การเลือกเพศลูก
มีหลายครอบครัวไม่น้อยเลยทีเดียวที่รู้สึกผิดหวังกับการมีลูกแล้วแต่ยังไม่ได้เพศที่ต้องการ อย่างบางครอบครัวที่คุณแม่เพิ่งตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก พอรู้ว่าได้ลูกสาวแล้วกลับรู้สึกเสียใจและผิดหวังมาก เนื่องจากสามีมีเชื้อสายจีนและต้องการลูกชายไว้สืบสกุล แต่ในทางกลับกัน บางครอบครัวก็มีแต่ลูกชาย ตั้งครรภ์มากี่ครั้งก็ยังต้องผิดหวังที่ไม่ได้ลูกสาวบ้างสักที อาจจะด้วยรู้สึกว่าลูกสาวนั้นเลี้ยงดูได้ง่ายและรักพ่อแม่มากกว่าลูกชาย ฯลฯ
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ความปรารถนาในการเลือกเพศลูกให้ได้ตามที่พ่อแม่ต้องการนั้นก็มีมานานหลายศตวรรษแล้ว แม้แต่นักปราชญ์อย่างอริสโตเติลก็เคยให้คำแนะนำแก่ชาวกรีกว่า “ถ้าอยากมีลูกชายก็ให้ร่วมเพศในฤดูที่มีลมเหนือ แต่ถ้าอยากได้ลูกสาวก็ควรร่วมเพศในฤดูของลมใต้” แต่ในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นคว้าทดลองจนได้ข้อพิสูจน์แล้วว่า ทำไมจึงเกิดมาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง นั่นเป็นเพราะว่าภายในเซลล์หรืออณูของร่างกายมนุษย์นั้นจะมีโครโมโซมเป็นตัวกำหนดลักษณะต่าง ๆ ของร่างกาย สามารถดูรายละเอียดได้ในหัวข้อถัดไปเลยครับ
การเลือกเพศของลูกสำคัญอย่างไร
การเลือกเพศลูกหรือการกำหนดเพศลูกจะมีความสำคัญอย่างมากในกรณีที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษมีโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกเฉพาะเพศใดเพศหนึ่งได้ เช่น โรคสังข์ทอง (Anhidrotic Ectodermal Dysplasia), โรคเลือด G6PD, โรคดาวน์ซินโดรมบางประเภท, โรคผิวหนังบางประเภท (Sex-linked Ichthyosis) ฯลฯ ถ้าพ่อแม่หรือคนในครอบครัว (ปู่ย่า ตายาย พี่ป้า น้าอา) เคยมีประวัติว่าเป็นโรคเหล่านี้ลูกชายก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้ ในขณะที่ลูกสาวจะไม่เป็น จึงเป็นเหตุสำคัญให้บางครอบครัวจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการมีลูกชาย เป็นต้น
กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกเพศลูก
กฎหมายในบ้านเรา ณ ปัจจุบันถือว่าการเลือกเพศบุตรเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายครับ เพราะถือว่าผิดหลักมนุษยธรรมและไม่มีความจำเป็น เพราะการเลือกเพศจะทำให้โอกาสตั้งครรภ์มีน้อยลงและมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่มีข้อยกเว้นให้ทำได้หากมีเหตุผลทางการแพทย์ เช่น ถ้าลูกเป็นเพศนี้แล้วจะมีโอกาสไม่รอดสูง ฯลฯ โดยห้ามไม่ให้มีการขายไข่ รวมถึงการอุ้มบุญ เพราะจะเป็นการกระทำที่ผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 และตามประกาศแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งมีข้อกำหนดว่า “การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก จะทำได้เฉพาะการตรวจวินิจฉัยโรคตามความจำเป็น และต้องไม่กระทำในลักษณะการเลือกเพศ โดยสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้บริการต้องได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้“
