เลือดกำเดา (Epistaxis) อาการ สาเหตุ และการรักษาเลือดกำเดาไหล 10 วิธี !!

เลือดกำเดา (Epistaxis) อาการ สาเหตุ และการรักษาเลือดกำเดาไหล 10 วิธี !!
เลือดกำเดา (Epistaxis) อาการ สาเหตุ และการรักษาเลือดกำเดาไหล 10 วิธี !!

เลือดกำเดาไหล

เลือดกำเดา, เลือดกำเดาไหล, การตกเลือดกำเดา หรือเลือดออกจมูก (Epistaxis หรือ Nosebleed) หมายถึง ภาวะที่มีเลือดออกจากโพรงจมูกทางส่วนหน้าหรือส่วนหลังของโพรงจมูก โดยส่วนใหญ่ประมาณ 90% ของเลือดกำเดาไหลจะเกิดขึ้นที่บริเวณผนังกั้นจมูกด้านหน้าซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดแดงหลายเส้นมาบรรจบกันเป็นร่างแหหรือเป็นตาข่าย ที่เรียกว่า Kiessel bach’s plexus หรือ Little’s area เมื่อหลอดเลือดเหล่านี้มีการแตกทำลายหรือเกิดการฉีกขาดก็จะทำให้มีเลือดสด ๆ ไหลออกจากทางรูจมูก ซึ่งมักออกเพียงข้างเดียว (บางรายอาจออกทั้ง 2 ข้างก็ได้) ส่วนใหญ่ภาวะนี้มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่โดยมากมักจะไม่เป็นอันตรายหรือมีสาเหตุที่ร้ายแรง ซึ่งจะทำให้มีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดไหลได้เอง เพราะร่างกายมีการสร้างลิ่มเลือดเป็นตาข่ายมาปิดรอยฉีกขาดไว้

เลือดกำเดาไหลเป็นภาวะหรืออาการที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่จะพบได้สูงในเด็กอายุ 2-10 ปี (แต่มักไม่พบในเด็กอ่อน) และคนวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศจะเย็นและแห้งกว่าปกติ เยื่อบุโพรงจมูกจึงพลอยแห้งตามไปด้วย น้ำมูกที่ติดอยู่ในจมูกก็เลยแห้งกรังอยู่ภายในทำให้เกิดความรำคาญ ต้องแคะ แกะ ขยี้จมูกบ่อย ๆ เมื่อรอยแตกเล็ก ๆ ที่พื้นผิวในโพรงจมูกเริ่มเกิดขึ้นโดยเฉพาะบริเวณส่วนหน้าของผนังกั้นโพรงจมูกที่มีหลอดเลือดฝอยจำนวนมากมาบรรจบกัน เมื่อถูกแคะหรือขยี้ก็จะทำให้รอยแตกเกิดเป็นแผลถลอกขึ้น หลอดเลือดฝอยจึงฉีกขาดทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลออกมาจากจมูก

ภาวะนี้ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดได้เท่า ๆ กัน (แต่บางข้อมูลระบุว่า พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง) โดยประมาณ 10-12% ของประชากรจะมีเลือดกำเดาออกครั้งหนึ่งในชีวิต แต่จะมีผู้ป่วยประมาณ 10% เท่านั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหานี้สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มที่มีเลือดออกจำนวนน้อย ๆ และหยุดไหลได้เอง แต่เป็นมาแล้วหลายครั้ง กลุ่มนี้มักพบในเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ที่อายุยังน้อย ซึ่งจะมีเลือดออกมาจากส่วนหน้าของโพรงจมูก
  2. กลุ่มที่มีเลือดออกจากจมูกเพียงครั้งเดียว แต่มีเลือดออกจำนวนมากและไม่สามารถหยุดไหลได้เอง มักพบในผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โดยเลือดที่ออกมักจะมาจากส่วนหลังของโพรงจมูก

เลือดออกจมูก
IMAGE SOURCE : www.proceduresconsult.jp (Kiessel bach’s plexus หรือ Little’s area)

ตำแหน่งที่เลือดกำเดาไหล

  1. เลือดออกมาจากส่วนหน้าของโพรงจมูก (Anterior epistaxis) เป็นกรณีที่พบได้ประมาณ 90% ของเลือดกำเดาไหลทั้งหมด มักพบในเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ที่อายุยังน้อย ที่มีประวัติการแคะจมูกหรือเยื่อบุจมูกอักเสบ ส่วนมากเลือดมักออกมาจากบริเวณผนังกั้นช่องจมูกด้านหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดหลายแขนงรวมกัน ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นได้ง่ายจากการตรวจโพรงจมูกทางด้านหน้า
  2. เลือดออกมาจากส่วนหลังของโพรงจมูก (Posterior epistaxis) คือมีเลือดไหลลง ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรงกว่าชนิดแรก มักพบได้ในผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งร่วมด้วย หรืออาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกบริเวณโพรงหลังจมูกที่มีเลือดมาเลี้ยงมาก (Nasopharyngeal angiofibroma) เป็นต้น โดยเลือดมักออกจากแขนงหลอดเลือดใหญ่ทางส่วนหลังโพรงจมูก ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นได้จากการส่องกล้องตรวจในโพรงจมูก
  3. เลือดออกมาจากส่วนบนของโพรงจมูก มักพบได้น้อยกว่า 2 ชนิดแรก โดยอาจเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ, การผ่าตัดไซนัส หรือเนื้องอกบางชนิด เป็นต้น

สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล
IMAGE SOURCE : www.emaze.com (Anterior epistaxis และ Posterior epistaxis)

เลือดออกทางส่วนหน้าของโพรงจมูกมักพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อย เลือดออกจากส่วนหลังของโพรงจมูกมักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูง

สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล

ภาวะเลือดกำเดาไหลอาจเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นในจมูกและโพรงหลังจมูก จากโรคหรือความผิดปกติของระบบร่างกายอื่น ๆ หรือเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่ทำให้เลือดไหล่ง่ายกว่าปกติ

  1. สาเหตุที่เกิดขึ้นในจมูกและโพรงหลังจมูก เช่น
    • การระคายเคืองหรือบาดเจ็บบริเวณจมูก ได้แก่ การแคะจมูก (ผู้ที่มีนิสัยชอบแคะจมูกจะมีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะออกจะเกิดแผลถลอกและอาจเป็นแผลเรื้อรัง), การสั่งน้ำมูกแรง ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศอย่างรวดเร็ว (เช่น ในระหว่างขึ้นเครื่องบิน หรือดำน้ำ ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดเลือดออกในโพรงอากาศข้างจมูกและมีเลือดกำเดาไหลได้), การได้รับแรงกระแทกที่จมูก (เช่น การถูกกระแทกด้วยของแข็งจากอุบัติเหตุ ซึ่งอาจมีกระดูกของจมูกแตกหักร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้), การผ่าตัดในโพรงจมูก (เช่น การผ่าตัดเยื่อบุจมูก), การผ่าตัดโพรงไซนัส, การผ่าตัดผนังกั้นช่องจมูก, การใส่ท่อช่วยหายใจผ่านทางจมูก, การใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกหรือสูดดมโคเคนอย่างไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวนี้จะทำให้มีเลือดออกจากจมูกเนื่องจากมีการฉีกขาดของเยื่อบุโพรงจมูก โดยเลือดที่ออกมามักจะมีปริมาณไม่มากและออกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็อาจมีเลือดออกซ้ำได้ในช่วงระยะที่กำลังหายก็ได้ นอกจากนี้การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและใบหน้าอย่างรุนแรง (ซึ่งอาจโดนที่จมูกโดยตรงหรือโพรงไซนัส) ก็อาจทำให้มีเลือดออกจากจมูกเป็นปริมาณมากในระยะแรกก็ได้ (ถ้ามีเลือดออกจากจมูกหลังการบาดเจ็บในระยะเวลาเป็นสัปดาห์ให้นึกถึงเส้นเลือดโป่งพองที่เกิดจากอุบัติเหตุไว้ด้วย) ส่วนภาวะอากาศหนาวซึ่งมีความชื้นต่ำก็อาจทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและมีแนวโน้มที่จะทำให้มีการระคายเคืองและเลือดออกได้ง่ายเช่นกัน จึงทำให้ภาวะนี้มักพบในช่วงฤดูที่มีอากาศหนาวมากกว่าฤดูอื่น ๆ
    • ความผิดปกติทางกายวิภาคของโพรงจมูก เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีกระดูกงอก หรือมีรูทะลุ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สมดุลของอากาศที่ผ่านเข้าออกและทำให้ผู้ป่วยมีเลือดกำเดาไหลข้างที่ผนังกั้นช่องจมูกคดหรือข้างที่แคบ เนื่องจากข้างที่แคบนั้นจะมีลมหายใจหรืออากาศผ่านเข้าออกมากและเร็วกว่าปกติ จึงทำให้เยื่อบุจมูกบริเวณดังกล่าวแห้ง มีสะเก็ด และเปราะบาง ส่งผลทำให้มีเลือดออกได้ง่าย โดยจุดที่มักจะเกิดเลือดออกนั้นมักจะเป็นที่ตำแหน่งทางด้านหน้าของบริเวณที่มีการคดงอหรือมีกระดูกงอก
    • การอักเสบในโพรงจมูก เช่น ภาวะการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน, โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้, ไซนัสอักเสบ, การมีสิ่งแปลกปลอมในจมูก (เช่น ปลิง เมล็ดผลไม้ ซึ่งก่อให้เกิดแผลและการติดเชื้อ), การสัมผัสสารระคายเคืองต่าง ๆ (เช่น การสูดโคเคนทางจมูก การใช้ออกซิเจนที่มีความชื้นต่ำ การใช้เครื่องอัดอากาศขณะหายใจเข้า (Nasal continuous positive airway pressure – CPAP) เพื่อรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ) เป็นต้น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้มีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูก และ/หรือเยื่อบุไซนัสมากกว่าปกติ และเส้นเลือดจะแตกได้ง่าย เลือดที่ออกจากสาเหตุนี้มักปนมากับน้ำมูก แต่ถ้าความรุนแรงของการอักเสบเพิ่มขึ้นหรือผู้ป่วยสั่งน้ำมูกหรือจามแรง ๆ ก็อาจจะมีเลือดกำเดาออกมากได้
    • เนื้องอกของโพรงจมูก เช่น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายอย่างริดสีดวงจมูก, เนื้องอกของหลอดเลือด (Juvenile nasopharyngeal angiofibroma) ซึ่งมักพบในเด็กผู้ชายและเป็นข้างเดียว, มะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก ซึ่งมักพบในผู้ใหญ่ เป็นต้น เป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อยและทำให้ผู้ป่วยมีเลือดกำเดาออกทีละมาก ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีอาการเลือดออกจากจมูกแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีเลือดออกจากจมูกเป็นปริมาณมาก ๆ ควรได้รับการส่องกล้องตรวจในโพรงจมูก หรือได้รับการตรวจเอกซเรย์ว่ามีเนื้องอกเป็นสาเหตุหรือไม่
    • ความผิดปกติของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงจมูก เช่น เส้นเลือดโป่งพองที่เกิดจากอุบัติเหตุ, ความผิดปกติของเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำที่มาเชื่อมต่อกันจากอุบัติเหตุ เป็นต้น
  2. สาเหตุที่เกิดจากโรคหรือความผิดปกติของระบบร่างกายอื่น ๆ ได้แก่
    • โรคเลือดชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ, มะเร็งเม็ดเลือดขาว, โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ, ไอทีพี, โรคเลือดไหลไม่หยุดหรือฮีโมฟิเลีย (Hemophilia), โรคตับและไต (เช่น ตับแข็ง ตับวาย ไตวาย) เพราะทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ, การดื่มเหล้ามาก, ภาวะการขาดสารอาหารจำพวกวิตามิน (เช่น วิตามินซี วิตามินเค), การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    • โรคของหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง (เพราะเป็นโรคที่มีผนังหลอดเลือดตีบแข็งและการยืดหยุ่นของหลอดเลือดไม่ดี จึงทำให้หลอดเลือดเปราะและแตกได้ง่าย), โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วร่างกาย (Hereditary hemorrhagic telangiectasia – HHT) เป็นต้น
    • ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้ราวร้อยละ 10
    • ในบางกรณีพิเศษ อาการปวดศีรษะไมเกรนในเด็กก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหลได้
  3. สาเหตุที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่ทำให้เลือดไหลง่ายกว่าปกติ เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin), ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือเอ็นเสด (NSAIDs), ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) เช่น เฮพาริน (Heparin), วาร์ฟาริน (Warfarin) เป็นต้น

โดยมากมักไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง เช่น เกิดจากไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ หลอดเลือดฝอยเปราะบางเนื่องจากอากาศแห้ง (เช่น ในฤดูหนาว) การแคะจมูกแรง ๆ หรือจากการได้รับบาดเจ็บที่ดั้งจมูก ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงบางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน และบางครั้งก็อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ไข้เลือดออก คอตีบ เป็นต้น มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีสาเหตุที่ร้ายแรง เช่น โรคเลือด เนื้องอกหรือมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้เลือดกำเดาออกซ้ำ

  • ความผิดปกติทางกายวิภาคดังที่ได้กล่าวไปแล้วและไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • การติดเชื้อในโพรงจมูกและ/หรือไซนัส (ไซนัสอักเสบ)
  • โรคภูมิแพ้ซึ่งทำให้คันจมูกแล้วต้องเอานิ้วแคะหรือขยี้จมูกแรง ๆ
  • การมีเนื้องอกหรือโรคมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ผู้ป่วยต้องรับประทานเป็นประจำดังที่ได้กล่าวแล้ว

อาการเลือดกำเดาไหล

  • มีเลือดไหลออกจากจมูก ซึ่งอาจไหลออกทางด้านหน้าของจมูก (มักออกเพียงข้างเดียว แต่บางรายอาจออกทั้ง 2 ข้างเลยก็ได้) หรือไหลลงคอไปทางด้านหลังก็ได้ โดยเลือดที่ออกมานั้นอาจไหลออกมาเป็นน้ำเลือดสีแดงสด ๆ หรือออกมาเป็นลิ่มเลือดก็ได้ และเลือดนั้นอาจมีตั้งแต่ปริมาณเล็กน้อยถึงปริมาณมากจนทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำและเป็นลมหมดสติได้
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่มีเลือดไหลหรือไม่รู้สึกเจ็บเลยก็ได้
  • อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้มีเลือดกำเดาไหล
  • ความรุนแรงของอาการเลือดกำเดาไหลก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเลือดมักจะหยุดไหลได้เอง ยกเว้นในบางกรณีที่เลือดออกมากและไม่สามารถหยุดเองได้จนทำให้ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์ เช่น เมื่อเลือดกำเดาไหลมีสาเหตุมาจากเนื้องอกหรือมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ

ระดับความรุนแรงของเลือดกำเดาไหล

  1. ระดับน้อย หมายถึง มีเลือดออกปริมาณน้อย ไม่สามารถวัดปริมาณได้ชัดเจน เช่น เปื้อนกระดาษชำระหรือเปื้อนผ้าเช็ดหน้า และมักหยุดไหลได้เอง
  2. ระดับปานกลาง หมายถึง มีเลือดออกมากขึ้นและระบุปริมาณได้ เช่น มากกว่า 100 มิลลิลิตร (ครึ่งแก้วน้ำดื่ม) เป็นต้น และยังมีสัญญาณแสดงชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  3. ระดับรุนแรง หมายถึง มีเลือดออกมากจนมีอาการแสดงของระดับสารน้ำในหลอดเลือดต่ำหรือภาวะช็อก เช่น ชีพจรเต้นเร็ว เบา ความดันโลหิตต่ำ หรือมีอาการหน้ามืด เป็นลมเวลาเปลี่ยนท่า และรวมถึงในกรณีที่มีเลือดไหลไม่หยุดแม้ว่าจะได้รับการห้ามเลือดโดยใช้ผ้าก๊อซใส่ในโพรงจมูกทั้งทางส่วนหน้าและส่วนหลังของโพรงจมูกแล้วก็ตาม

