เกรปฟรุต
เกรปฟรุต ภาษาอังกฤษ Grapefruit (ตรงตัว) สามารถสะกดได้หลายแบบ เช่น เกรฟฟรุต หรือ เกรพฟรุต หรือ เกรปฟรุ๊ต เป็นต้น เป็นผลไม้กึ่งเขตร้อนที่จัดอยู่ในสกุลส้ม (Citrus) เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจัด มีรสฝาดปนนิด ๆ
ลักษณะของเกรปฟรุต
- ต้นเกรปฟรุต เป็นไม้ผลยืนต้น สูงโดยเฉลี่ยประมาณ 5-6 เมตร และสามารถสูงได้ถึง 13-15 เมตร ลักษณะของใบเกรปฟรุตเป็นใบสีเขียวเข้ม รูปร่างยาวและเรียว ส่วนดอกเป็นสีขาว มี 4 กลีบ ลักษณะของผลเกรปฟรุต ภายนอกผลเปลือกสีเหลือง รูปกลมแป้น ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื้อด้านในแบ่งเป็นกลีบออกสีเหลือง
สรรพคุณของเกรปฟรุต
- การดื่มน้ำเกรปฟรุตจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าและเมื่อยล้าได้ด้วย
- หากคุณเป็นไข้ การได้ดื่มน้ำเกรปฟรุตก็จะช่วยทำให้ไข้หวัดหายเร็วมากยิ่งขึ้น
- มีส่วนช่วยป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดใหญ่และมาลาเรีย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานก็รับประทานเกรปฟรุตได้อย่างปลอดภัย และยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายอีกด้วย
- ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ และมะเร็งปอด
- ช่วยในการย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ป้องกันอาการท้องผูก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ
- การดื่มน้ำเกรปฟรุตเป็นประจำจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนิ่วในไตได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ของเกรปฟรุต
- ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับและส่งเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้นได้
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
- กลิ่นของเกรปฟรุตสามารถช่วยลดความอยากอาหารลงได้
- ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเกรปฟรุตมีเอนไซม์ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ ลองหันมารับประทานหรือดื่มน้ำเกรปฟรุตทุกวันดู แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง !
- สารต่อต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตมีประสิทธิภาพในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- ช่วยทำให้กลิ่นเท้าหอม ด้วยการผสมเนื้อเกรปฟรุต 1 ช้อนโต๊ะ / เกลือทะเลครึ่งถ้วยเข้ากับขิงสด 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำมันงาหรือน้ำมันอัลมอนด์ 1 ถ้วย แล้วนำมาขัดเท้า ถ้าเหลือก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 3 สัปดาห์
- ในทางการแพทย์พบว่า เมื่อใช้เกรปฟรุตร่วมกับยารักษาโรคมะเร็งจะสามารถช่วยลดการใช้ตัวยาบางชนิดลงได้ จึงช่วยประหยัดค่ารักษาได้อีกทางหนึ่ง
- มีการนำผลไม้ชนิดนี้ไปใช้ในการผลิตเครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ หรือทำน้ำมันหอมระเหย
คุณค่าทางโภชนาการของเกรปฟรุต (ผลดิบ เฉพาะเนื้อในสีขาว) ต่อ 100 กรัม
- พลังงาน 33 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 8.41 กรัม
- น้ำตาล 7.31 กรัม
- เส้นใย 1.1 กรัม
- ไขมัน 0.1 กรัม
- โปรตีน 0.69 กรัม
- น้ำ 90.48 กรัม
- วิตามินบี 1 0.037 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี 2 0.020 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี 3 0.269 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินบี 5 0.283 มิลลิกรัม 6%
- วิตามินบี 6 0.043 มิลลิกรัม 3%
- วิตามินบี 9 10 ไมโครกรัม 3%
- โคลีน 7.7 มิลลิกรัม 2%
- วิตามินซี 33.3 มิลลิกรัม 40%
- วิตามินอี 0.13 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุแคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุเหล็ก 0.06 มิลลิกรัม 0%
- ธาตุแมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุแมงกานีส 0.013 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม 1%
- ธาตุโพแทสเซียม 148 มิลลิกรัม 3%
- ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
เนื่องจากน้ำผลไม้ดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้ตัวยาที่รับประทานเข้าไปไม่แตกตัวในลำไส้และตับ ซึ่งหมายความว่าจะมีปริมาณยาจำนวนมากที่ไม่ถูกดูดซึมผ่านระบบการย่อยอาหาร ซึ่งมันจะสะสมในเลือดเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว (ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เหมือนเรารับประทานยา 1 เม็ด แต่จะส่งผลทำให้มีอาการคล้ายกับรับประทานยา 5 ถึง 10 เม็ด ซึ่งแน่นอนว่ามันอันตรายมาก) ดังนั้นหากคุณกำลังรับประทานอะไรอยู่ก็ตามก่อนการรับประทานเกรปฟรุต คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
แหล่งอ้างอิง : www.whfoods.com, www.organicfacts.net, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (EN)
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)