อะไรเป็นตัวกำหนดเพศลูก
ทำไมจึงเกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ? สาเหตุเป็นเพราะภายในเซลล์หรืออณูของร่างกายมนุษย์จะมีโครโมโซม (Chromosome) หรือแท่งพันธุกรรมอยู่ 23 คู่ หรือ 46 แท่ง ซึ่งในจำนวนนี้ 22 คู่ หรือ 44 แท่ง จะเป็นแท่งพันธุกรรมที่เป็นตัวกำหนดลักษณะต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ หน้าตา ความสูง ความเตี้ย สีผม สีผิวหนัง ฯลฯ และอีกที่เหลือ 1 คู่ หรือ 2 แท่งนั้นจะเป็นแท่งพันธุกรรมที่เป็นตัวกำหนดเพศ หรือที่เราเรียกกันว่า “โครโมโซมเพศ” ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าเด็กที่เกิดมานั้นจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง
โดยคุณแม่จะมีโครโมโซมเพศเป็น XX ส่วนคุณพ่อจะมีโครโมโซมเพศเป็น XY หมายความว่า ในน้ำอสุจิของคุณพ่อนั้นจะมีตัวอสุจิอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ อสุจิที่มีโครโมโซมเพศคู่ X ที่เป็นตัวกำหนดให้เป็นลูกสาว และโครโมโซม Y ที่เป็นตัวกำหนดให้เป็นลูกชาย ส่วนเซลล์ไข่ของคุณแม่นั้นจะมีโครโมโซมเพศแบบเดียว คือ โครโมโซม X ในเวลาที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จำนวนโครโมโซมจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 23 แท่ง เซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและของแม่จะรวมกันเมื่อเกิดการปฏิสนธิ ทารกจึงเป็นผลรวมทางพันธุกรรมของพ่อและแม่อย่างละครึ่ง ซึ่งอัตราส่วนของอสุจิที่มีโครโมโซม X ต่ออสุจิที่มีโครโมโซม Y จะอยู่ที่ประมาณ 50% ต่อ 50% ดังนั้นในทางธรรมชาติแล้ว โอกาสที่จะได้ลูกชายหรือลูกสาวนั้นจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ถ้าอสุจิของคุณพ่อตัวที่เจาะไข่เป็นตัว X ก็จะได้ลูกสาว แต่ถ้าเป็นตัว Y เจาะไข่ก็จะได้ลูกชาย
- ถ้าไข่ของคุณแม่ (22 + X) ผสมกับอสุจิของคุณพ่อที่มีโครโซม X (22 + X) ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นลูกสาว ซึ่งมีโครโมโซม 44 แท่ง (หรือ 22 คู่) + XX
- ถ้าไข่ของคุณแม่ (22 + X) ผสมกับอสุจิของคุณพ่อที่มีโครโซม Y (22 + Y) ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นลูกชาย ซึ่งมีโครโมโซม 44 แท่ง (หรือ 22 คู่) + XY
“ดังนั้นการจะได้ลูกสาวหรือลูกชายนั้นจึงขึ้นอยู่กับอสุจิของคุณพ่อว่าเป็นชนิดใด“
การกำหนดเพศลูก
การเลือกเพศด้วยวิธีธรรมชาติ (Shettles Method) นอกจากการจะได้ลูกชายหรือลูกสาวจะขึ้นอยู่กับอสุจิของคุณพ่อว่าเป็นชนิดใดแล้วยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สภาพกรดด่างภายในช่องคลอดกับคุณสมบัติของอสุจิด้วย คือ อสุจิตัว X (เพศหญิง) จะมีตัวใหญ่ ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้า มีความอดทน ตายได้ยาก และทนต่อสภาพความเป็นกรดได้ดี ส่วนอสุจิตัว Y (เพศชาย) จะมีความอดทนน้อยกว่า ตายได้ง่าย และชอบสภาพความเป็นด่างมากกว่าความเป็นกรด มีลักษณะตัวเล็ก เบา และผอมเพรียว จึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ซึ่งเราพอจะกำหนดเพศลูกได้อย่างคร่าว ๆ คือ
