การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือ การตรวจซีบีซี (ภาษาอังกฤษ : Complete Blood Count หรือ CBC*) คือ การตรวจเลือดวิธีหนึ่งที่ใช้วัดสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยตรวจหาปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือการติดเชื้อต่าง ๆ
ซึ่งในใบรายงานผลของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะมีค่าปกติกำกับมาให้อยู่แล้ว แต่อาจจะแตกต่างกันในแต่ละแล็บและโรงพยาบาล ทั้งจากเทคนิคการตรวจ ยี่ห้อเครื่องที่ใช้ตรวจ รวมถึงหน่วยหรือค่าค่าต่าง ๆ ที่ใช้รายงานผล ดังนั้น แพทย์จึงเป็นผู้แปลผลตรวจจากค่าปกติที่กำกับมาในใบรายงานผล ร่วมกับอาการและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย
หมายเหตุ : การตรวจนี้อาจมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า Complete Blood Cell Count, Blood Profile, Hemogram, Full Blood Count (FBC)
ประโยชน์ของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- เป็นการตรวจเพื่อดูสุขภาพโดยรวม เช่น ผู้ป่วยมีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับเลือดชนิดใดหรือมีการอักเสบของอวัยวะใดที่อาจซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายบ้างหรือไม่ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia), โรคโลหิตจาง (Anemia), สภาวะเลือดหยุดไหลยากเมื่อเกิดบาดแผล ฯลฯ
- เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ เช่น การตรวจเพื่อยืนยันผลการติดเชื้อในกรณีที่คาดว่าผู้ป่วยรายนั้นได้รับเชื้อบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย หรือตรวจเพื่อบ่งชี้สภาวะการอักเสบใด ๆ ทั่วทั้งร่างกาย
- เป็นการตรวจเพื่อสังเกตและติดตามผลการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคโลหิตจาง โรคเลือดอื่น ๆ หรือโรคที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ แพทย์จะทำการตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือดในผู้ป่วยที่ใช้ยาซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือดด้วย
- เป็นการตรวจเพื่อประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัดใหญ่ด้วยโรคอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจในปริมาณของความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง (ไม่เป็นโรคโลหิตจาง) และในปริมาณของเกล็ดเลือดเพื่อให้มั่นใจว่าเลือดจะหยุดไหลเมื่อเกิดบาดแผลจากการผ่าตัด รวมทั้งเพื่อให้มั่นใจปริมาณหรือระดับของเม็ดเลือดขาวว่าจะช่วยฆ่าทำลายล้างจุลชีพก่อโรคใด ๆ ที่อาจล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกายในขณะที่ร่างกายยังกำลังอ่อนแอหลังการผ่าตัดได้
- เป็นการตรวจเพื่อวิเคราะห์การตอบสนองของร่างกายต่อการรักษาบางอย่าง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดจะเป็นการตรวจเพื่อดูว่าการรักษามีผลต่อการทำให้ไขกระดูก (Bone marrow) ผลิตเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ออกมาน้อยหรือมากกว่าปกติหรือไม่
คำแนะนำก่อนตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกหรือเกิดลิ่มเลือด รวมทั้งผู้ใช้ยาเจือจางเลือด แอสไพริน หรือวาฟาริน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการเจาะเลือด เนื่องจากอาจเกิดปัญหาเลือดไม่หยุดไหลหรือประสบภาวะเลือดออกมากขึ้น
- หากตรวจเฉพาะ CBC เพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารแต่อย่างใด
- ในสถานพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการตรวจเลือดแต่ละแห่ง อาจกำหนดชื่อการตรวจเลือดมาตรฐานเพื่อหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) แตกต่างกันไป และอาจแตกต่างในด้านของจำนวนผลเลือดที่ตรวจด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมย่อมจะมีชื่อการตรวจเลือดตัวหลัก ๆ ที่คล้ายคลึงกันหรือเหมือนกันทุกแห่ง
ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การเจาะเลือด (เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด) จะใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ซึ่งจะมีรายละเอียดขั้นตอน ดังนี้
- ผู้เข้ารับการตรวจจะนั่งบนเก้าอี้หรือนอนบนเตียง แล้วเจ้าหน้าที่จะใช้สายยางรัดเหนือหลอดเลือดตรงบริเวณที่จะเจาะเพื่อช่วยให้เส้นเลือดโป่งขึ้นและง่ายต่อการเจาะเลือด (โดยส่วนมากจะเจาะที่บริเวณข้อพับแขน เพราะเป็นส่วนที่เห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนและเจาะได้สะดวก แต่ก็สามารถเจาะบริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน ส่วนในเด็กอาจเจาะบริเวณหลังมือ ในเด็กทารกจะเจาะที่ส้นเท้า)
- จากนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะเจาะเลือดเพื่อฆ่าเชื้อ และรอสักครู่จนแห้ง แล้วจึงนำไซลิงค์เจาะเพื่อดูดเอาตัวอย่างเลือดตามปริมาณที่ต้องการ (ผู้เข้ารับการตรวจอาจรู้สึกคันหรือเจ็บจี๊ดเล็กน้อยบริเวณที่เจาะ)
- เมื่อได้ปริมาณตัวอย่างเลือดตามต้องการแล้ว (สำหรับการตรวจ CBC จะใช้ตัวอย่างเลือดประมาณ 1 ขวดแก้วขนาดเล็ก หรืออาจมากกว่านั้น) เจ้าหน้าที่จะนำเข็มออก ปลดสายรัด ติดสำลีและพลาสเตอร์ยาบริเวณรอยเข็ม เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากภายนอกก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย (ในบางรายเจ้าหน้าที่อาจมีการขอให้ผู้เข้ารับการตรวจกดบริเวณที่จะติดพลาสเตอร์ยาไว้ชั่วครู่เพื่อให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น)