เลือดกำเดาไหลบ่อย
IMAGE SOURCE : www.danieltweedie.com, quickcareorer.com

ภาวะแทรกซ้อนของเลือดกำเดาไหล

โดยทั่วไปจะไม่ค่อยพบภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง ยกเว้นในรายที่มีเลือดกำเดาออกมากหรือออกบ่อย ก็อาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

นอกจากนี้ในทางอ้อม การมีเลือดกำเดาไหลก็อาจทำให้ผู้ป่วยและ/ญาติที่อยู่ใกล้ตัวผู้ป่วยเกิดอาการตื่นตระหนกหรือตกใจกลัวที่เห็นเลือดจนเป็นลม หมดสติ เกิดภาวะหายใจล้มเหลว และ/หรือหกล้มหัวฟาดได้

เมื่อมีเลือดกำเดาไหลแพทย์จะตรวจอะไรบ้าง

เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ ก่อนอื่นแพทย์จะห้ามเลือดไม่ให้ไหล และจะซักถามประวัติของโรคต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หลังจากนั้นจึงตรวจร่างกาย โดยใช้เครื่องตรวจในช่องจมูก เมื่อพบจุดเลือดออกจะห้ามเลือดด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
การตรวจทางห้องทดลอง

  • การเจาะเลือดตรวจเกล็ดเลือด และตรวจหาระยะเวลาที่ใช้การหยุดภาวะเลือดออก หรือใช้ในการแข็งตัวของเลือด (Coagulation studies)
  • ตรวจภาพตำแหน่งที่คาดว่าเป็นต้นเหตุของเลือดออก เช่น การเอกซเรย์ไซนัสเพื่อดูการติดเชื้อของโพรงไซนัส (ไซนัสอักเสบ) การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เมื่อสงสัยว่าเกิดจากเนื้องอกหรือมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก และการตรวจหลอดเลือดของจมูกและลำคอ (Carotid angiogram) เพื่อหาจุดเลือดออกในกรณีที่เลือดออกไม่หยุดหลังการห้ามเลือดในเบื้องต้น

วิธีรักษาเลือดกำเดาไหล

เมื่อมีเลือดกำเดาไหล อย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ให้ตั้งสติและห้ามเลือดกำเดาด้วยวิธีดังต่อไปนี้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยตัวเองเมื่อมีเลือดกำเดาไหล (วิธีนี้ใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่) ให้ผู้ป่วยนั่งหลังตรงและก้มหน้าเล็กน้อย แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบีบ (กด) ปีกจมูกทั้ง 2 ข้างเข้าหากันในแนวกลาง โดยหนีบบริเวณผนังกั้นจมูกเอาไว้เพื่อกดจุดเลือดออกเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาที (การกดหรือบีบ ต้องกดหรือบีบให้แน่น) แล้วค่อยคล้ายออก และในระหว่างนี้ให้หายใจทางปากแทน ซึ่งการใช้วิธีนี้ส่วนมากมักจะได้ผล (เพราะประมาณ 90% เลือดมักจะไหลออกมาจากส่วนหน้าของจมูก การบีบหรือกดที่ปีกจมูกจึงช่วยทำให้เลือดหยุดไหลได้) แต่ถ้ายังไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งเป็นเวลานาน 10 นาที นอกจากนี้ อาจใช้ผ้าเย็น หรือน้ำแข็งห่อผ้าหรือใส่ถุงพลาสติก หรือเจลประคบเย็น (Cold pack) วางประคบบนสันจมูกเอาไว้ด้วยก็ได้ เพื่อให้ความเย็นช่วยทำให้หลอดเลือดหดตัว (แต่ห้ามใส่น้ำแข็งเข้าไปในจมูก)