- จังหวะวันร่วมเพศ : ถ้าอยากได้ลูกชายให้ร่วมเพศวันที่ตกไข่ (ก่อนวันตกไข่ 1 วัน และ 2 วันหลังตกไข่) เนื่องจากช่องคลอดจะมีสภาพความเป็นด่างสูง ทำให้อสุจิตัว Y จะวิ่งได้เร็วกว่าและจะเข้าไปเจาะไข่ได้ก่อน แต่ถ้าคุณอยากได้ลูกสาว ก็ให้ร่วมเพศก่อนวันตกไข่ประมาณ 2-3 วัน (ในกรณีที่สตรีมีรอบเดือนปกติมาสม่ำเสมอเดือนละ 28 วัน วันตกไข่จะอยู่ประมาณวันที่ 14 หรือ 2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนจะมาครับ) เพราะพอถึงจังหวะที่ไข่ตก อสุจิตัว X จะคงทนต่อสภาพความเป็นด่างซึ่งมีปริมาณมากกว่าได้
- ความถี่ในการร่วมเพศ : การมีเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ จะทำให้อสุจิตัว Y มีจำนวนลดลง จึงมักจะได้ลูกสาว แต่ถ้าร่วมเพศน้อยครั้งลง ปริมาณของอสุจิตัว Y ก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสได้ลูกชายมากขึ้น หากคุณอยากได้ลูกชายควรงดการมีเพศสัมพันธ์หรือสำเร็จความใคร่ก่อนวันออกรบประมาณ 5 วัน เพื่อทำให้เชื้ออสุจิอยู่ในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- สุขภาพของฝ่ายชาย : หากคุณพ่อเป็นคนเครียด นอนน้อย ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ค่อยออกกำลังกาย สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มาก การใช้ยาเสพติด มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ จะมีผลต่อการสร้างอสุจิหรือขัดขวางการผลิตสเปิร์ม ทำให้อสุจิมีปริมาณน้อยลง ลูกที่ออกมาจึงมีโอกาสที่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อีกทั้งอสุจิเพศหญิง (X) นั้นยังมีความทนทานและตายได้ยากกว่าอสุจิเพศผู้ (Y) อยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อไม่แข็งแรง ก็ไม่แปลกเลยครับที่อสุจิเพศชายจะอ่อนแอและตายได้ง่ายตามไปด้วย
- ระวังอย่าให้บริเวณอัณฑะร้อน : อัณฑะจะสามารถผลิตอสุจิได้สูงสุดเมื่อมีอุณหภูมิเย็นกว่าอุณหภูมิของร่างกายปกติ และอุณหภูมิที่เย็นสบายยังเหมาะต่อการอยู่อาศัยของอสุจิเพศชาย (Y) มากกว่า จึงทำให้มีโอกาสได้ลูกชายสูงขึ้น ดังนั้น ถ้าคุณอยากได้ลูกชายก็ควรจะหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำร้อน การนั่งมอเตอร์ไซค์ที่ตากแดดนาน การใส่กางเกงในรัดแน่น ฯลฯ ถ้าเป็นไปได้ในช่วงก่อนออกศึกก็ให้หลีกเลี่ยงและระวังไว้ก่อนก็ดีครับ แต่ในทางกลับกันถ้าคุณอยากได้ลูกสาวก็แนะนำให้ฝ่ายชายอาบหรือแช่น้ำอุ่นนาน ๆ และบ่อย ๆ ก็จะทำให้อสุจิเพศหญิง (X) ได้เปรียบกว่า