ผลข้างเคียงของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- เวียนศีรษะหรือเป็นลม ในขั้นตอนการเจาะเลือดอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเมื่อแทงเข็มเข้าไปที่เส้นเลือด และผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเวียนศีรษะหรือเป็นลมเมื่อเห็นเลือด
- รอยช้ำ หลังการตรวจอาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ถูกเจาะเลือด ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน (ให้ใช้วิธีกดที่บริเวณดังกล่าวไว้สักพัก เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ)
- หลอดเลือดดำอักเสบ ผู้ได้รับการตวจอาจประสบภาวะหลอดเลือดดำอักเสบหลังการเจาะเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดดบวมขึ้น (ให้ใช้วิธีประคบอุ่นบริเวณดังกล่าววันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการหลอดเลือดดำอักเสบ)
- เลือดไม่หยุดไหลหรือเลือดออกมากขึ้น โดยในผู้ที่มีภาวะเลือดออกหรือเกิดลิ่มเลือดอาจทำให้เลือดไม่หยุดไหล ส่วนผู้ที่ใช้ยาเจือจางเลือด แอสไพริน หรือวาฟาริน อาจทำให้เลือดออกมากขึ้นหลังการเจาะเลือด
ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะปรากฏผลการตรวจที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ที่อยู่ในเลือด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วัดผลและวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยจากการตรวจดังกล่าว โดยผู้ที่ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดอยู่ในระดับผิดปกติ อาจต้องเข้ารับการตรวจเลือดอีกครั้ง รวมทั้งอาจต้องมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยวัดและยืนยันผลการวินิจฉัย
โดยผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผลการตรวจปกติ และผลการตรวจผิดปกติ (อาจต่ำหรือสูงกว่าค่าปกติ) ซึ่งจะขอพูดลงในรายละเอียดพอสังเขปของผลการตรวจแต่ละอย่างโดยแบ่งออกเป็นแต่ละหัวเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ตั้งแต่หัวข้อด้านล่างเป็นต้นไป
WBC
WBC หรือ White Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งบทบาทในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค (Antibody) เพื่อปกป้องร่างกายและทำลายจุลชีพก่อโรค เช่น เชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ใด ๆ ที่แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
- จุดประสงค์ของการตรวจ WBC คือ การตรวจเพื่อนับจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวในน้ำเลือดว่ามีจำนวนในระดับปกติหรือไม่
- ค่าปกติของ WBC ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) ส่วนค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า WBC = 5,000 – 11,000 cells/cu.mm. (5 – 11 x109/L)
- ค่าผิดปกติของ WBC ที่ถือว่าวิกฤติ คือ
- ค่า WBC = น้อยกว่า 2,500 หรือมากกว่า 30,000 cells/cu.mm. (น้อยกว่า 25 หรือมากกว่า 30 x109/L)
- ค่า WBC ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- ร่างกายกำลังติดเชื้อจากจุลชีพก่อโรคร้ายแรงบางชนิด เช่น เชื้อไวรัส
- ร่างกายอาจกำลังมีสภาวะภูมิต้านทานโรคที่กำลังตกต่ำ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ
- ไขกระดูกอาจมีปัญหา หรือมีโรคสำคัญบางอย่าง
- อาจเกิดจากการใช้ยาหรือได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดที่ให้ผลข้างเคียงต่อการทำลายเม็ดเลือดขาว
- ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 12, กรดโฟลิค หรือธาตุเหล็ก
- อาจเกิดจากม้ามทำงานมากเกินไป (Hypersplenism) โดยดักตับเก็บเม็ดเลือดขาวไว้มากผิดปกติจากกระแสเลือด
- ค่า WBC ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- ร่างกายอาจกำลังเกิดการอักเสบจากการบาดเจ็บหรือเกิดจากการถูกจุลชีพก่อโรคโจมตี
- ร่างกายอาจกำลังได้รับเชื้อโรคสำคัญหรือเกิดโรคจากจุลชีพก่อโรคที่หลุดเข้าสู่ร่างกาย จึงกระตุ้นให้ร่างกายต้องเร่งผลิตสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาต่อสู้
- อาจเกิดโรคสร้างเม็ดเลือดขาวมากผิดปกติจากไขกระดูก (Myeloproliferative disorders)
- อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- อาจกำลังเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งซึ่งยังแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่จนยากจะตรวจพบได้ในขณะนั้น (จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สูงขึ้นผิดปกติโดยไม่มีอาการของโรคอื่น อาจนับเป็นสัญญาณบ่งชี้ของโรคมะเร็ง)
- อาจกำลังเกิดความระคายเคือง เช่น จากความเครียด หรือริดสีดวงทวาร ซึ่งผลต่อฮอร์โมนที่มีอิทธิพลในการสร้างเม็ดเลือด
- อาจเกิดจากสภาวะการขาดน้ำ
- ต่อมไทรอยด์อาจทำงานมากเกินไป
- อาจเกิดจากการกินยากลุ่มสเตียรอยด์มานานเกินไป
Neutrophil (Neut, PMN, Polys)
Neutrophil (นิวโตรฟิล) หรือ Polymorphonuclear neutrophil (PMN) หรือบางคลินิกก็เรียกว่า Polys ซึ่งย่อมาจาก Polymorphonuclear cells คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % มากที่สุด มีบทบาทหลักในการทำลายเชื้อโรคชนิดแบคทีเรียที่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายด้วยกระบวนการกลืนกิน
- จุดประสงค์ของการตรวจ Neutrophil คือ การตรวจเพื่อให้ทราบจำนวนหรือปริมาณเซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดที่เรียกว่า “นิวโตรฟิล”
- ค่าปกติของ Neutrophil ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป (อาจแสดงเป็นตัวเลขได้หลายวิธี) ดังนี้
- ค่า Neutrophil ที่วัดจาก % WBC = 55 – 70% (ส่วนใหญ่วัดด้วยวิธีนี้)
- ค่า Neutrophil ที่วัดจากจำนวนนับทั่วไป = 3.6 – 11.5 x103/µL (3,600 – 11,500 cells/cu.mm.)
