การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ
การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ (ภาษาอังกฤษ : Urine protein test) คือ การตรวจหาโมเลกุลของโปรตีนที่รั่วออกมาในปัสสาวะ* ซึ่งโดยปกติจะต้องตรวจไม่พบในปัสสาวะ หากเมื่อไหร่ที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะก็จะเป็นตัวบอกให้แพทย์ทราบว่า ไตเริ่มมีปัญหาในการทำงาน ซึ่งอาจเกิดจากโรคไตเองหรือจากโรคของอวัยวะอื่น ๆ ที่ส่งผลมาถึงไต เพราะไตปกติจะกรองโปรตีนกลับคืนเข้าสู่ร่างกาย ไม่ปล่อยออกมาในปัสสาวะมากในปริมาณจนตรวจพบได้
หมายเหตุ : โปรตีนส่วนใหญ่จะเป็นชนิดอัลบูมิน (Albumin) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกับในไข่ขาว ดังนั้นหากตรวจพบโปรตีนก็หมายถึงตรวจพบอัลบูมินนั่นเอง
วิธีการตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ
การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะที่ให้ผลแน่นอนเป็นที่ยอมรับและถือเป็นมาตรฐาน คือ การตรวจวิเคราะห์โปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง (24-hour urine protein test) ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสตรวจพบโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อัลบูมินได้มากขึ้นด้วย แต่ก็เป็นวิธีที่มีความยุ่งยากและสิ้นเปลืองเวลามาก เพราะต้องเก็บปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง
ส่วนการตรวจอีกวิธีซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและให้ผลรวดเร็ว คือ การตรวจโดยใช้แผ่นทดสอบสำเร็จรูป (Urine dipstick for protein) โดยในแผ่นทดสอบสำเร็จรูปนี้จะมีสารเคมีเคลือบอยู่ ซึ่งจะมีความไวต่อการตรวจพบโปรตีนชนิดอัลบูมินมากที่สุด (ถ้ามีโปรตีนแถบทดสอบจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือสีเขียวจนถึงสีน้ำเงิน) อย่างไรก็ตาม การตรวจโดยใช้แผ่นทดสอบนี้ก็มีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดผลบวกปลอมและผลลบปลอมได้หลายประการ เช่น ในกรณีที่ปัสสาวะมีความเข้มข้นสูง ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นด่าง
ส่วนการรายงานผลจะรายงานเป็น Negative (0 mg/dL), Trace (15-30 mg/dL), 1+ (30-100 mg/dL), 2+ (100-300 mg/dL), 3+ (300-1,000 mg/dL) และ 4+ (มากกว่า 1,000 mg/dL) ซึ่งหมายถึง ตรวจไม่พบโปรตีน พบในปริมาณน้อย ๆ ไปจนถึงปริมาณมากตามลำดับ
ภาวะปกติ (ตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ)
โดยปกติแล้วมักตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ (Negative) หรือตรวจพบได้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย หรืออาจตรวจพบได้ชั่วคราวในบางภาวะ เช่น
- มีความเครียดสูง (Stress)
- มีไข้สูง (Fever)
- อยู่ในภาวะที่อากาศหนาวจัดหรือร้อนจัด
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม (Exercise)
- การยืนนาน ๆ (Orthostatic proteinuria หรือ Postural proteinuria)
- การได้รับยาแอสไพริน (Aspirin)
- การเก็บปัสสาวะในขณะที่มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายหรือในขณะที่มีประจำเดือนของผู้หญิง
การตรวจปัสสาวะเมื่อภาวะเหล่านี้หมดไปแล้ว เช่น ไม่เครียดแล้ว หายไข้แล้ว พักการออกกำลังกาย แล้วไม่พบโปรตีนอีกก็แสดงว่าโปรตีนในปัสสาวะที่พบนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว (Transient proteinuria) แต่หากยังคงพบโปรตีนในปัสสาวะซ้ำอีก ก็บ่งชี้ถึงภาวะที่มีโปรตีนในปัสสาวะแบบต่อเนื่อง (Persistent proteinuria) ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อยืนยัน เช่น การตรวจวิเคราะห์โปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นการเก็บปัสสาวะอย่างต่อเนื่องที่สามารถให้ผลชัดเจนกว่าการตรวจปัสสาวะเพียงครั้งเดียว และยังช่วยให้มีโอกาสตรวจพบโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อัลบูมินได้มากขึ้นอีกด้วย
ภาวะผิดปกติ (ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ)
ภาวะมีโปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria) ที่มีสาเหตุมาจากไตถูกทำลายที่ถือว่าเป็นอันตรายนั้น ส่วนใหญ่มักเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ
- โรคเบาหวานลงไต (Diabetes nephropathy)
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertensive nephrosclerosis)
ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น
- โรคไตอักเสบ
- โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
- ภาวะหน่วยไตอักเสบ (Glomerulonephritis)
- กลุ่มอาการเนฟโฟรติก (Nephrotic syndrome)
- กลุ่มอาการความผิดปกติของการดูดซึมกลับของท่อหน่วยไตส่วนต้น (Fanconi syndrome)
- โรคไตจากภาวะ IgA สะสม (IgA Nephropathy)
- โรคไตอักเสบลูปัส (Lupus nephritis)
- โรคอะมีลอยโดซิส (Amyloidosis)
- โรคโปรตีน Light chain สะสม (Light chain deposition disease) ซึ่งมักมีความสัมพันธ์กับมะเร็งชนิดมัลติเพิลมัยอีโลมา (Multiple myeloma)
- ภาวะหัวใจวาย (Heart failure)
- การติดเชื้อแบคทีเรียที่หัวใจ (Bacterial endocarditis)
- โรคมะเร็งบางชนิด (เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว)
- การตั้งครรภ์ระยะท้าย ๆ
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ซึ่งจะมีอาการความดันโลหิตสูงพร้อม ๆ กับมีปริมาณโปรตีนรั่วสู่น้ำปัสสาวะจำนวนหนึ่ง
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ท่อปัสสาวะอักเสบ
- โรคกรวยไตอักเสบ (Glomerulonephritis)
- โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคเอสแอลอี (SLE)
- โรคไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย
- การได้รับสารพิษจากโลหะหนักบางชนิด เช่น สารตะกั่ว ปรอท แคดเมียม
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs)
- การได้รับสารเสพติดบางชนิด เช่น เฮโรอีน ฝิ่น
หากท่านสงสัยว่ามีภาวะเหล่านี้เกิดจึ้น ควรเข้ารับการตรวจยืนยันกับแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงทำการรักษาในโรคหรือภาวะที่จำเป็นต้องทำการรักษาต่อไป
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)