- ท่าร่วมเพศก็สำคัญ : ในกรณีที่อยากได้ลูกสาวก็ไม่ยากเลยครับ ฝ่ายชายเพียงแค่อย่าหลั่งน้ำอสุจิให้ลึกมากนักและอย่ากระตุ้นให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดก่อน แต่ในกรณีที่อยากได้ลูกชายนั้นควรจะร่วมเพศในท่าทางที่สามารถสอดใส่อวัยวะเพศได้ลึกที่สุดในขณะหลั่งน้ำเชื้อเพื่อทำให้น้ำอสุจิได้สัมผัสกับมูกที่ปากมดลูกโดยตรงมากที่สุด เพราะอสุจิที่เป็นเพศชายที่มีขนาดเล็กจะว่ายได้เร็วและไปถึงเส้นชัยก่อนตัวอสุจิที่เป็นเพศหญิง ส่วนท่าที่สามารถสอดใส่อวัยวะเพศได้ลึกก็เช่น ท่าที่ฝ่ายหญิงนอนหงายอยู่ล่าง ใช้หมอนหนุนรองก้น ส่วนฝ่ายชายอยู่บน, ท่าด็อกกี้ (หญิงคลานสี่ขา ชายสอดใส่เข้าทางบั้นท้าย) ก็จะสอดใส่ได้ลึกหน่อยครับ ส่วนท่านารีขี่ม้า (ชายนอนหงายอยู่ล่าง หญิงอยู่บน) และท่าช้อนซ้อนกัน (นอนตะแคงเข้าหากัน) จะสอดใส่ได้ไม่ลึกมากนักครับ จึงมีโอกาสที่จะได้ลูกสาวมากกว่า
- การถึงจุดสุดยอดของฝ่ายหญิง : ถ้าอยากได้ลูกชาย ฝ่ายชายจะต้องกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดก่อนหรือพร้อม ๆ กับฝ่ายชายให้ได้ เพราะในระหว่างการสำเร็จความใคร่ของผู้หญิงจะหลั่งเมือกที่เป็นด่างออกมาลดความเป็นกรดภายในช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อตัวอสุจิเพศชาย จึงเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสการมีชีวิตรอดของอสุจิเพศชาย อีกทั้งการสำเร็จความใคร่ของฝ่ายหญิงยังช่วยผลักดันให้อสุจิเข้าไปในปากมดลูกได้รวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าอยากได้ลูกสาวก็อย่าให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดครับ เพราะอสุจิเพศหญิงจะชอบอยู่ในสภาพช่องคลอดที่เป็นกรด
- ล้างช่องคลอดก่อนร่วมเพศ โดยมีคำแนะนำหรือความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า ถ้าหากคุณอยากได้ลูกชายให้ใช้ผงฟูหรือโซเดียมไบคาบอเนตประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำสะอาด 1 ลิตร แล้วใช้ล้างช่องคลอดก่อนการร่วมเพศประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อทำให้ช่องคลอดมีฤทธิ์เป็นด่างมากที่สุด แต่ถ้าอยากได้ลูกสาวก็ให้ล้างช่องคลอดด้วยส่วนผสมของน้ำส้มสายชู 3-5% ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ที่ผสมกับน้ำสะอาด 1 ลิตร ก่อนร่วมเพศประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อทำให้ช่องคลอดมีสภาพความเป็นกรดมากที่สุด แต่ไม่แนะนำให้ปฏิบัติตามนะครับ เพราะทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยมาแล้วและพบว่ามันไม่ได้ผลครับ !! มีแต่จะก่อให้เกิดอันตราย เนื่องจากความเป็นกรดหรือด่างบางชนิดอาจทำให้เกิดอันตรายต่อช่องคลอดได้แถมยังลำบากอีกต่างหาก (เขียนให้ทราบ อธิบายให้เข้าใจ และอย่านำไปปฏิบัติครับ)
- อุปนิสัยของคุณแม่ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าอุปนิสัยของคุณแม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเพศของลูก ถ้าคุณแม่เป็นคนไม่ค่อยประนีประนอมหรือไม่ค่อยยอมใครอยู่แล้ว ก็มักจะได้ลูกชาย แต่กลับกันหากคุณแม่เป็นคนประนีประนอมและยอมผู้อื่นก็มักจะได้ลูกสาวมากกว่าลูกชาย