- ค่า Neutrophil ที่วัดจากจำนวนหน่วยสมบูรณ์ (Absolute neutrophils count : ANC) = 2,500 – 8,000 cells/cu.mm. (cells/mm3)
- ค่าผิดปกติของ Neutrophil ที่ถือว่าวิกฤติ คือ
- ค่า Neutrophil ที่วัดจากจำนวนหน่วยสมบูรณ์ (ANC) = น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1,000 cells/cu.mm. (cells/mm3)
- ค่า Neutrophil ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- ร่างกายอาจกำลังขาดแคลนสารอาหารสำคัญบางตัว คือ วิตามินบี 12 (B12) หรือกรดโฟลิค (Folic acid)
- ร่างกายอาจกำลังเกิดบาดแผลขนาดใหญ่ หรืออาจเพิ่งได้รับการฉายรังสีหรือรับยาคีโม
- ร่างกายอาจกำลังเริ่มเผชิญกับการติดเชื้อที่เสี่ยงต่อการนำไปสู่โรคสำคัญ เช่น ตับอักเสบ ไทฟอยด์ ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคคางทูม ฯลฯ
- ค่า Neutrophil ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- อาจกำลังเกิดโรคจากการติดเชื้อ เช่น โรคหูอักเสบ โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ โรคกระดูกอักเสบ โรคโกโนเรีย โรคงูสวัด โรคอีสุกอีใส ฯลฯ
- อาจกำลังเกิดการอักเสบจากโรคทั่วไป เช่น โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคปวดข้อ โรคเกาต์เฉียบพลัน ฯลฯ
- อาจกำลังตกอยู่ภายใต้สภาวะความเครียดอย่างหนัก
- อาจกำลังเกิดโรคสภาวะอันเนื่องมาจากการเผาผลาญอาหารบกพร่อง เช่น สภาวะความเป็นกรดจากเบาหวาน (Diabetic acidosis)
- อาจกำลังเกิดโรคเซลล์หรือเนื้อเยื่อบางจุดขาดเลือด เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แผลไฟลวก แผลหิมะกัด ฯลฯ
Lymphocyte (Lymph)
Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % รองลงมาจากนิวโตรฟิล โดยลิมโฟไซต์จะมีพี่น้องร่วมกำเนิดในสายพันธุ์เดียวกันที่แยกย้ายกันทำหน้าที่ในแต่ละบทบาท คือ T-cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายจุลชีพก่อโรคทุกชนิด, B-cells ที่มีหน้าที่ในการสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายโดยตรง, และ Natural Killer cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายแบบไม่เลือกทั้งจุลชีพก่อโรคและบรรดาเซลล์ของร่างกายที่กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็ง รวมทั้งเซลล์ที่ดีอื่น ๆ ของร่างกายที่ถูกไวรัสเข้าไปแอบหลบซ่อนอยู่ภายในด้วย
- จุดประสงค์ของการตรวจ Lymphocyte คือ การตรวจเพื่อนับจำนวนเซลล์ย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ลิมโฟไซต์” ซึ่งจำนวนและระดับที่พอดีของลิมโฟไซต์จะเป็นข้อมูลที่อาจชี้ให้เห็นถึงความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
- ค่าปกติของ Lymphocyte ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Lymphocyte ที่วัดจาก % WBC = 30 – 45%
- ค่า Lymphocyte ที่วัดจากจำนวนนับสมบูรณ์ (Absolute count) = 1,000 – 4,000 cells/cu.mm. (cells/mm3)
- ค่า Lymphocyte ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ร่างกายอาจตกอยู่ในความเครียดอย่างหนัก
- ร่างกายอาจถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัวจากเชื้อ HIV/AIDS
- อาจกำลังเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
- อาจกำลังเกิดโรคร้ายแรง เช่น วัรโรคระยะลุกลาม โรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ
- อาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิดที่มีฤทธิ์กดไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด
- อาจกำลังได้รับการรักษาด้วยรังสีบำบัด หรือรับการฉายเอกซเรย์ (X-ray) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) บ่อยครั้งเกินไป
- ค่า Lymphocyte ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดเรื้อรัง
- อาจกำลัติดเชื้อจากบางโรค เช่น วัณโรค โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ
- อาจกำลังเกิดสภาวะโรคตับอักเสบจากการติดเชื้อ
- อาจอยู่ในสภาวะภายหลังการรับการถ่ายเลือด (Post-transfusion)
Monocyte (Mono)
Monocyte (โมโนไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) มีหน้าที่ในการลาดตระเวนในหลอดเลือด เมื่อได้รับการเตือนภัยจากระบบภูมิคุ้มกัน (มักจะเป็น B-cells) ว่ากำลังมีจุลชีพก่อโรคบุกรุกเข้ามาฝังตัวอยู่ตรงเนื้อเยื่อ ณ บริเวณใดของร่างกาย โมโนไซต์ตัวที่อยู่ภายในหลอดเลือดที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะเข้าไปเขมือบกลืนจุลชีพที่ยังไม่ทันก่อโรค รวมทั้งยังมีหน้าที่เก็บกวาด (เขมือบ) บรรดาเศษชิ้นส่วนหรือซากของจุลชีพก่อโรคที่ถูกฆ่าโดย T-cells หรือ Natural Killer cells ของลิมโฟไซต์ด้วย
- จุดประสงค์ของการตรวจ Monocyte คือ การตรวจเพื่อนับจำนวนเซลล์ย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดที่เรียกว่า “โมโนไซต์”
- ค่าปกติของ Monocyte ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Monocyte ที่วัดจาก % WBC = 2 – 8%
- ค่า Monocyte ที่วัดจากจำนวนนับสมบูรณ์ (Absolute count) = 100 – 700 cells/cu.mm. (cells/mm3)
- ค่า Monocyte ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจเกิดโรคโลหิตจางจากไขกระดูกเสื่อม (Aplastic anemia)
- อาจเกิดโรคโลหิตจางจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Lymphocytic anemia)
- ค่า Monocyte ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ร่างกายอาจมีการติดเชื้อในบางโรค เช่น โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบจากแบคทีเรียชนิดไม่รุนแรง โรควัณโรค โรคตับอักเสบ โรคมาลาเรีย
- อาจกำลังเกิดโรคลำไส้อักเสบ (Imflammatory bowel disease)
- อาจเกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งชนิดเนื้องอก มะเร็งเม็ดเลือดขาวของเซลล์โมโนไซต์ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ
Eosinophil (Eos)
Eosinophil (อีโอซิโนฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยส่วนน้อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ที่มีประมาณ 1-4% ของ WBC มีหน้าที่สำคัญในการช่วยทำลายสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โดยช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ช่วยให้อาการของภูมิแพ้ลดลงหรือหมดไป
- จุดประสงค์ของการตรวจ Eosinophil คือ การตรวจเพื่อนับจำนวนเซลล์ย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดที่เรียกว่า “อีโอซิโนฟิล”
- ค่าปกติของ Monocyte ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
ค่า Monocyte ที่วัดจาก % WBC = 1 – 4%