  1. หลักสั้น ๆ จำง่าย ๆ เมื่อเลือดกำเดาไหล คือ “บีบจมูก นั่งหลังตรง ก้มหน้าเล็กน้อย อ้าปากหายใจ”
  2. ห้ามเงยหน้าหรือเอนตัวลงนอน แต่ให้นั่งหลังตรง (การนั่งหลังตรงจะช่วยบังคับให้ปริมาณและความแรงของเลือดลดลงเพราะศีรษะอยู่สูง) และก้มหน้าลงเล็กน้อย (เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลลงคอ ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองและสำลักเลือด เลือดจะออกมากขึ้น และเลือดอาจเข้าไปในปอดก่อให้เกิดปอดอักเสบตามมาได้)
  3. อาจใช้ผ้ารองใต้จมูกเพื่อซับเลือดได้ และถ้าเลือดหยดลงด้านหน้าอาจหาถ้วยชามขนาดใหญ่มารองไว้ หรือไปยืนอยู่ที่อ่างล้างหน้าก็ได้ครับ
  4. ทำให้ตัวเย็นลง เพราะการลดอุณหภูมิของร่างกายเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณของเลือดที่ไหลออกทางจมูกได้ ซึ่งนอกเหนือจากการประคบเย็นที่บริเวณสันจมูกดังกล่าวแล้ว คุณอาจประคบเย็นที่บริเวณหน้าผากและคอร่วมด้วยก็ได้ และวิธีที่เด็ดกว่านั้นก็คือ “การอมน้ำแข็งเอาไว้ในปาก” เพราะการอมน้ำแข็งจะช่วยลดอุณหภูมิได้เร็ว (ตามการศึกษาพบว่า การอมน้ำแข็งนั้นให้ผลได้ดีกว่าการกดจมูกด้วยน้ำแข็ง) และยังช่วยให้ร่างกายคงอุณหภูมิที่ลดลงนี้ได้นานอีกด้วย ส่วนการเลียไอติมแท่งก็ให้ผลไม่ต่างกัน (การประคบเย็นหรืออมน้ำแข็งควรทำ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยทำใหม่เป็นเวลา 10 นาที โดยให้ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ)
  5. อาจใช้ยาพ่นจมูกที่มีส่วนผสมของออกซีเมตาโซลีน (Oxymetazoline) ซึ่งตัวยาจะช่วยทำให้หลอดเลือดในโพรงจมูกหดตัว โดยให้หยดยาประมาณ 1-2 หยดลงบนก้อนสำลี แล้วใส่ก้อนสำลีเข้าไปในโพรงจมูก บีบจมูกอีกครั้ง หลังจากผ่านไป 10 นาที ให้ดูว่ายังมีเลือดไหลอยู่อีกหรือไม่ ถ้าเลือดหยุดไหลแล้วอย่าเพิ่งเอาก้อนสำลีออกจนกว่าจะครบ 1 ชั่วโมง เพราะเลือดอาจจะไหลได้อีกครั้ง (สามารถใช้ยาพ่นจมูกรักษาได้ ถ้าไม่ได้เป็นโรคความดันโลหิตสูง และควรใช้ในกรณีที่ลองบีบจมูก 10 นาทีแล้วเลือดยังไม่หยุดไหลเท่านั้น)
  6. ในอินเดีย ผู้คนจะทาน้ำมันเนย (ไขมันอิ่มตัว) ที่ด้านในจมูก ซึ่งจะช่วยให้เลือดหยุดไหลได้ทันที (น้ำมันเนยที่ว่านี้มีขายตามร้านขายของชำและซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินเดีย)
  7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เมื่อมีอาการเลือดกำเดาไหล เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้จมูกแห้ง
  8. หลีกเลี่ยงการพูด การไอหรือจามในขณะที่เลือดกำเดากำลังไหลอยู่ (ถ้าจะจามให้อ้าปาก เพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายจมูกหรือทำให้เลือดออกมากขึ้น)
  9. ห้ามสั่งจมูกหรือแคะจมูก โดยเฉพาะเมื่อเลือดไหลน้อยลงแล้ว เพราะอาจทำให้เลือดที่แข็งตัวแล้วหลุดออกและเลือดไหลอีกครั้ง
  10. อย่าตื่นตกใจหรือสติแตกเมื่อเห็นเลือดจำนวนมาก (เพราะเลือดที่ออกมาจริง ๆ นั้นมีน้อยกว่าที่เราเห็น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของเหลวที่อยู่ในจมูก เพราะในจมูกมีหลอดเลือดอยู่มาก) แต่ให้หายใจทางปากและทำใจให้สงบ (ไม่ว่าอาการจะแย่แค่ไหน) เพราะจะช่วยทำให้อัตราการสูบฉีดเลือดลดลงและเลือดออกน้อยลง อีกทั้งความสงบใจยังช่วยผ่อนคลายความกังวลและป้องกันไม่ให้สลบได้ด้วย

    การปฐมพยาบาลเลือดกำเดาไหล
    IMAGE SOURCE : www.rch.org.au

    ห้ามเลือดกำเดาไหล
    IMAGE SOURCE : www.eblogline.com

การดูแลตนเองหลังเลือดกำเดาหยุดไหล หลังเลือดกำเดาหยุดไหลแล้วภายใน 24-48 ชั่วโมงแรกจะต้องป้องกันไม่ให้เลือดออกซ้ำโดยการ

  • หลังเลือดหยุดไหลสนิทแล้ว สามารถทำความสะอาดจมูกด้วยน้ำอุ่นได้ และหลังจากทำความสะอาดเสร็จให้พยายามพักผ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลอีก
  • พยายามพักผ่อน หยุดทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ และให้นอนหัวยกสูง รวมถึงทำใจให้สบาย โดยอาจฟังเพลงผ่อนคลายเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลง
  • อาจประคบเย็นด้วยวิธีดังที่กล่าวไปแล้ว
  • หลีกเลี่ยงการแคะจมูก ขยี้จมูกแรง ๆ และการสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพราะจะทำให้เลือดที่แข็งตัวแล้วซึ่งปิดหลอดเลือดที่เสียหายก่อนหน้านี้ออก และทำให้เลือดกำเดาไหลอีกครั้ง
  • ระวังการเบ่ง การไอ การจาม
  • หลีกเลี่ยงการกระทบเทือนบริเวณจมูก โดยการไม่ออกแรงมาก ไม่ยกหรือหิ้วของหนัก ๆ ไม่เล่นกีฬาที่หักโหมหรือเล่นนอกบ้าน ไม่สัมผัสอากาศที่ร้อน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้
  • ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่อุ่นหรือร้อน เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ซึ่งอาจทำให้เลือดออกได้อีก
  • แพทย์บางท่านแนะนำว่า ในขณะนอนหลับควรหนุนหมอนสูง ๆ

ไปพบแพทย์ ถ้าทำตามขั้นตอนแรกแล้วเลือดยังไม่หยุดไหลหรือยังไหลลงคอไม่หยุด หรือเลือดออกมากผิดปกติ ควรรีบไปแพทย์ที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีแพทย์หู คอ จมูกประจำอยู่ และมีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมโดยด่วน

  • เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ สิ่งที่แพทย์จะคำนึงเป็นอันดับแรก คือ การประเมินทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนเลือดเบื้องต้น และการแก้ไขอย่างทันท่วงที เช่น การเปิดทางหายใจของผู้ป่วยให้โล่ง การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การจองเลือดไปพร้อม ๆ กับการห้ามเลือด แล้วจึงค่อยค้นหาสาเหตุของเลือดกำเดาไหล
  • ประวัติที่ได้จากผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดจะมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยหาสาเหตุ แต่ถ้าผู้ป่วยกำลังมีอาการเลือดออกอยู่ แพทย์จะทำการรักษาไปพร้อม ๆ กับการซักประวัติ เช่น ปริมาณ ความรุนแรง ระยะเวลา ความถี่ของเลือดที่ออก และด้านของจมูกที่มีเลือดออก รวมถึงประวัติอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล การได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูก สุขภาพโดยรวม การใช้ยา การสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา และประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจศีรษะและลำคอ ตรวจในโพรงจมูกด้วยการใช้กล้องส่อง โดยตรวจทั้งก่อนและหลังการใช้ยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่ และการทำงานของเกล็ดเลือด ส่วนในกรณีที่แพทย์ต้องการประเมินลักษณะทางกายวิภาคในโพรงจมูกหรือสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก แพทย์อาจส่งตรวจทางรังสีวิทยา เช่น CT scan หรือ MRI

การรักษาโดยแพทย์ แพทย์จะทำการห้ามเลือดกำเดาด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (การจะใช้วิธีใดนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการมีเลือดออก สาเหตุการเกิด และดุลยพินิจของแพทย์) ซึ่งวิธีการต่าง ๆ จะเรียงตามระดับความรุนแรงจากน้อยไปมาก และตามตำแหน่งที่เลือดออก ดังนี้

  1. การกดบีบห้ามเลือด ตามที่กล่าวไปแล้วในข้อ 1
  2. การให้ยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่ (Topical decongestants) เช่น 1–3% Ephedrine หรือ 0.025–0.05% Oxymethazoline เป็นต้น มักใช้ในกรณีที่มีเลือดออกปริมาณน้อย แพทย์อาจใช้ยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่หยอดจมูก ซึ่งตัวยาจะออกฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดในเยื่อบุจมูกหดตัว หรือแพทย์อาจใช้สำลีชุบยาหดหลอดเลือดดังกล่าวแล้วใส่เข้าไปในจมูกและให้ผู้ป่วยบีบไว้ (การใช้ยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 7 วัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดเยื่อบุจมูกอักเสบจากการใช้ยาได้)
  3. การจี้จุดเลือดออก (Cauterization) มักใช้ในกรณีที่มีเลือดออกปริมาณไม่มากหรือเลือดออกซ้ำที่เดิมอยู่บ่อย ๆ และเห็นตำแหน่งที่มีเลือดออกได้ชัดเจน ซึ่งการจี้ห้ามเลือดนี้สามารถทำได้โดยการใช้สารเคมี (Chemical cauterization) เช่น  20% Silver nitrate หรือ 50% (หรือ 85%) Trichloracetic acid ซึ่งจะเหมาะกับเลือดออกที่ตำแหน่งด้านหน้าของผนังกั้นช่องจมูก หรืออาจใช้ไฟฟ้า (Electric cauterization) และในบางกรณีอาจเลือกใช้เลเซอร์ (Laser cauterization) เพื่อทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นอุดตันไป และภายหลังที่มีเนื้อเยื่อใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิมเกิดขึ้นก็จะไม่เกิดเลือดออกได้ง่ายอีก หลังจี้เสร็จแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ไม้พันสำลีป้ายขี้ผึ้งผสมยาต้านจุลชีพ บริเวณที่เลือดเคยออก (เช่น Chloramphenicol eye ointment) ติดต่อกันนานประมาณ 7-10 วัน

    รักษาเลือดกำเดาไหล
    IMAGE SOURCE : www.gcheeent.com

  4. การใช้วัสดุกดห้ามเลือดในโพรงจมูกส่วนหน้า (Anterior nasal packing) มักใช้ในกรณีที่มีเลือดกำเดาออกทางส่วนหน้าของโพรงจมูกเป็นจำนวนมากและไม่สามารถทำให้เลือดหยุดไหลได้โดยวิธีการกดหรือการจี้ หรือในกรณีที่ไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งที่มีเลือดออกได้ชัดเจน โดยวัสดุที่นำมาใช้ห้ามเลือดก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ผ้าก๊อซชุบวาสวีน (Vaseline gauze), การใช้ถุงมือยางยัดด้วยผ้าก๊อซ, ฟองน้ำ (Nasal sponge), การใช้บอลลูนในจมูกห้ามเลือด, MerocelÒ (เป็นวัสดุห้ามเลือดที่ขยายตัวได้หลังสัมผัสกับเลือดหรือน้ำ) และอาจเลือกใช้วัสดุที่ละลายได้เองโดยไม่ต้องดึงออก เช่น Gel foam หรือ SurgicelÒ (Oxidized cellulose) ซึ่งเหมาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคเลือด (เช่น เลือดออกง่ายแต่หยุดยาก) เป็นต้น
    • ภาวะแทรกซ้อนจากการห้ามเลือดด้วยวิธีนี้ ได้แก่ น้ำตาเอ่อจากท่อน้ำตาอุดตัน, รูเปิดของไซนัสอุดตัน เกิดไซนัสอักเสบ, เกิดพังผืดของเยื่อบุในโพรงจมูก, ผนังกั้นช่องจมูกทะลุ หรือเกิดภาวะขาดออกซิเจน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางหายใจขณะหลับ เป็นต้น