- รูปร่างของพ่อแม่ อย่างที่ทราบกันแล้วว่าอสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศชายจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าอสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศหญิง หากคุณพ่อตัวสูงใหญ่และคุณแม่ตัวเล็ก (มีช่องคลอดสั้น) ลูกที่ออกมาก็มักจะเป็นเพศชาย หรือถ้าหากคุณแม่เป็นคนอ้วนหรือสูงใหญ่ (ช่องคลอดลึก) และพ่อตัวเล็ก ลูกที่ออกมาก็มักจะเป็นลูกสาว
แต่อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ใช่ว่าจะได้ผล 100% เพียงแต่เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสความน่าจะเป็นให้มีมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย และยังไม่มีการวิจัยรับรองผลที่ได้ เพียงแต่เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องปฏิบัติร่วมกันทุกวิธีที่กล่าวมาอย่างเคร่งครัดด้วยครับจึงจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น !! (ผู้เชี่ยวชาญบอกได้ผลประมาณ 70-80% แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริง ๆ ก็อาจจะไม่แตกต่างจากการโยนเหรียญหัวก้อยเท่าไรนัก แต่ผมว่าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ)
สรุปการเลือกเพศลูกด้วยวิธีธรรมชาตินั้น ถ้าคุณอยากได้ลูกชาย ให้อดใจไว้ก่อน ไม่ร่วมเพศกันบ่อย แล้วค่อยมีเพศสัมพันธ์ในวันตกไข่หรือ 2 วัน หลังวันตกไข่ โดยให้ร่วมเพศกันในท่าที่สามารถสอดใส่อวัยวะเพศได้ลึกที่สุดในขณะหลั่งน้ำอสุจิ และที่สำคัญจะต้องกระตุ้นให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดก่อนหรือพร้อม ๆ กับฝ่ายชายด้วย ส่วนในกรณีที่อยากได้ลูกสาวก็ต้องร่วมเพศกันบ่อย ๆ เมื่อถึงในวันเผด็จศึก คือ ก่อนวันไข่ตกประมาณ 2-3 วัน ในขณะร่วมเพศจะต้องไม่สอดใส่อวัยวะเพศให้ลึกมากนักในขณะหลั่งน้ำอสุจิและอย่าให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด (อย่าร่วมเพศในวันตกไข่หรือหลังวันตกไข่ เพราะจะทำให้อดได้ลูกสาวได้)
- กินอาหารเลือกเพศ เป็นวิธีของนายแพทย์ Stoloski ที่อ้างว่าได้ผลถึงร้อยละ 10 โดยอาศัยหลักการที่ว่าอาหารบางอย่างทำให้ภาวะในช่องคลอดมีความเป็นกรดหรือด่างได้ตามต้องการ และในระหว่างการกินอาหารเหล่านี้ก็ต้องไม่กินยาอื่นใดแม้จะเป็นไข้หรือเป็นหวัด และจะต้องกินอาหารที่จะกล่าวถึงอย่างน้อยสองเดือนครึ่งก่อนที่เริ่มจะตั้งครรภ์ วิธีนี้จึงจะได้ผลสูงสุด โดยถ้าคุณแม่อยากได้ลูกชาย ก็ต้องกินอาหารที่มีเกลือโซเดียมและโพแทสเซียมสูง เช่น เนื้อสัตว์ที่สดหรือไม่สุก ปลาทุกชนิด ไส้กรอก ผักทุกชนิดที่ไม่แช่เย็น ถั่ว มันฝรั่ง กล้วยหอม ของหวาน แยม ผลไม้ตากแห้งต่าง ๆ เช่น ลูกพรุน ลูกเกด ลูกเกาลัด อิทผลัม ผลไม้กวน ผลมะกอก แตงต่าง ๆ ขนมปังที่ไม่มีนม รวมทั้งชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีแอลกอฮอล์ และห้ามรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมทุกชนิด อาหารที่ทำจากนมทุกชนิด ขนมปังที่มีนมเป็นส่วนผสม กะหล่ำปลีสด ดอกกะหล่ำ ผักบุ้ง ผักกาดหอม ผักสลัด ลูกนัด โกโก้ ช็อกโกแลต และมัสตาร์ด แต่ถ้าอยากได้ลูกสาวให้คุณแม่กินอาหารที่มีโพแทสเซียมน้อย เช่น นม แป้ง ไข่ ผักสีเขียวสดหรือแช่เย็น ผลไม้แห้งและเนยที่ไม่เค็ม ผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นสับปะรด และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม ชา กาแฟ เนยเค็ม น้ำผลไม้สด เหล้าองุ่น
- การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (Intrauterine Insemination – IUI) หรือจะเรียกว่าการคัดเลือกเชื้ออสุจิก็ได้ครับ ก่อนที่จะนำไปฉีดกลับสู่มดลูกของฝ่ายหญิงในวันที่ไข่ตกหรือคาดว่าไข่จะตก (ในขั้นตอนการรักษานั้นคุณแม่จะต้องกินยาหรือได้รับการฉีดยากระตุ้นไข่และทำการตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่และการตกไข่ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ เมื่อถึงวันตกไข่แล้ว ก็ทำการเก็บน้ำอสุจิจากฝ่ายชาย แล้วมาทำการคัดแยกอสุจิทางห้องปฏิบัติการ และฉีดน้ำเชื้อที่คัดแยกมาแล้วเข้าสู่โพรงมดลูก ด้วยการใช้ท่อพลาสติกขนาดเล็กสอดผ่านปากมดลูกแล้วทำการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่มีการตกไข่) จึงช่วยให้การตั้งครรภ์มีแนวโน้มที่จะได้บุตรตามเพศที่ต้องการได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์มานานแล้วครับว่าได้ผลจริง เพียงแต่ยังไม่สามารถเลือกเพศบุตรได้ 100% เท่านั้น แต่ก็ให้โอกาสสูงถึง 70-80% เพราะอันที่จริงแล้วการคัดอสุจินั้นไม่ได้เอาอสุจิมาคัดทีละตัว ๆ แล้วนำมาตรวจโครโมโซมหรอกครับ แต่จะใช้วิธีการดังต่อไปนี้ครับ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีครับ
- Ericsson’s Technique เป็นการคัดเลือกกลุ่มอสุจิ โดยอาศัยหลักการที่ว่า ความเร็วในการเคลื่อนไหวของอสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศชายได้เร็วกว่าอสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศหญิงไม่เท่า แล้วนำอสุจิมาว่ายผ่านโปรตีนอัลบูมินในหลอดทดลอง ปล่อยให้อสุจิว่ายลงมาจากด้านบน เมื่อเวลาผ่านไปก็ดูดเอาอสุจิที่อยู่ก้นหลอดออกมา เพียงเท่านี้ก็จะได้อสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศชายเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่ายเก่งกว่าจึงว่ายถึงก้นหลอดก่อน ส่วนความแม่นยำจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ทิ้งอสุจิเอาไว้ในหลอดทดลอง เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อสุจิที่เป็นตัวกำหนดเพศหญิงจะว่ายปนลงไปมาก แต่ถ้าทิ้งไว้เพียงครู่เดียวก็อาจจะได้อสุจิในจำนวนน้อยเกินไปที่จะนำมาฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อให้ไปปฏิสนธิกับไข่ในท่อนำไข่ของคุณแม่ได้ เพราะฉะนั้นความแม่นยำจึงขึ้นอยู่กับปริมาณอสุจิ และรวมถึงคุณภาพของอสุจิของฝ่ายชายด้วย และในขณะเดียวกันก็มีการแยกตัวอสุจิที่มีโครโมโซมเพศ X เพื่อหวังจะได้ลูกสาวเช่นกัน โดยอาศัยหลักการที่ว่าอสุจิเพศหญิงจะหนักกว่าเพศชาย เมื่อนำน้ำอสุจิมาปั่นให้ตกตะกอนผ่านสารที่มีความเข้มข้นสูงบางชนิดเป็นตัวกลางช่วยกรองตัวอสุจิ จะทำให้ได้อสุจิเพศหญิง (X) ที่อยู่ในส่วนน้ำยาชั้นล่าง แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะทำให้อสุจิที่นำมาใช้งานมีจำนวนน้อยลง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการปฏิสนธิน้อยลงตามไปด้วย โดยอัตราการตั้งครรภ์ต่อการทำ 1 รอบ จะอยู่ที่ประมาณ 15-20% แต่มีความแม่นยำในการเลือกเพศบุตรได้ตรงความต้องการประมาณ 70-80% หรือประมาณ 2 ใน 3 ครั้ง (บางข้อมูลระบุว่าความแม่นยำในการเลือกเพศชายได้ตรงตามความต้องการจะอยู่ประมาณร้อยละ 71 ส่วนเพศหญิงจะอยู่ประมาณร้อยละ 75) และจะมีค่าใช้จ่ายต่อรอบอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
- Microsort Method เป็นวิธีที่ทันสมัยขึ้นมาหน่อย ซึ่งจะเป็นวิธีการใช้ทั้ง Laser light Fluorescent dye และ Flow Cytometry/Cell sorter technology โดยก่อนอื่นนั้นอสุจิจะถูกนำไปย้อมสีที่จะเรืองแสงได้เมื่อเจอแสงอัลตราไวโอเลต หลังจากนั้นจะถูกใส่เข้าไปในเครื่องให้อสุจิไหลผ่านอุปกรณ์ที่จะช่วยเขย่าทำให้แตกตัวออกเป็นเหมือนหยดน้ำเล็ก ๆ ซึ่งแต่ละหยดนั้นจะมีอสุจิเพียงตัวเอง พอหยดน้ำนี้ผ่านเข้าไปในเครื่องมือที่ใช้วัดและจะมีการปล่อยแสงอัลตราไวโอเลตออกมา อสุจิก็จะเรืองแสงครับ คราวนี้คอมพิวเตอร์ก็จะทำการวัดขนาดได้ โดยปกติในหัวอสุจิที่บรรจุโครโมโซมเพศหญิงนั้นจะบรรจุ DNA เอาไว้มากกว่าอสุจิที่บรรจุโครโมโซมเพศชายประมาณ 2.8% ดังนั้นเครื่องก็จะแยกได้ว่าอสุจิตัวไหนคือเพศชายหรือเพศหญิง เทคนิคนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก มีความซับซ้อน จึงไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยมากนัก โดยอัตราการตั้งครรภ์ต่อการทำ 1 รอบ จะอยู่ที่ประมาณ 20% และมีความแม่นยำในการเลือกเพศตรงได้ตามความต้องการประมาณ 80-90 % (บางข้อมูลระบุว่าความแม่นยำในการเลือกเพศชายได้ตรงตามความต้องการจะอยู่ประมาณร้อยละ 76 ส่วนเพศหญิงจะอยู่ประมาณร้อยละ 91) มีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 85,000 บาทขึ้นไป
- การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF or ICSI) และการคัดเพศด้วยการตรวจ PGD (Preimplantation Genetic Diagnosis) การคัดเลือกตัวอ่อนนี้ทำได้โดยการนำไข่และอสุจิมาปฏิสนธิกันภายนอกร่างกายเสียก่อน แล้วเพาะเลี้ยงไว้เป็นตัวอ่อนในระยะบาลโตซิสท์ (เลี้ยงไว้ภายนอกร่างกายประมาณ 5 วัน) ซึ่งตัวอ่อนในระยะนี้จะมีการแบ่งเซลล์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเซลล์เด็กและกลุ่มเซลล์รกเด็ก ทำให้เราสามารถนำเซลล์บางส่วนจากกลุ่มเซลล์รกจากตัวอ่อนที่ได้ไปทำการตรวจ PGD หรือตรวจโครโมโซมได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่เจริญเติบโตไปเป็นเด็ก และเนื่องจากเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจนมีโครโมโซมครบ 23 คู่ (มาจากอสุจิ 23 แท่ง และไข่ 23 แท่ง) จึงทำให้ทราบได้ว่าตัวอ่อนนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง เมื่อเราคัดเลือกตัวอ่อนได้เพศที่ต้องการและไม่มีความผิดปกติแล้ว