ค่า Monocyte ที่วัดจากจำนวนนับสมบูรณ์ (Absolute count) = 50 – 500 cells/cu.mm. (cells/mm3) - ค่า Monocyte ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ร่างกายอาจอยู่ในสภาวะความเครียดอย่างหนัก ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมน Corticosteroids ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วร่างกาย
- อาจกำลังเกิดอาการ Cushing Syndrome ซึ่งมักจะมีไขมันในร่างกายส่วนบนมากผิดปกติ จนทำให้ใบหน้ากลม คอกลม แต่แขนเล็กเลีบ ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดมีค่ามากขึ้น มีอาการเหนื่อยผิดปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตในระดับสูงเข้ามาอยู่ในกระแสเลือดนานเกินไป
- ค่า Monocyte ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ร่างกายอาจกำลังเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้ที่หนาแน่นอย่างกะทันหัน เช่น การเดินทางไปในเขตมลพิษสูงซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น ผง และควันจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการอาศัยอยู่ในเขตที่เป็นบ่อเกิดของสารก่อภูมิแพ้ เช่น ใกล้โรงงานย่อยหิน อยู่ใต้ทิศทางลมจากโรงงานฟอกหนังสัตว์ จากฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ฯลฯ
- อาจกำลังเกิดการอักเสบจากพยาธิบางชนิด
- อาจมีโรคไขกระดูกบางอย่าง
- อาจกำลังเกิดโรคผิวหนังบางชนิด เช่น การอักเสบจากสิว งูสวัด ฯลฯ
Basophil (Baso)
Basophil (เบโซฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดสุดท้ายที่มีจำนวนเป็น % น้อยที่สุด (มีเพียงประมาณ 1% ของ WBC เท่านั้น) แต่ถึงแม้จะมีจำนวนน้อย เบโซฟิลก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมร่างกายไม่ให้หลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมามากจนเกินไป ในกรณีที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ (ช่วยหน่วงเวลาไว้ไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินไปต่อผลกระทบซึ่งมาจากสารก่อภูมิแพ้ใด ๆ)
- จุดประสงค์ของการตรวจ Basophil คือ การตรวจเพื่อนับจำนวนเซลล์ย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดที่เรียกว่า “เบโซฟิล”
- ค่าปกติของ Basophil ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Basophil ที่วัดจาก % WBC = 0.5 – 1%
- ค่า Basophil ที่วัดจากจำนวนนับสมบูรณ์ (Absolute count) = 25 – 100 cells/cu.mm. (cells/mm3)
- ค่า Basophil ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังตกอยู่ในสภาวะมีความเครียดอย่างหนัก
- อาจกำลังอยู่ในสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
- ร่างกายสตรีอาจกำลังตกไข่ (Ovulation)
- อาจกำลังตั้งครรภ์
- ค่า Basophil ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่สร้างสารก่อภูมิแพ้
- อาจเกิดสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป
- อาจเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s lymphoma)
- อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดจากไขกระดูกชนิดเรื้อรัง (Chronic myelocytic leukemia)
- อาจเกิดจากการอักเสบจากโรคบางชนิด เช่น ไซนัสอักเสบ ช่องทางหายใจอักเสบ (โรคหอบหืด) ลำไส้อักเสบ ผิวหนังอักเสบ
RBC
RBC หรือ Red Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนจากปอดด้วยวิธีการให้ออกซิเจนเข้าจับที่บริเวณผิวของเม็ดเลือดแดง โดยนำพาออกไปตามหลอดเลือด ส่งให้แก่ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย และนำพาคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซมลพิษที่เหลือจากปฏิกิริยาการเผาผลาญสร้างพลังงานของทุกเซลล์แล้วกลับคืนมาส่งให้ปอด เพื่อทิ้งออกไปนอกร่างกายในช่วงที่มนุษย์หายใจออก
- จุดประสงค์ของการตรวจ RBC คือ การตรวจสอบความสมบูรณ์และแสดงจำนวนนับเม็ดเลือดแดง (RBC) ในเลือดว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่
- ค่าปกติของ RBC ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า RBC ในผู้ชาย = 4.2 – 5.4 106/µL
- ค่า RBC ในผู้หญิง = 3.6 – 5.0 106/µL
- ค่า RBC ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจเกิดสภาวะของโรคโลหิตจาง (Anemia) ทำให้มีอาการซีดเซียว อ่อนเพลีย หายใจสั้นถี่ หมดเรี่ยวแรง
- อาจเกิดขึ้นภายหลังการรักษาโรคอื่นด้วยยาบางชนิดหรือรังสีบำบัด จนทำให้ไปยับยั้งฮอร์โมนสำคัญซึ่งมีหน้าที่ไปกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง
- อาจเกิดสภาวะของโรคไตเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนสำคัญซึ่งมีหน้าที่ไปกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้
- อาจมาจากการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์หรือเกิดจากไขกระดูกผลิตเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดแดงมากน้อยเกินไป (Erythroblastopenia)
- อาจมีการเสียเลือดทั้งเห็นด้วยตาและไม่อาจสังเกตเห็น เช่น การตกเลือดในลำไส้
- อาจมีสาเหตุร้ายแรงสำคัญหรือเกิดโรคที่ไขกระดูก เช่น โรคมะเร็งไขกระดูก, เม็ดเลือดแดงถูกทำลายจากภูมิต้านทาน
- ค่า RBC ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อยู่ในท้องถิ่นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเป็นเวลานานตลอดช่วงใดช่วงหนึ่ง ซึ่งมีออกซิเจนบางกว่าปกติ ร่างกายจึงต้องปรับตัวเองโดยพยายามสร้างเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อจะได้ใช้พาออกซิเจนจากปอดไปส่งให้อวัยวะต่าง ๆ ได้พอเพียงเช่นเดิม ส่วนการแก้ไขขั้นต้นก็ควรกลับลงมาจากที่สูง แล้วในไม่ช้าร่างกายก็จะคืนกลับสู่สภาพสมดุลเอง
- อาจเกิดสภาวะของโรคเม็ดเลือดแดงคับคั่ง (Polycythemia vera) ซึ่งจะก่อให้เกิดความขลุกขลักทำให้เลือดไหลผ่านไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้ ก่อความเสี่ยงให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ)
- อาจเกิดมะเร็งที่เนื้อเซลล์ของไต ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ไตผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิติน (Erythropoietin) ที่มีฤทธิ์ในการไปกระตุ้นไขกระดูกอย่างไร้การควบคุม เป็นผลต่อเนื่องทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงมีระดับสูงขึ้นมากกว่าปกติ
- อาจเกิดจากโรคธาลัสซีเมีย คือ โรคโลหิตจางที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว โดยแม้จะมีเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ แต่ก็จับออกซิเจนไม่ค่อยได้ จึงนับเป็นโรคโลหิตจางชนิดหนึ่ง
- อาจตกอยู่ในความเครียดยาวนานเกินไป โดยในช่วงที่มีควารมเครียดนั้นร่างกายจะตกอยู่ภายใต้สภาวะเตรียมพร้อม จึงเป็นผลทำให้ต้องสร้างเม็ดเลือดแดงให้มากขึ้นเพื่อพร้อมในการใช้พลังงาน