      หยุดเลือดกำเดาไหล
      IMAGE SOURCE : www.rcot.org

  5. การใช้วัสดุกดห้ามเลือดในโพรงหลังจมูก (Posterior nasal packing) แพทย์จะเลือกใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดกำเดาออกอย่างรุนแรงจากส่วนหลังของโพรงจมูก หรือในกรณีที่ทำวัสดุกดห้ามเลือดในโพรงจมูกส่วนหน้าแล้วเลือดยังไหลไม่หยุด ซึ่งวิธีการทำนั้นแพทย์อาจเลือกใช้บอลลูนสายสวนปัสสาวะห้ามเลือด หรือใช้ผ้าก๊อซชุบวาสลีนม้วน โดยอาจใช้ยาชาเฉพาะที่พ่นในจมูกและลำคอ หรือใช้วิธีการดมยาสลบ

    แก้เลือดกำเดาไหล
    IMAGE SOURCE : www.rcot.org

  6. การฉีดสารอุดหลอดเลือดแดง มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดออกรุนแรงจากทางส่วนหลังของโพรงจมูกและยังไม่หยุดไหลหลังใช้วัสดุกดห้ามเลือดในโพรงจมูกส่วนหน้าและโพรงหลังจมูกไปแล้ว หรือใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดผิดปกติหรือมีเนื้องอกที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมาก เป็นวิธีห้ามเลือดที่มีประสิทธิภาพดีมาก มีประโยชน์ทั้งในแง่ของการรักษาและการวินิจฉัย (สามารถหาตำแหน่งของหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุได้) โดยจะเป็นการฉีดสารอุดหลอดเลือด เช่น Polyvinyl alcohol, Gelfoam
    • ข้อดีของวิธีนี้คือ สามารถหาจุดเลือดออกได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางแห่งที่เส้นเลือดอยู่ลึก และการผ่าตัดที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำซ้ำได้ ถ้าเกิดมีเลือดออกอีกและอาจไม่จำเป็นต้องดมยาสลบ ส่วนข้อเสียคือ มีค่าใช้จ่ายสูง ต้องอาศัยเครื่องมือที่มีราคาแพง และรังสีแพทย์ที่มีความชำนาญในการฉีดรังสีหลอดเลือด ดังนั้น วิธีนี้จึงทำได้เฉพาะในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมเท่านั้น
    • ข้อห้ามในการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยที่แพ้สารรังสีที่ใช้ฉีดหลอดเลือด, ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งอย่างมาก และไม่ควรใช้ในกรณีที่มีเลือดออกจากทางส่วนบนของโพรงจมูก เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองได้
    • ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (พบได้น้อย) ได้แก่ สมองขาดเลือด, อัมพาตของเส้นประสาทใบหน้า, อาการปวดบริเวณใบหน้าและขากรรไกร, ตาบอดจากการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่ตา, เลือดออกและเป็นก้อนเลือดที่บริเวณขาหนีบที่ใส่สายเข้าไปฉีดรังสีหลอดเลือด เป็นต้น
  7. การผูกหลอดเลือดแดง มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเลือดกำเดาออกอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อใช้วัสดุกดห้ามเลือดในโพรงจมูกส่วนหน้าและโพรงหลังจมูกแล้วยังไม่ได้ผล แต่การจะเลือกผูกเส้นเลือดใดนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าเลือดกำเดาที่ไหลออกมานั้นออกมาจากตำแหน่งใดและเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตำแหน่งนั้นคือเส้นเลือดอะไร โดยตำแหน่งของหลอดเลือดที่อาจผูกได้ เช่น ผ่านทางแผลผ่าตัดที่คอ, บริเวณข้างหัวตา หรือใช้กล้องส่องในจมูกแล้วใช้อุปกรณ์บีบเส้นเลือด
  8. การผ่าตัด เช่น ในกรณีที่มีสาเหตุมาจากโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วร่างกาย (Hereditary hemorrhagic telangiectasia), เนื้องอกบริเวณโพรงหลังจมูกที่มีเลือดมาเลี้ยงมาก (Nasopharyngeal angiofibroma) เป็นต้น

แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น การตรวจวัดไข้ ตรวจวัดความดันโลหิต คลำตับม้าม ดูรอยจ้ำเขียวตามตัว เป็นต้น ถ้าพบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์จะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การผ่าตัดเพื่อกำจัดเนื้องอก, การผ่าตัดเอารอยโรคออกและซ่อมเยื่อบุผิว, การผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นช่องจมูกคดหรือการตัดกระดูกที่งอกที่ทำให้มีปัญหาเลือดออกจากจมูก, การแก้ไขความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด, ถ้าพบว่าเกิดจากความดันโลหิตสูงก็จะให้การรักษาแบบโรคความดันโลหิตสูง, ถ้าพบว่าเกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่ เยื่อจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ก็จะให้การรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ หรือถ้าพบว่าตับม้ามโต หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งชวนให้คิดว่าเป็นโรคทางเลือด แพทย์จะตรวจเลือดและตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เป็นต้น

ควรรีบไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เลือดออก) เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดและรับการรักษาต่อไป เมื่อ