ก็จะนำตัวอ่อนนั้นย้ายกลับเข้าไปในมดลูกให้เจริญเติบโตต่อไป นอกจากจะเลือกเพศที่ต้องการได้อย่าง 100% (หากตั้งครรภ์สำเร็จ) เรายังสามารถตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ของทารกได้อีกด้วย เช่น Down’s syndrome, Edward’s syndrome เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าจะได้ลูกตามเพศที่ต้องการและไม่เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคที่เกิดจากโครโมโซมผิดปกติ หรือ Hemophilia เพราะเราสามารถทำการตรวจหาโครโมโซมที่ผิดปกติก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ครับ โดยอัตราการตั้งครรภ์ต่อการทำ 1 รอบ จะอยู่ที่ประมาณ 60% มีความแม่นยำในการเลือกเพศบุตรได้ตรงความต้องการ 100% และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อรอบประมาณ 150,000 – 200,000 บาทขึ้นไป
- การเลือกเพศภายหลังปฏิสนธิ มีวิธีการโดยคร่าว ๆ คือ ถ้าอายุครรภ์น้อย ๆ ก็ใช้วิธีดูดเซลล์รกมาเลี้ยงโครโมโซม หรือใช้วิธีการเจาะเอาน้ำคร่ำมาเลี้ยงโครโมโซม หากว่าไม่ได้ทารกเพศตามที่ต้องการ ก็จะทำแท้งออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เหมาะที่จะทำนักในเมืองพุทธอย่างบ้านเรา และผมเองก็ไม่แนะนำให้ทำด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม ลูกที่เกิดมานั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องถือว่าเป็นลูกของเรา อย่าไปโกรธหรือเกลียดเพราะไม่สมปรารถนาตามที่พ่อแม่ต้องการเลยครับ คุณควรจะให้ความอบอุ่น ความรัก และให้การดูแลเอาใจใส่เหมือน ๆ กัน โตขึ้นแล้วเขาก็อาจจะน่ารัก เป็นลูกที่ดี และดูแลคุณได้เป็นอย่างดีก็ได้ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของแฟนผมที่คุณพ่อมีแต่ลูกชายและมีลูกสาวเพียงคนเดียว ซึ่งตอนเล็ก ๆ ก็ไม่ใช่ลูกรักของคุณพ่อเลยครับ อาจจะปล่อยปละละเลยเสียด้วยซ้ำ แต่พอลูกสาวโตมาก็ขอรับหน้าที่เลี้ยงดูคุณพ่อแทนทั้งหมด สุดท้ายจากลูกที่คุณพ่อไม่เคยเหลียวแลกลับกลายเป็นลูกสุดรักอันดับหนึ่ง และคุณพ่อมักจะพูดอยู่เสมอว่า “เขาโชคดีมากที่มีหนู และก็รู้สึกผิดมากด้วยที่ไม่เคยสนใจดูแลให้มากพอ” สุดท้ายก็ขอให้โชคดีและสมหวังกันทุกครอบครัว สวัสดี 😉
เอกสารอ้างอิง
- นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 10 ฉบับเดือนพฤษภาคม 2547. “การเลือกเพศบุตร”. (นพ.ม.ร.ว.ทองทิศ ทองใหญ่).
- นิตยสารบันทึกคุณแม่ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2554. “เลือกเพศลูก ทำได้จริงหรือ ?”.
- หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด. “การกำหนดเพศของลูก”. (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ). หน้า 21.
- มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 199 คอลัมน์ : เรื่องน่ารู้. “การเลือกเพศลูก”. (พ.ต.ท.นพ.เสรี ธีรพงษ์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th. [14 พ.ย. 2015].
ภาพประกอบ : www.wikihow.com
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)