- อาจเกิดจากสภาวะร่างกายขาดน้ำ (Dehydration) จึงทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงต่อน้ำเลือด 1 ลบ.มม. มีระดับที่สูงขึ้นผิดปกติ (เลือดขึ้นขึ้น) ส่วนการแก้ไขก็จำเป็นต้องรีบดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีเลือดที่ลดความเข้มข้นลง
Hemoglobin (Hb, HgB, HGB)
Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) คือ โปรตีนที่มีสีแดงเข้มซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเม็ดเลือดแดง และถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดเนื่องจากมีหน้าที่จับออกซิเจนจากปอดไปส่งให้เซลล์ต่าง. ทั่วร่างกาย และตับเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาคืนให้ปอดเพื่อส่งออกทิ้งไปนอกร่างกาย
- จุดประสงค์ของการตรวจ Hemoglobin คือ การตรวจวัดปริมาณโปรตีนในเม็ดเลือดแดงว่ามีอยู่ในระดับปกติหรือไม่ ส่วนจุดมุ่งหมายหลักในการตรวจโดยทั่วไปคือ การตรวจสอบบ่งชี้ว่ามีสภาวะของโรคโลหิตจางหรือไม่ (แต่ค่า Hemoglobin ก็อาจใช้ช่วยวินิจฉัยโรคอื่นได้ด้วยเช่นกัน) โดยปริมาณของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) มักมีสัดส่วนสอดคล้องสัมพันธ์โดยกับจำนวนนับเม็ดเลือดแดงในเลือด (RBC)
- ค่าปกติของ Hemoglobin ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Hemoglobin ในเด็กอายุ 6-12 ปี = 11.5 – 15.5 g/dL (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 13.5 g/dL)
- ค่า Hemoglobin ในผู้ชายอายุ 12-18 ปี = 13.0 – 16.0 g/dL (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 14.5 g/dL)
- ค่า Hemoglobin ในผู้ชายอายุมากกว่า 18 ปี = 13.6 – 17.7 g/dL (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 15.5 g/dL)
- ค่า Hemoglobin ในผู้หญิงอายุ 12-18 ปี = 12.0 – 16.0 g/dL (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 14.0 g/dL)
- ค่า Hemoglobin ในผู้หญิงอายุมากกว่า 18 ปี = 12.1 – 15.1 g/dL (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 14.0 g/dL)
- ค่าผิดปกติของ Hemoglobin ที่ถือว่าวิกฤติ คือ
- ค่า Hemoglobin = น้อยกว่า 5 g/dL หรือมากกว่า 20 g/dL
- ค่า Hemoglobin ต่ำสุดที่ใช้บ่งชี้สภาวะโรคโลหิตจาง (Anemia Cut-off)
- ค่า Hemoglobin ในเด็กอายุ 8-11 ปี = น้อยกว่า 11.9 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้ชายอายุ 12-14 ปี = น้อยกว่า 12.5 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้ชายอายุ 15-17 ปี = น้อยกว่า 13.3 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้ชายอายุมากกว่า 17 ปี = น้อยกว่า 13.0 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้หญิงอายุ 12-14 ปี = น้อยกว่า 11.8 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้หญิงอายุ 15-17 ปี = น้อยกว่า 12.0 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในผู้หญิงอายุมากกว่า 17 ปี = น้อยกว่า 12.0 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 1 และ 3 = น้อยกว่า 11.0 g/dL
- ค่า Hemoglobin ในหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรที่ 2 = น้อยกว่า 10.5 g/dL
- ค่า Hemoglobin ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังเริ่มเกิดหรือเกิดสภาวะของโรคโลหิตจางขึ้นแล้ว (ข้อมูลที่อาจช่วยยืนว่าได้เกิดสภาวะโรคโลหิตจางหรือไม่นั้นจำเป็นต้องได้จากผลการตรวจ CBC ตัวอื่นเปรียบเทียบและช่วยร่วมบ่งชี้ด้วย โดยเฉพาะค่า RBC, Hematocrit, MCV, RDW)
- อาจเกิดสภาวะเลือดไหลออกหรือเลือดตกใน เช่น บาดแผลขนาดใหญ่ แผลในกระเพาะอาหาร พยาธิปากขอในลำไส้ ริดสีดวงทวาร หรือมีประจำเดือนมากผิดปกติมานาน ฯลฯ
- อาจเกิดจากโรคไตที่ส่งต่อฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างไขกระดูก
- อาจเกิดจากการขาดแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก
- ค่า Hemoglobin ที่สูงกว่าปกติ อาจเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดง (RBC) มีจำนวนสูงกว่าปกติ เช่น
- การพำนักในภูมิประเทศที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งอากาศมีออกซิเจนเบาบางมาก
- การออกกำลังกายหรือการประกอบกิจการงานที่ต้องใช้แรงกายอย่างหักโหมจนเกินไป
- อาจเกิดจากสภาวะของโรคเม็ดเลือดแดงคับคั่งมากเกินไป
- อาจเกิดสภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
Hematocrit (Hct, HCT)
Hematocrit (ฮีมาโทคริต) หรือบางแห่งก็เรียกว่า “ปริมาตรเซลล์อัดแน่น” (Packed cell volume : PCV) คือ ความเข้มข้นหรือความหนาแน่นของปริมาตรเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่ในน้ำเลือดขณะนั้น จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญตัวหนึ่งของการเกิดโรคโลหิตจาง
- จุดประสงค์ของการตรวจ Hematocrit คือ การตรวจหาค่าความเข้มข้นหรือความหนาแน่นของปริมาตรเม็ดเลือดที่มีอยู่ในน้ำ ซึ่งมักนิยมแสดงค่าเป็น %
- ค่าปกติของ Hematocrit ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Hematocrit ในทารก = 44-64%
- ค่า Hematocrit ในเด็กอายุ 6-12 ปี = 35 – 45% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 40%)
- ค่า Hematocrit ในผู้ชายอายุ 12-18 ปี = 37 – 49% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 43%)
- ค่า Hematocrit ในผู้ชายอายุมากกว่า 18 ปี = 41 – 50% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 47%)
- ค่า Hematocrit ในผู้หญิงอายุ 12-18 ปี = 36 – 46% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 41%)
- ค่า Hematocrit ในผู้หญิงอายุมากกว่า 18 ปี = 36 – 44% (ค่าเฉลี่ยปานกลาง คือ 41%)
- ค่าผิดปกติของ Hematocrit ที่ถือว่าวิกฤติ (ยกเว้นทารก) คือ
- ค่า Hematocrit = น้อยกว่า 15% หรือมากกว่า 60%
- ค่า Hematocrit ต่ำสุดที่ใช้บ่งชี้สภาวะโรคโลหิตจาง (Anemia Cut-off)
- ค่า Hematocrit ในเด็กอายุ 8-11 ปี = น้อยกว่า 35.4%
- ค่า Hematocrit ในผู้ชายอายุ 12-14 ปี = น้อยกว่า 37.3%
- ค่า Hematocrit ในผู้ชายอายุ 15-17 ปี = น้อยกว่า 39.7%
- ค่า Hematocrit ในผู้ชายอายุมากกว่า 17 ปี = น้อยกว่า 38.0%
- ค่า Hematocrit ในผู้หญิงอายุ 12-14 ปี = น้อยกว่า 35.7%
- ค่า Hematocrit ในผู้หญิงอายุ 15-17 ปี = น้อยกว่า 35.9%
- ค่า Hematocrit ในผู้หญิงอายุมากกว่า 17 ปี = น้อยกว่า 35.0%
- ค่า Hematocrit ในหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 1 และ 3 = น้อยกว่า 33.0%
- ค่า Hematocrit ในหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรที่ 2 = น้อยกว่า 32.0%
