ค่า pH ในปัสสาวะ
ค่าความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะ หรือ ค่าพีเอชในปัสสาวะ (ภาษาอังกฤษ : pH ย่อมาจาก Potential of Hydrogen ion) คือ การตรวจหาว่าตัวอย่างปัสสาวะนั้นมีความเป็นกรดหรือด่างมากน้อยเพียงใด และช่วยประเมินการทำงานของไตในการควบคุมความเป็นกรดเป็นด่างของเลือดและน้ำภายนอกเซลล์
โดยทั่วไปปัสสาวะจะค่อนข้างมีความเป็นกรดอยู่เล็กน้อย (pH ประมาณ 6.0) แต่ก็อาจมีค่าเป็นกลางหรือเป็นด่างเล็กน้อยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดื่ม ประเภทอาหาร และยาที่บริโภค โดยช่วงอ้างอิงของค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของปัสสาวะนั้นจะอยู่ที่ 4.6 – 8.0 ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะปกติมีความเป็นกรดเล็กน้อยนั้นก็เนื่องมาจากร่างกายขับไฮโดรเจนไออน (H+ ion) ออกมาทางน้ำปัสสาวะเพื่อรักษาสมดุลของกรดเป็นด่างในร่างกายนั่นเอง
ค่า pH ปกติ
ให้ยึดตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่าความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะที่ปกติ เท่ากับ 4.6 – 8.0 (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.0)
ค่า pH ที่ต่ำกว่าปกติ
ค่าความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะที่ต่ำกว่าปกติ (ปัสสาวะมีความเป็นกรดสูง) อาจเกิดได้จาก
- การบริโภคโปรตีน (เนื้อสัตว์) มากจนเกินไป รวมถึงอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น แครนเบอร์รี่ (Cranberry)
- ภาวะขาดน้ำรุนแรง (Dehydration) หรือท้องเสียรุนแรง (Diarrhea)
- ภาวะอดอาหาร (Starvation) หรือโรคขาดอาหาร
- การดื่มแอลกอฮอล์มาก
- การกินยาบางชนิด เช่น การกินยาแอสไพรินเกินขนาด
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบเมตาบอลิก (Metabolic acidosis)
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากระบบหายใจ (Respiratory acidosis)
- โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ (Uncontrolled diabetes mellitus)
- การติดเชื้อ
- โรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงที่ผู้ป่วยหายใจไม่สะดวกจนก่อการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด เช่น โรคถุงลมปอดโป่งพอง
ค่า pH ที่สูงกว่าปกติ
ค่าความเป็นกรด-ด่างของปัสสาวะที่สูงกว่าปกติ (ปัสสาวะมีความเป็นด่างสูง) อาจเกิดได้จาก
- การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ (Low carbohydrate) และการกินผักมาก ๆ เช่น คนที่กินเจ คนที่เป็นมังสวิรัติ (Vegetarian) รวมถึงการบริโภคอาหารที่มีซิเตรต (Citrate) สูง อย่างผลไม้กลุ่มซิตรัส (Citrus fruit) เช่น ส้ม ส้มโอ มะนาว จะทำให้ปัสสาวะมีความเป็นด่างมากขึ้น
- อาการอาเจียนรุนแรง
- โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
- โรคท่อปัสสาวะอักเสบ
- การติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ (Bacterial urinary tract infection)
- ทางเดินปัสสาวะอุดตัน (Urinary tract obstruction)
- โรคท่อหน่วยไตมีความผิดปกติในการขับกรด (Renal tubular acidosis) โดยหากเป็นชนิด Type I (Distal) คือ ท่อหน่วยไตไม่สามารถขับไฮโดนเจนไออน (H+ ion) ได้ เลือดจะมีความเป็นกรดรุนแรง แต่ปัสสาวะจะมีความเป็นด่าง (แต่หากเป็นชนิด Type II (Proximal) คือ ท่อหน่วยไตไม่สามารถดูดซึมไบคาร์บอเนต (HCO3-) กลับเข้าสู่กระแสเลือด เลือดจะมีความเป็นกรดและปัสสาวะจะมีความเป็นด่างในช่วงแรก แต่ในระยะต่อมาปัสสาวะอาจจะเป็นกรดได้)
- การมีภาวะหรือปัญหาทางอารมณ์จิตใจที่ส่งผลให้เกิดอาการหายใจคล้ายอาการหอบจากโรคหืด หรือที่เรียกว่าโรคหอบจากอารมณ์ หรือโรคหายใจเกิน (Hyperventilation syndrome)
- การได้รับยาบางชนิด หรือได้รับพิษจากยากลุ่มซาลิซิเลต (Salicylate poisoning)
ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของปัสสาวะจะนอกจากจะใช้บ่งชี้ความผิดปกติของภาวะร่างกายและอาหารที่กินได้แล้ว ค่านี้ยังมีความสำคัญในเรื่องการทำให้เกิดนิ่วด้วย เพราะสารเคมีในปัสสาวะบางอย่างจะตกตะกอนเป็นผลึก (Crystal) และสะสมจนเกิดเป็นนิ่วได้ดีในสภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นกรดเป็นด่างอย่างเหมาะสม เช่น ผลึกแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate), แคลเซียมฟอสเฟต (Calcium phosphate), แมกนีเซียม-แอมโมเนียม ฟอสเฟต (Magnesium-ammonium phosphate) และนิ่วเขากวาง (Staghorn calculi) จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อปัสสาวะมีความเป็นด่าง (Alkaline) ส่วนผลึกกรดยูริก (Uric) และนิ่วซิสทีน (Cystine calculi) จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อปัสสาวะมีความเป็นกรด (Acidic)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)