสูงถึง 71.6% เรียกได้ว่าอัดแน่นจากสมุนไพรแท้แบบเต็ม ๆ ซอง อมแล้วรู้สึกสดชื่นชุ่มคอไม่เหมือนใคร ไม่หวาน ราคาถูก และพกพาสะดวก
    • ข้อเสีย : เมื่ออมจนใกล้หมดจะรู้สึกว่าเป็นเม็ดแข็งเล็ก ๆ และในแบบซองกระดาษอาจไม่สะดวกใช้มากเท่าไหร่ (ไม่เหมือนแบบบรรจุในตลับที่หักมาให้แล้ว)
  2. โบตันมิ้นท์บอล (Botan Mint-Ball) จุดเด่นคือเป็นเม็ดอม 3 ชั้น ไม่เหมือนใคร หอมนาน เย็นนาน และยังชุ่มคออีกด้วย ผลิตออกมาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่เป็นหลัก มีหลายรสให้เลือก รสชาติดี เน้นอมเพื่อดับกลิ่นปาก ให้ลมหายใจหอมสดชื่น และช่วยให้ชุ่มคอ ครบในเม็ดเดียว
    • ข้อดี : เป็นเม็ดอม 3 ชั้น (ชั้นนอกหอมสดชื่นเต็ม ๆ จากมิ้นท์, ชั้นกลางเย็นนานด้วยเมนทอล และชั้นในสุดเป็นชะเอมเทศที่เป็นสูตรเหมือนกับโบตันคลาสสิคที่ช่วยให้ชุ่มคอ) ส่วนตัวใช้แล้วชอบรสชาติมากที่สุด อมแล้วชุ่มคอ ดับกลิ่นปากได้ดี แถมยังเป็น Sugar free สามารถอมเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาล ไม่กลัวฟันผุ และรู้สึกว่าลมหายใจหอมสดชื่นมากกว่าและยาวนานกว่ายาอมโบตันรุ่นคลาสสิค
    • ข้อเสีย : มีส่วนผสมของชะเอมเทศเป็นเม็ดเล็กอยู่ด้านในสุด ต้องอมจนจะหมดเม็ดถึงเจอ และมีราคาแพงมากกว่าโบตันคลาสสิคเล็กน้อย
  3. ยาสีฟันสมุนไพรโบตัน เฮอร์เบิลเฟรช (Botan Herbal Fresh Toothpaste) ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารสกัดชะเอมที่เป็นจุดเด่นของโบตัน และนอกจากนี้ยังมีส่วนผสมสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติในการดูแลช่องปากและฟัน ได้แก่ สารสกัดชะเอมเทศ ข่อย ใบฝรั่ง ชาขาว และกานพลู สารพัดตัวช่วยลดการสะสมของคราบแบคทีเรียในช่องปาก สาเหตุหนึ่งของกลิ่นปากและปัญหาสุขภาพเหงือก ช่วยทำให้ปากสะอาด ลมหายใจหอมสดชื่น และยังมีฟลูออไรด์ที่ช่วยป้องกันฟันผุ มีโพแทสเซียมไนเตรตตัวช่วยลดการเสียวฟันเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
    • ข้อดี : บรรจุภัณฑ์ดูสวยงามสะดุดตาในสไตล์โมเดิร์นวินเทจ ใช้แล้วไม่แสบปาก ไม่เสียวฟัน หลังใช้รู้สึกลมหายใจหอมสดชื่นยาวนาน รู้สึกช่องปากมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะสูตรผสมผสานระหว่างสมุนไพรดูแลช่องปากและฟันหลายชนิด ผลิตภัณฑ์นี้จึงเป็นการต่อยอดจากจุดแข็งของยาอมโบตันที่ช่วยเพิ่มความชุ่มคอ หอมสดชื่น ได้เป็นอย่างดี
    • ข้อเสีย : ราคาอาจจะแพงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับยาสีฟันสมุนไพรยี่ห้ออื่น ๆ

จุดเด่นที่ทำให้ “โบตัน (Botan)” เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากคุณภาพของวัตถุดิบที่เลือกใช้ ซึ่งต้องเป็นสมุนไพรแท้จากธรรมชาติและเป็นวัตถุดิบชั้นดีเท่านั้น โดยเฉพาะโบตันคลาสสิคที่ผลิตจากชะเอมเทศแท้ ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล และใช้กรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมเพื่อคงเสน่ห์ของโบตัน เพื่อให้ได้รสชาติจากสมุนไพรธรรมชาติแท้ ๆ ชุ่มคอ…ไม่เหมือนใคร อันเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้

งานวิจัยจากจุฬา (วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565) [อ้างอิง] :

  • การตรวจพิสูจน์ทางเคมีของวัตถุดิบชะเอมเทศที่ใช้ในการผลิตโบตันคลาสสิค (ด้วยวิธี HPTLC) ผู้วิจัยพบว่าวัตถุดิบดังกล่าวมีสาร Glycyrrhizic acid (Glycyrrhizin) ซึ่งสารนี้เป็นสารสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ต้านเนื้องอก ปกป้องตับ [80]
  • การวิเคราะห์ปริมาณสารฟลาโวนอยด์ของสมุนไพร ผู้วิจัยพบว่าชะเอมเทศที่นำมาผลิตโบตัน เป็นวัตถุดิบที่มีส่วนประกอบของสารในกลุ่ม Flavonoids (สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา หลายด้าน เช่น การลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อไวรัส เป็นต้น [81])
  • ประเมินฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เพาะเลี้ยง โดยใช้ Lipopolysaccharide (LPS) เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์เกิดการอักเสบ และการอักเสบจะถูกประเมินด้วยระดับของ Nitric oxide (NO) ที่ถูกหลั่งออกมา ผู้วิจัยพบว่าสารสกัดชะเอมเทศดังกล่าวช่วยทำให้ระดับของ NO ลดลง ข้อมูลนี้จึงแสดงให้เห็นว่าชะเอมเทศที่ใช้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
สารสกัดชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
รูป 1 ฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดชะเอมเทศต่อเซลล์เพาะเลี้ยง : พบว่า LPS กระตุ้นการสร้าง NO เพิ่มขึ้น 4.5 เท่า แต่เมื่อบ่มเซลล์ด้วยสารสกัดชะเอมเทศที่ความเข้มข้น 25-100 ug/mL สามารถช่วยลดการหลั่ง NO ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ประเมินฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระในเซลล์เพาะเลี้ยง เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอนุมูลอิสระนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นกระบวนการอักเสบ [82] ผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระและพบว่าเซลล์ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย LPS สามารถถูกยับยั้งได้ด้วยสารสกัดจากชะเอมเทศ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่าชะเอมเทศที่ใช้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ
สารสกัดชะเอมเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
รูป 2 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดชะเอมเทศต่อเซลล์เพาะเลี้ยง : เซลล์ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบด้วย LPS จะทำให้ระดับของอนุมูลอิสระภายในเซลล์ (ROS) เพิ่มขึ้นสูงมากประมาณ 900 เท่า แต่สามารถถูกยับยั้งได้โดยสารสกัดจากชะเอมเทศ

ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง

การใช้ผลิตภัณฑ์จากรากชะเอมเทศเป็นเวลานานและในปริมาณมากอาจทำให้ของเหลวและระดับอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายไม่สมดุล ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ผู้มีความดันโลหิตสูง ผู้มีภาวะโพแทสเซียมต่ำ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคไต ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จากรากชะเอมเทศ

งานวิจัยและเอกสารอ้างอิง

ตรวจสอบทางการแพทย์ล่าสุดเมื่อ 20 ก.พ. 2023

เภสัชกรประจำเว็บเมดไทย
ประวัติผู้เขียน : จบการศึกษาปริญญาตรี คณะเภสัชศาสตร์ สาขาเภสัชศาสตร์ มีประสบการณ์การทำงานร้านยามากกว่า 5 ปี เคยเป็นผู้จัดการร้านขายยา เคยเป็นผู้ฝึกอบรมผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพ เช่น วิตามิน อาหารเสริม เครื่องมือแพทย์ และยา ปัจจุบันทำงานเป็นเภสัชกรอยู่โรงพยาบาลเอกชน โดยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