- ค่า Hematocrit ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ได้เกิดสภาวะของโรคโลหิตจาง โดยเฉพาะในกรณีที่ค่า Hematocrit ได้แสดงค่าน้อยกว่าค่า Anemia Cut-off
- อาจเกิดจากโรคตับแข็งที่นำไปสู่การคั่งของของเหลวจนทำให้น้ำเลือดเจือจาง
- อาจเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวภายหลังการเสียเลือดอย่างรุนแรง
- อาจเกิดจากการขาดสารอาหารเกี่ยวกับเลือด เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิค หรือธาตุเหล็ก
- อาจเกิดจากเซลล์ไขกระดูกมีความผิดปกติ ทำให้มีผลต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ
- อาจเกิดโรคเกี่ยวกับไต ทำให้ไตผลิตฮอร์โมนสร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้ตามปกติ
- อาจมีโรคร้ายแรงเกี่ยวกับไขกระดูก เช่น Lymphoma, Multiple myeloma, Leukemia หรือ Hodgkin’s disease
- อาจเกิดจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากการตั้งครรภ์ย่อมสร้างสภาวะการกักคั่งน้ำ จึงทำให้ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในน้ำเลือดในช่วงเวลานั้นมีระดับลดลง แต่อย่างไรก็ไม่ควรต่ำกว่าค่า Anemia Cut-off ในกลุ่มของหญิงตั้งครรภ์ตามเกณฑ์ตัวเลขด้านบน
- ค่า Hematocrit ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- กำลังเกิดสภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ (Dehydration)
- ร่างกายอาจกำลังตกอยู่ในกระบวนการขับน้ำทิ้งออกจากร่างกาย เช่น อยู่ในช่วงการกินยาขับปัสสาวะ หรือในขณะที่ยังใส่สายสวนปัสสาวะอยู่
- รางกายอาจเกิดสภาวะของโรคเม็ดเลือดแดงคับคั่ง
- อาจกำลังเกิดโรคหัวมาแต่กำเนิด จึงทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการเร่งสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีจำนวนมากขึ้นเพื่อส่งออกซิเจน
- อาจเกิดจากโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนจากเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ เป็นผลต่อเนื่องให้ร่างกายต้องเร่งสร้างจำนวนเม็ดเลือดแดงให้เพิ่มขึ้น
- อาจเป็นผลภายหลังจากร่างกายบาดเจ็บจากไฟลวก
- อาจอยู่ในพื้นที่ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลค่อนข้างมากมาเป็นเวลานาน
MCV
Mean Corpuscular Volume หรือ MCV (เอ็มซีวี) คือ ค่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง ซึ่งคำนวณได้จากค่า Hematocrit หารด้วยจำนวน RBC
- จุดประสงค์ของการตรวจ MCV คือ เพื่อหาค่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงซึ่งมีหน่วยเป็น Femtoliter หรือ fL
- ค่าปกติของ MCV ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า MCV ในผู้ชายอายุ 12-18 ปี = 78 – 98 fL
- ค่า MCV ในผู้หญิงอายุ 12-18 ปี = 78 – 102 fL
- ค่า MCV ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี = 78 – 98 fL
- ค่า MCV ที่ต่ำกว่าปกติ ย่อมแสดงว่า ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดมีขนาดเล็กกว่าปกติ ซึ่งอาจถือเป็นข้อบ่งชี้ทำให้ทราบว่า
- กำลังมีโรคโลหิตจางอันเนื่องมาจากเซลล์เม็ดเลือดแดงเล็กเกินไป (Microcytic anemia)
- อาจเกิดจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก หรือจากโรคโลหิตจางจากพันธุกรรมที่เรียกว่า “ธาลัสซีเมีย”
- อาจเกิดจากโรคไตวายเรื้อรัง จึงทำให้ร่างกายส่งฮอร์โมนอีริโทโพอิติน (Erythropoietin) ที่บกพร่องไม่สมบูรณ์ไปกระตุ้นไขกระดูกเพื่อให้สร้างเม็ดเลือดแดง จึงทำให้เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กกว่าปกติ
- อาจเกิดจากร่างกายได้รับพิษจากตะกั่ว
- ค่า MCV ที่สูงกว่าปกติ ย่อมแสดงว่า ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ซึ่งอาจถือเป็นข้อบ่งชี้ทำให้ทราบว่า
- ในกรณีที่ MCV มีค่ามากกว่า 100 fL อาจเกิดโรคโลหิตจางจากเหตุเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่โตเกินปกติ (Macrocytic anemia)
- ร่างกายอาจพร่องวิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิค
- ร่างกายอาจอยู่ในสภาวะเสพติดแอลกอฮอร์
- อาจเกิดโรคตับ
- อาจเกิดสภาวะโรคไขกระดูกเสื่อม (Marrow aplasia)
- อาจเกิดสภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไป
- ค่า MCV อยู่ในเกณฑ์ปกติ บางกรณีก็อาจเกิดโรคโลหิตจางได้ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า “Normocytic anemia” ซึ่งอาจเนื่องมาจากเหตุใดเหตุหนึ่ง
- เซลล์เม็ดเลือดแดงมีจำนวนน้อย ซึ่งอาจมาจากโรคมะเร็ง หรือการผลิตเม็ดเลือดแดงของไขกระดูกเกิดความผิดปกติจนทำให้ผลิตได้ในจำนวนน้อยเกินไป
- อาจมีการตกเลือดมากเกินไป
- อาจมีโรคไตหรือโรคตับ
- อาจเกิดสภาวะเม็ดเลือดแดงแตกง่าย (Hemolysis of the red blood cells)
MCH
Mean Corpuscular Hemoglobin หรือ MCH (เอ็มซีเอช) คือ ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของเนื้อฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)
- จุดประสงค์ของการตรวจ MCH คือ เพื่อหาค่าเฉลี่ยหรือน้ำหนักของเนื้อฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เพราะเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดอาจมีน้ำหนักของฮีโมโกลบินไม่เท่ากัน ในการนี้จึงจำเป็นต้องหาค่าเฉลี่ยของน้ำหนักฮีโมโกลบินเพื่อจะได้ทราบว่ามีค่าเฉลี่ยที่สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ปกติหรือไม่ นอกจากนี้ยังอาจใช้เป็นข้อมูลที่ช่วยร่วมยืนยันว่าค่า MCV (ค่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง) มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใดด้วย
- ค่าปกติของ MCH ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า MCH = 27.5 – 33.5 pg/cell หรือ 27 – 32 pg/cell
- ค่า MCH ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังเกิดโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กกว่าปกติ (Microcytic anemia) และควรได้รับการยืนยันด้วยค่า Hemoglobin, Hematocrit, MCV และ RDW
- ในกรณีที่ MCH เริ่มมีค่าต่ำกว่า 30 pg/cell อาจบ่งชี้ว่าร่างกายกำลังเริ่มมีการสังเคราะห์ Hemoglobin ที่ผิดปกติ
- ค่า MCH ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า อาจเกิดโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่กว่าปกติ (Macrocytic anemia) และควรได้รับการยืนยันจากผลการตรวจเลือดตัวอื่นด้วยเช่นกัน (ข้อสังเกต : เม็ดเลือดแดงขนาดใหญ่ย่อมทำจำนวนของเม็ดเลือดแดงมีน้อยลง พื้นที่ผิวที่ใช้ในการจับออกซิเจนก็ย่อมมีขนาดรวมกันของพื้นที่ผิวน้อยกว่าพื้นที่ผิวของเม็ดเลือดขนาดปกติ)
MCHC
Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration หรือ MCHC (เอ็มซีเอชซี) คือ ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของเนื้อฮีโมโกลบินภายในแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง
- จุดประสงค์ของการตรวจ MCHC คือ การตรวจให้ทราบว่าฮีโมโกลบินซึ่งเป็นเนื้อโปรตีนที่อยู่ภายในเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดนั้นมีคุณภาพเป็นปกติตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ (คุณภาพของฮีโมโกลบินที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบนั้นจะประกอบไปด้วยข้อมูลจำเพาะเกี่ยวกับ ปริมาตรของเม็ดเลือดแดง (MCV), น้ำหนักเฉลี่ยของฮีโมโกลบิน (MCH), และเนื้อของฮีโมโกลบิน (MCHC))
- ค่าปกติของ MCH ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า MCHC = 28 – 33 gm/dL (หน่วยอาจแสดงได้หลายวิธี ทั้ง ๆ ที่เป็นหน่วยเดียวกัน เช่น 28 – 33 g/dL, 28 – 33 g %)
- ค่า MCHC ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- อาจเกิดสภาวะของโรคโลหิตจางชนิดยีนบกพร่องในฮีโมโกลบิน ซึ่งมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมที่เรียกว่า ยีนซึ่งก่อให้เกิดโรคธาลัสซีเมีย
- อาจเกิดสภาวะเม็ดเลือดแดงสีซีด (Hypochromia) ไม่สำแดงสีแดงสดตามปกติ เนื่องจากร่างกายอาจมีความบกพร่องหรือขาดธาตุเหล็ก
- ค่า MCHC ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า
- ฮีโมโกลบินอาจมียินบกพร่องจากพันธุกรรม ทำให้เกิดการผันแปรไม่แน่นอนทางด้านรูปร่าง เช่น อาจค่อย ๆ เปลี่ยนจากรูปร่างปกติจนกลายเป็นรูปทรงกลมคล้าย ๆ ลูกปิงปอง
- อาจเกิดจากผู้ป่วยมีอาการหนัก เช่น แผลไฟลวก จึงทำให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเร่งส่งออกซิเจนให้ทันตามความต้องการของเซลล์ซึ่งกำลังเกิดปัญหาในร่างกาย
RDW
Red Cell Distribution Width หรือ RDW (อาร์ดีดับเบิ้ลยู) คือ ความกว้างของการกระจายขนาดเม็ดเลือดแดง ซึ่งในคนปกตินั้นเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันหรือเหมือนกันทุกเม็ด แต่ในร่างกายของคนบางคนอาจมีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือผิดขนาด
- จุดประสงค์ของการตรวจ RDW คือ การตรวจความกว้างของการกระจายขนาดเม็ดเลือดแดง ซึ่งขนาดที่แตกต่างจากปกตินั้นอาจแสดงตัวเลขเม็ดเลือดที่ผิดปกตินับได้เป็นจำนวน % ของเม็ดเลือดแดง แปลว่า RDW ยิ่งมี % สูงมากเท่าใด ก็แสดงว่ามีขนาดเม็ดเลือดแดงที่ผิดขนาด ซึ่งย่อมจับออกซิเจนได้น้อยลงและสะท้อนให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของโรคโลหิตจาง ด้วยเหตุนี้ค่า RDW จึงเป็นค่าที่ช่วยให้แพทย์ยืนยันบ่งชี้สภาวะโรคโลหิตจางได้ โดยเจาะลึกไปถึงสาเหตุของการเกิดโรคโหลิตจาง
- ค่าปกติของ RDW ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า RDW = 11.5 – 14.5%
- ค่า RDW ที่ต่ำกว่าปกติ อาจเป็นข้อมูลที่ช่วยบ่งชี้ให้ทราบว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีสุขภาพเม็ดเลือดแดงดีเยี่ยม (มีเม็ดเลือดแดงที่ต่างขนาดกันไม่ถึง 11.5%)
- ค่า RDW อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ค่า MCV อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจเกิดโรคโลหิตจางจากสาเหตุกำลังมีโรคเรื้อรัง (Chronic disease) ชนิดอื่นอยู่
- อาจมีโรคโลหิตจางชนิดธาลัสซีเมียแอบแฝงอยู่
- ค่า RDW อยู่ในเกณฑ์ปกติ และค่า MCV ก็อยู่ในระดับปกติด้วยเช่นกัน (แม้ค่าทั้ง 2 จะอยู่ในระดับปกติ แต่ร่างกายโดยสุขภาพเลือดก็อาจผิดปกติก็ได้ จึงจำเป็นต้องมีการยืนยันเพิ่มเติมด้วยผลเลือดตัวอื่น) อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจเกิดสภาวะของโรคโลหิตจางจากเหตุมีโรคเรื้อรัง (Anemia of chronic disease) บางโรคที่แฝงตัวอยู่
- อาจเกิดจากการเสียเลือดอย่างฉับพลันรุนแรง
- อาจเกิดจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด
- อาจเกิดจากสภาวะของการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง (Hemolysis)
- ค่า RDW อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ค่า MCV อยู่ในระดับสูงกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังเกิดโรคโลหิตจางจากไขกระดูกเสื่อม (Aplastic anemia)
- อาจกำลังเริ่มต้นกระบวนการการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ค่า RDW ที่สูงกว่าปกติ แต่ค่า MCV อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังเกิดโรคโลหิตจางจากร่างกายขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)
- อาจเกิดจากสภาวะเม็ดเลือดแดงฉีกขาด (RBC fragmentation)
- อาจเกิดจากยีนของฮีโมโกลบินชนิด HbH ซึ่งนับเป็นความบกพร่องทางพันธุกรรมที่นับเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรงได้
- ค่า RDW ที่สูงกว่าปกติ แต่ค่า MCV อยู่ในระดับปกติ อาจแสดงผลได้ว่า
- ร่างกายอาจกำลังอยู่ในระยะเริ่มต้นของสภาวะโรคโลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก
- ร่างกายอาจกำลังขาดวิตามินบี 12
- ร่างกายอาจกำลังขาดกรดโฟลิค
- ค่า RDW ที่สูงกว่าปกติ และค่า MCV ก็อยู่ในระดับสูงกว่าปกติด้วยเช่นกัน
- ร่างกายกำลังขาดแคลนวิตามินบี 12
- ร่างกายอาจกำลังขาดแคลนกรดโฟลิค
- ร่างกายอาจกำลังเกิดสภาวะของโรคโลหิตจางชนิดภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดแดงของตนเอง (Immune hemolytic anemia) ด้วยความเข้าใจผิดว่าเม็ดเลือดแดงเป็นสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย จึงทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยลง ร่างกายจึงต้องเร่งผลิตเม็ดเลือดแดงชนิดที่ใหญ่โตกว่าปกติเพื่อจะได้นำพาออกซิเจนเพื่อการใช้ของเซลล์ได้อย่างพอเพียง
- นอกจากนี้ ค่า RDW ที่สูงกว่าปกติ ยังอาจบ่งบอกได้ว่าร่างกายกำลังเกิดโรคตับ จึงไม่สามารถควบคุมการส่งโปรตีนไปสร้างฮีโมโกลบินได้อย่างสม่ำเสมอ เม็ดเลือดแดงส่วนมากจึงใหญ่โตผิดปกติ
Platelet Count
Platelet Count (เพลตเล็ต เคานต์) คือ จำนวนนับเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดมีบาทสำคัญในการช่วยหยุดยั้งการไหลของเลือดขณะเกิดบาดแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินควร
- จุดประสงค์ของการตรวจ Platelet Count คือ การนับจำนวนของเกล็ดเลือด หากมีน้อยกว่าระดับปกติก็ย่อมมีผลในการห้ามเลือดให้กระทำการได้ช้าเนิ่นนานกว่าที่ควาจะเป็น แต่หากมีมากกว่าระดับปกติ ก็อาจบ่งชี้ว่าร่างกายกำลังมีโรคสำคัญหรือกำลังมีการอักเสบชนิดรุนแรง
- ค่าปกติของ Platelet Count ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า Platelet Count ในทารก = 200,000 – 475,000 เซลล์/ลบ.มม.
- ค่า Platelet Count ในเด็ก = 150,000 – 450,000 เซลล์/ลบ.มม.
- ค่า Platelet Count ในผู้ใหญ่ = 150,000 – 400,000 เซลล์/ลบ.มม.
- ค่า Platelet Count ที่ต่ำกว่าปกติ อาจแสดงผลได้ว่า เกิดเหตุผิดปกติที่มาทำให้เซลล์เกล็ดเลือดลดจำนวนน้อยลง (Thrombocytopenia) จากสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจยกมาเป็นตัวอย่างพอให้เห็นได้โดยสังเขป ดังนี้
- จากสาเหตุภายในของร่างกายตนเอง เช่น จากการที่ร่างกายได้รับน้ำมากกว่าปกติ (เช่น กรณีกำลังรับอาหารผ่านสายน้ำเกลือ จึงอาจทำให้เลือดมีสภาวะเจือจางลง), จากไตที่เกิดโรคหรือมีเหตุสำคัญผิดปกติจึงขับทิ้งเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดที่สลายตัวแล้วออกทางปัสสาวะมากผิดปกติ (Hemolytic-uremic syndrome), จากสภาวะม้ามที่โตอย่างผิดปกติ (Splenomegaly) จึงไปจับและทำลายเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดโดยปราศจากเหตุผลและไร้การควบคุม (หากตรวจพบเกล็ดเลือดมีระดับต่ำมากอย่างผิดปกติก็ควรได้รับการตรวจม้ามด้วยว่ายังอยู่ในสภาพปกติหรือไม่)
- จากสาเหตุภายนอกที่มาทำลายเกล็ดเลือด เช่น จากการถูกไวรัสบางชนิดทำลาย (เช่น Cytomegalovirus, Herpes virus, HIV), จากการติดร้ายแรงบางชนิดที่มิใช่ไวรัส, จากการเสียเลือดและมีการได้รับการถ่ายเลือดด้วยปริมาณมากผิดปกติ
- จากสาเหตุภายนอกที่มาทำให้ไขกระดูกลดการผลิตเกล็ดเลือดลง เช่น จากการเกิดสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อไขกระดูก (เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคพังผืดจับเจาะไขกระดูก), จากการมีสาเหตุสำคัญที่เข้ามากระทบร่างกายจนมีผลทำให้ไขกระดูกไม่อาจให้กำเนิดเกล็ดเลือดวัยทารกได้หรือกำเนิดได้บ้างแต่มีจำนวนที่น้อยลงมากกว่าปกติ (เช่น จากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องยาวนาน จากการถูกรังสีต่าง ๆ ด้วยขนาดรังสีที่มากหรือถี่เกินไป จากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด จากยารักษาโรคบางตัวอย่างยารักษาอาการชัก ยาขับปัสสาวะ ยาเสริมฮอร์โมน)
- ค่า Platelet Count ที่สูงกว่าปกติ อาจแสดงผลว่า เกิดสภาวะการสร้างเกล็ดเลือดมากขึ้นผิดปกติ (Thrombocytosis) โดยอาจบังเกิดขึ้นได้ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้
- อาจเกิดบาดแผลหรือการบาดเจ็บขนาดใหญ่ จึงทำให้ร่างกายต้องเร่งสร้างเกล็ดเลือดขึ้นมาเพื่อเตรียมการใชช้งานให้เพียงพอ
- อาจเกิดโรคร้ายแรงที่ไขกระดูกที่ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดออกมากมากกว่าปกติอย่างไร้การควบคุม เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- อาจเกิดจากการอักเสบจากแผลเรื้อรังบางอย่างในร่างกาย
MPV
Mean Platelet Volume หรือ MPV (เอ็มพีวี) คือ ค่าเฉลี่ยปานกลางของปริมาตรเกล็ดเลือด
- จุดประสงค์ของการตรวจ MPV คือ การตรวจเพื่อหาค่าเฉลี่ยปานกลางของปริมาตรเกล็ดเลือดว่ามีขนาดเล็ก ปกติ หรือใหญ่กว่าปกติ
- ค่าปกติของ MPV ให้ยึดตามค่าที่แสดงในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าปกติทั่วไป คือ
- ค่า MPV = 6 – 10 fL
- ค่า MPV ที่ต่ำกว่าปกติ (แปลว่า เกล็ดเลือดโดยเฉลี่ยมีขนาดเล็กกว่าปกติ) อาจแสดงผลได้ว่า
- อาจกำลังเกิดสภาวะไขกระดูกเสื่อม ซึ่งมีผลทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดได้ขนาดที่เล็กลง จนอาจทำให้เกิดสภาวะของโรคโลหิตจางจากเหตุไขกระดูกเสื่อม (Aplastic anemia)
- เกล็ดเลือดที่ใกล้สิ้นอายุขัย ซึ่งมักจะมีขนาดเล็กลงมากกว่าปกติ
- ค่า MPV ที่สูงกว่าปกติ (แปลว่า เกล็ดเลือดโดยเฉลี่ยมีขนาดใหญ่กว่าปกติ) อาจแสดงผลว่า
- มีเกล็ดเลือดรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้นมามากผิดปกติ (ซึ่งตามปกติเกล็ดเลือดจะค่อย ๆ ทยอยเกิดเท่ากับจำนวนตัวที่สิ้นอายุขับ) จึงทำให้มีขนาดเฉลี่ยที่ใหญ่กว่าปกติ
- อาจกำลังมีโรคหรือเหตุร้ายแรงสำคัญเกิดขึ้นที่ไขกระดูก จึงทำให้ผลิตเกล็ดเลือดที่ใหญ่กว่าปกติ
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)