  • เลือดไหลไม่หยุดภายใน 20-30 นาที
  • เลือดกำเดาไหลซ้ำภายใน 24 ชั่วโมง
  • เลือดออกมากผิดปกติจนรู้สึกวิงเวียน มึนงง ซีด อิดโรย เหงื่อออกมาก ใจสั่น เป็นลม
  • เลือดกำเดาออกบ่อยหรือเป็นเรื้อรัง ซึ่งชวนให้สงสัยว่ามีสาเหตุที่ร้ายแรง เช่น เนื้องอกหรือมะเร็งในจมูก ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก
  • เลือดกำเดาไหลที่เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น การถูกกระแทกด้วยของแข็งที่จมูกอย่างรุนแรง
  • หากหายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อเลือดไหลลงคอ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือไอได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่อการหายใจ
  • มีประวัติเป็นโรคเลือด และ/หรือมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • เมื่อเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคตับและไต
  • เด็กในขณะที่เป็นโรคไข้เลือดออก เพราะเมื่อมีเลือดกำเดาไหล เลือดมักไม่หยุดเองง่าย ๆ
  • เมื่อใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หรือเกิดจากการรับประทานยาแอสไพรินทุกวัน
  • เมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่

วิธีป้องกันเลือดกำเดาไหล

  1. ค้นหาและรักษาที่ต้นเหตุ การจะป้องกันไม่ให้เลือดกำเดาไหลได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะต้องหาสาเหตุที่เกิดให้พบและให้การดูแลรักษาไปตามสาเหตุนั้น ๆ จึงจะป้องกันได้ เช่น การสอนเด็กไม่ให้แคะจมูก หรือขยี้จมูกแรง ๆ หรือสอดใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในรูจมูก, การรักษาผนังกั้นช่องจมูกคด, การรักษาเนื้องอกหรือโรคมะเร็ง เป็นต้น
  1. อย่ารุนแรงกับจมูก เพราะอาการเลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากพฤติกรรมของคุณเอง ซึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันอาการไม่ให้เลือดกำเดาไหลในอนาคตได้คือ หลีกเลี่ยงการแคะจมูกหรือขยี้จมูกแรง ๆ, ขณะไอหรือจามควรอ้าปากเสมอเพื่อไม่ให้มีแรงดันอากาศผ่านโพรงจมูก, เวลาสั่งจมูกให้สั่งเบา ๆ และสั่งทีละข้างเท่านั้น, ในเด็กควรตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นต้น
  2. ใช้เครื่องทำความชื้น เพื่อช่วยทำให้อากาศรอบตัวชื้นขึ้นและอากาศไม่แห้งจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว (แต่หากไม่มีเครื่องทำความชื้น อาจใช้ภาชนะเหล็กใส่น้ำไว้บนเครื่องทำความร้อนเพื่อช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศก็ได้)
  3. ใช้สเปรย์พ่นน้ำเกลือสำหรับจมูก โดยให้ใช้พ่น 2-3 ครั้งต่อวันเพื่อช่วยทำให้จมูกชุ่มชื้น แต่ถ้าไม่อยากซื้อมาใช้ อาจทำสเปรย์น้ำเกลือด้วยตัวเองโดยการใช้เกลือไม่ผสมไอโอดีน 3 ช้อนชาพูน กับเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นำมาผสมให้เข้ากันในภาชนะที่สะอาด แล้วตักผง 1 ช้อนชาใส่น้ำสะอาดอุ่น ๆ (หรือน้ำต้มเดือด) ประมาณ 240 มิลลิลิตร แล้วผสมให้เข้ากัน
  4. รับประทานอาหารที่มีฟลาโวนอยด์ให้มากขึ้น เพราะฟลาโวนอยด์เป็นกลุ่มสารประกอบเคมีจากธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ตระกูลส้มที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดฝอยได้ โดยอาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้มทั้งหมด กล้วย ใบแปะก๊วย ผักชีฝรั่ง หัวหอม ชาเขียว ชาดำ ชาอู่หลง ไวน์แดง ดาร์กช็อกโกแลต บลูเบอร์รี่ รวมถึงเบอร์รี่ชนิดอื่น ๆ เป็นต้น
  5. ป้องกันอาการท้องผูก โดยการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะอาการท้องผูกถ่ายยากจะทำให้เลือดกำเดาออกได้ง่ายขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดจะตึง รวมทั้งยังทำให้ความดันในเส้นเลือดแดงเพิ่มสูงขึ้นชั่วขณะ และทำให้เลือดที่แข็งตัวแล้วซึ่งปิดหลอดเลือดที่เสียหายอยู่หลุดออกจนเกิดอาการเลือดกำเดาไหลตามมา
  6. อย่าออกแรงเบ่งในขณะขับถ่ายแรง ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มความดันเลือดในสมอง ซึ่งอาจทำให้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกได้ (อาจรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ๆ เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อน เช่น การรับประทานลูกพรุนวันละ 6-12 ลูก)
  7. ลดการรับประทานอาหารร้อนและเผ็ด เพราะความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและอาจทำให้เลือดไหลได้
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 470-471.
  2. ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “เลือดกำเดาไหล (Epistaxis)”.  (ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [28 ม.ค. 2017].
  3. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “ภาวะเลือดกำเดาไหล”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [29 ม.ค. 2017].
  4. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 218 คอลัมน์ : ถามตอบปัญหาสุขภาพ.  “เลือดกำเดา”.  (พญ.ฉวีวรรณ บุนนาค).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [29 ม.ค. 2017].
  5. หาหมอดอทคอม.  “เลือดกำเดา การตกเลือดกำเดา (Epistaxis)”.  (ร.ท. พญ.นทมณฑ์ ชรากร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [30 ม.ค. 2017].
  6. wikiHow.  “วิธีการหยุดเลือดกำเดาไหล”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : th.wikihow.com.  [30 ม.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

เมดไทย
เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด